สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1551 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1391
“อะไรนะ!” เย่ชูฉิงที่เป็นคนเอ่ยปากคนแรก เธอมองพี่ชายอย่างตกใจมาก ต้องการรู้คำตอบจากเขา
“เรื่องงานแต่งพี่ไม่ต้องให้เธอมายุ่งวุ่นวาย” เย่เนี่ยนโม่กัดฟันพูดอย่างเยือกเย็น
เย่เชินหลินตบที่เท้าแขนบนโซฟา “ก่อนหน้านี้พ่อให้เวลาลูกได้คิดไตร่ตรองแล้ว ตระกูลเย่ของพวกเราจะไม่มีทางยอมให้มีคนทอดทิ้งครอบครัวแบบนั้นอยู่ในบ้านเด็ดขาด”
“ทอดทิ้งครอบครัวเหรอครับ ผมคิดว่าบ้านพวกเราก็มีคนหนึ่งนะครับ” เย่เนี่ยนโม่เม้มปากเน้นจนเป็นเส้นตรง
สวีเห้าเซิงถอนหายใจ “เนี่ยนโม่ ลุงรู้ว่าหลานไม่ชอบอ้าวเสว่ แต่ตอนนี้ในท้องเธอก็มีลูกแล้ว ต่อไปเด็กจะต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์”
ครั้งนี้เซี่ยชีหรั่นได้แต่ถอนหายใจ “เนี่ยนโม่ ครั้งนี้ลูกก็เชื่อฟังพวกเราเถอะนะลูก”
เย่เนี่ยนโม่มองแม่กับลุงสวี นี่คือคนสองคนที่มีความสำคัญที่สุดในช่วงที่เขาเติบโต เขาเคยสาบานว่าจะดีต่อพวกเขาให้มากๆ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนที่ทำให้พวกเขาเสียใจก็คือตนเอง
อ้าวเสว่ค่อยๆเดินมาข้างๆเขา “ฉันรู้คุณไม่ชอบฉัน หลังจากพวกเราแต่งงานกันแล้วคุณจะไปหาเธอก็ได้ ฉันจะไม่ยุ่ง ตอนนี้ฉันแค่อยากจะหาครอบครัวให้ลูกของฉันเท่านั้น”
สายตาของเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้มองที่ตัวของเธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เย่เชินหลินตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน น้ำเสียงหนักแน่นไม่เหลือที่ว่างให้สงสัย “อีกหนึ่งเดือนจัดงานแต่งงาน ถ้าแกไม่ยอม ก็ไสหัวออกไปจากตระกูลเย่”
เย่ชูฉิงมองเห็นทุกอย่าง สายตาเธอคอยจับสังเกตอ้าวเสว่ตลอดเวลา คิดว่ามีเรื่องที่ต้องบอกพี่ชาย ไม่บอกไม่ได้
เวลากลางคืน ความวุ่ยวายในบ้านตระกูลเย่สงบลงแล้ว เย่ชูฉิงและไห่โจ๋ซวนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ไห่โจ๋ซวนเองก็ตกใจมาก ปากเขาไม่ได้พูด แต่ในใจกลับคิดว่านี่เป็นละครอีกฉากหนึ่งของอ้าวเสว่หรือไม่
“ฉันจะไปหาพี่” เย่ชูฉิงนอนคว่ำอยู่บนเตียงส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงไห่โจ๋ซวนที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มดังออกมาจากในโทรศัพท์ “มีอะไรเหรอ”
“พี่ยังไม่ได้บอกราตรีสวัสดิ์กับฉันเลย” เสียงเย่ชูฉิงแฝงด้วยความออดอ้อน จนกระทั่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายบอกราตรีสวัสดิ์ด้วยรอยยิ้มจึงวางสายอย่างสบายใจ
เธอมาที่ห้องของพี่ชาย เคาะประตู ด้านในประตูไม่มีใครส่งเสียงตอบโต้ เธอเปิดประตู ภายในห้องว่างเปล่า
ลมหนาวของฤดูหนาวพัดผ่านก้อนเมฆหนาทึบ เมฆจะควบแน่นชั่วขณะ แล้วก็จะถูกพัดกระจายไป รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน สองข้างทางปกคลุมด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่น หิมะถูกคนกวาดไปกองรวมอยู่ด้านข้าง เมื่อเทียบกับใบไม้ร่วงสีเหลือง กลับให้ความรู้สึกบางอย่างเหมือนกับถนนช็องเซลีเซ่
“ที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะสวยงามเป็นพิเศษ เดินไปพลางก็เหมือนเดินอยู่ในเทพนิยายอย่างนั้น” ติงยียีหมอบอยู่ตรงหน้าต่างรถมองไปข้างนอกยิ้มพลางเอ่ยออกมา
เย่ชูหวินปลดเข็มขัดนิรภัย พร้อมกับช่วยเธอปลดด้วย จากนั้นลงจากรถมาช่วยเปิดประตูให้เธอ “นี่จะทำอะไรเหรอ ยังเหลืออีกตั้งระยะหนึ่งถึงจะถึงบ้าน”
ติงยียีกะพริบปริบๆตาอย่างสงสัย เย่ชูหวินมองเธอ “อยากลงมาเดินเล่นมั้ย”
ติงยียีพยักหน้า หลังจากลงจากรถแล้วก็กันกลับไปมองที่รถ “รถจอดไว้ที่นี่ไม่เป็นไรเหรอ”
เย่ชูหวินจูงมือเธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว สองคนทิ้งรถเอาไว้เปลี่ยนเป็นเดินเท้าแทน ต้นไม้สองข้างทางถูกลมพัดส่งเสียงดังครืดคราดติงยียีหดคอ รู้สึกว่าความคิดของตนเมื่อครู่นี้นั้นโง่เขลามากแค่ไหน เธอจะหนาวตายแล้วจริงๆ
มีคนผิวขาวคนหนึ่งเดินสวนมาข้างหน้าถามทาง เย่ชูหวินใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกับเขาอย่างคล่องแคล่ว ตอนที่เขาจะไปคนผิวขาวคนนั้นก็ใช้ภาษาจีนงูๆปลาๆพูดว่า “แฟนคุณสวยมาก”
เย่ชูหวินตอบรับว่า “Thank” ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างชัดเจน พอคนผิวขาวไปแล้ว ติงยียีถลึงตาใส่เขา“เมื่อกี้ทำไมคุณไม่แก้ไข ไม่อธิบายล่ะ”
“อธิบายอะไร” เย่ชูหวินมองเธอ ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม มองดวงตาเป็นประกายของเธอ
ติงยียีรู้ว่าเขาจงใจแน่นอน กัดฟันแกล้งหยิบก้อนหิมะขึ้นมาก้อนหนึ่ง เย่ชูหวินตกใจ จากนั้นติงยียีก็สาวเท้าเข้ามาตรงหน้าเขา เขายืนอึ้งไม่ขยับ ปล่อยให้ติงยียีดึงผ้าพันคอเขาออกแล้วเอาก้อนหิมะใส่เข้าไปในคอเสื้อ
เมื่อหิมะสัมผัสกับผิว ไม่นานก็ถูกความร้อนจากผิวหนังแผดเผา จากนั้นก็ละลาย หิมะที่ละลายติดอยู่บนแผ่นอกเขา ตรงที่กระเพื่อมนั้น เขาสัมผัสได้ถึงการบรรจบกันของความร้อนและความเย็นอย่างเงียบๆ ได้กลิ่นหอมอ่อนจากเธอตอนที่ร่างกายของเธอเข้ามาใกล้ชิดกับตนเอง
ติงยียีเห็นเขายืนอึ้งอยู่กับที่ ก็เดินเข้าไปใกล้ด้วยความแปลกใจ วินาทีต่อมาก็ถูกก้อนหิมะกระแทกลงบนศีรษะโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เย่ชูหวินคว้าก้อนหิมะไว้อย่างรวดเร็ว ค่อยๆเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ติงยียีถูกเขาไล่วิ่งไปรอบถนน
ทันใดนั้น เขาก็ดึงมือเธอ เธอยิ้มพลางคิดจะหนี แต่กลับถูกดึงกลับมาอีกครั้ง เขาทิ้งก้อนหิมะในมือทิ้ง สองมือโอบกอดด้านหลังของเธอไว้แน่น
“คุณเป็นอะไร” ติงยียีแหงนหน้ารับน้ำหนักของเขา ลมหนาวพัดเย็นยะเยือก ร่างที่โอบกอดกันอยู่กลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น
“ติงยียี ชอบผมได้มั้ย” เย่ชูหวินพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนคิดว่าจะเบาไป เขาจึงพูดซ้ำอีกครั้งว่า “ชอบผมได้มั้ย”
สองมือของติงยียีห้อยลงข้างลำตัวสองข้าง ไม่ไกลนักมีรถยนต์คนหนึ่งขับมา ไฟของรถยนต์ส่องมาที่พวกเขาสองคน เธออยากจะขยับ แต่กลับรู้สึกว่าพละกำลังของแขนที่โอบตนเองอยู่นั้นเพิ่มมากขึ้น
รถยนต์แล่นผ่านมา ม้วนเสื้อคลุมของทั้งสองคนขึ้นมา เย่ชูหวินเป็นฝ่ายปล่อยเธอก่อน ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย ลมหายใจก็หอบเล็กน้อย แต่ในหัวติงยียีมีแต่ท่าทางที่เศร้าเสียใจของเขา ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเขา
ระยะทางที่เหลือก็เงียบงันเล็กน้อย ติงยียีพยายามจะพูดคุยกับเขา อยากจะกลับคืนไปสู่บรรยากาศที่มีความสุขอีกครั้ง แต่เย่ชูหวินได้แต่ตอบเธอเรียบๆ บางครั้งก็หันมายิ้มอย่างฝืนๆให้เธอ
เมื่อมาถึงประตูทางเข้าคอนโด จู่ๆเย่ชูหวินก็พูดว่า “ผมส่งคุณตรงนี้แล้วกันได้มั้ย”
ติงยียีอึ้งไป รีบพยักหน้า เขาช่วยเธอจัดทรงผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง แล้วพูดเบาๆว่า “ไปเถอะ”
มองติงยียีค่อยๆหายลับไปจากสายตาตนเอง คิ้วของเย่ชูหวินค่อยๆขมวดเข้าหากันแน่น มือหนึ่งกุมที่หน้าอก หลังพิงที่ต้นไม้ที่เปลือยเปล่า ตัวสั่นเทาหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ากางเกง ไม่มองเลยสักนิด เทออกมาเล็กน้อยแล้วใส่เข้าไปในปาก
ความขมของยากระจายไปทั่วปาก เขาถอนหายใจ “บังคับฝืนใจมากเกินไปเหรอ”
ติงยียีเดินเข้าไปในบ้าน ทางลื่นเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงเดินอย่างระมัดระวัง “ตึกตึกตึก” มีเสียงประหลาดบางอย่างดังขึ้นด้านหลังเธออีก
เธอค่อยๆ เร่งฝีเท้า เสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างหลังก็ค่อยๆเร่งความเร็วขึ้น ทันใดนั้นเท้าของเธอเหยียบสิ่งของบางอย่าง นิ่มๆ ยุบตัวลงเมื่อเธอเหยียบลงไป
เธอก้มหน้ามอง กลางทางมีตุ๊กตาสกปรกตัวหนึ่งวางอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างของตุ๊กตาถูกเข็มปักไว้เต็ม ดูแล้วแปลกประหลาดมาก
เธอตกใจจนแทบหยุดหายใจ ก้มหน้าวิ่งไปทางด้านในบ้าน จู่ๆเสียงฝีเท้าด้านหลังก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ แขนข้างหนึ่งจับเธอไว้
“ว้าย! อย่านะ!” เธอหลับตาเอากระเป๋าในมือโบกตีไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
“ยียี คุณเป็นอะไร” เย่ชูหวินเป็นห่วงเธอ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะมาหาเธอ จึงมองเห็นภาพนี้
อารมณ์ของติงยียียังคงตื่นตระหนก เธอมองไปรอบๆตามสัญชาตญาณ รู้สึกเหมือนว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองเธออยู่ในความมืด
เย่ชูหวินกอดเธอไว้เบาๆ ให้ศีรษะเธอแนบชิดไหล่ของตนเอง ใช่มือข้างหนึ่งตบที่หลังเธอเบาๆอย่างเป็นจังหวะ พูดเบาๆว่า “ไม่เป็นไร ผมอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลัว”
ไม่ไกลนักรถยนต์คันหนึ่งขับมา ไฟสีเหลือนวลส่องมาที่ตัวพวกเขาสองคน รถยนต์จอดลงตรงหน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน พละกำลังมหาศาลลากติงยียีมา เธอยืนไม่มั่นคง เซถลาไปเข้าไปในอ้อมกอดที่เย็นเยือกของอีกคน
จมูกเธอกระแทกเข้ากับเสื้อคลุมหนังอย่างแรง เธอยังไม่ทันได้ร้องด้วยความเจ็บ บนศีรษะก็มีเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังมา “พวกคุณกำลังทำอะไรกัน”
ติงยียีกะพริบตาปริบแล้ว กะพริบอีก ยังตั้งสติกลับมาไม่ได้ สองแขนของเย่เนี่ยนโม่โอบรัดเอวเธอไว้แน่น เขาและเย่ชูหวินอยู่ห่างกันสองสามก้าว “คุณน้า คุณน้าสะใภ้ตอนนี้อยู่ที่ออสเตรเลีย พวกเขาบอกว่าถ้ามีเบาะแสนายให้พานายไปทันที”
“ไป! คุณบอกว่าจะไม่ไปต่างประเทศแล้วไม่ใช่เหรอ!” ติงยียีรีบดิ้นรนขัดขืนออกมาจากอ้อมกอดของเย่เนี่ยนโม่ มองเย่ชูหวินอย่างร้อนใจ
สายตาของเย่ชูหวินเลื่อนจากเย่เนี่ยนโม่ไปที่เธอ เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมไม่ไป”
พอสิ้นเสียง เย่เนี่ยนโม่ก็จับมือติงยียีเดินไปที่รถ เสียงดังจากด้านหลังว่า “เนี่ยนโม่ ยกติงยียีให้ฉันเถอะ”
เย่ชูหวินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้มาจากนัยน์ตา เย่เนี่ยนโม่หันกลับไปมองเขา สีหน้าสับสน
ตอนนี้เขาถูกกดดันจากทุกด้าน พ่อแม่และลุงสวีก็บีบบังคับให้ตนเองแต่งงานกับอ้าวเสว่ พี่น้องที่เติบโตมาพร้อมกับเขาตั้งแต่เด็กเหลือเวลาในชีวิตอีกเพียงไม่กี่ปี และคำขอร้องเดียวของเขา ก็คือให้ตนเองยกคนที่รักให้เขา
ติงยียีตัวแข็งทื่อ เธอลืมไม่ลงเรื่องที่เขาผลักไสไล่ส่งตนเองไปสู่อ้อมกอดของไห่โจ๋ซวนในตอนแรก นั่นคือความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงที่ถูกทอดทิ้ง
เธออดไม่ได้ที่จะขยับนิ้ว จับนิ้วมือที่ฝ่ามือของเขาให้แน่นยิ่งขึ้น เธอเงยหน้า ความลังเลสับสนบนใบหน้าเย่เนี่ยนโม่จางหายไป แทนที่ด้วยความมั่นใจ
“ขอโทษ” เขาพูดจบอย่างรวดเร็ว เปิดประตูเอาตัวติงยียียัดเข้าไปข้างใน
รถหมุนอยู่กับที่หนึ่งรอบ จากนั้นก็ขับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ติงยียีมองไปข้างหลัง เย่ชูหวินยืนอยู่ที่เดิม ร่างกายเย็นเยือก
รถขับไปบนถนน ทิวทัศน์ข้างทางผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วมาก ติงยียีมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถที่ถอยไปด้านหลังอย่างเร็วมาก บรรยากาศนิ่งเงียบทำให้เธอเศร้าใจ เธออดถามไม่ได้ว่า “จัดการธุระเสร็จแล้วเหรอ”
ความเร็วของรถยนต์เพิ่มมากขึ้น หลังจากเธอเอ่ยถามแล้วก็รู้สึกว่าคำถามนี้ทำให้ทั้งสองคนยิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน จู่ๆรถยนต์ก็จอด หลังจากล้อรถเสียดสีกับพื้นก็เกิดเสียงดังบาดหู
เย่เนี่ยนโม่ปล่อยพวงมาลัยรถ หันหน้ามามองเธอ สายตาเคร่งขรึม น้ำเสียงหนักแน่น “ยียี พวกเราไปกันเถอะ”
ในน้ำเสียงเขาแฝงด้วยความเจ็บปวดและตื่นเต้น สายตาที่มองเธอนั้นไม่กะพริบเลยสักนิด ในหัวสมองเขาคิดสารพัดวิธีที่จะเกลี้ยกล่อมเธอ เกลี้ยกล่อมตนเอง
เธอเผยอริมฝีปากเบาๆ ยิ้มมุมปาก “ก็ได้”
เธอไม่ได้ถามว่าทำไม ทำไมต้องไป พวกเขาจะไปที่ไหน เธอได้แต่พยักหน้า สีหน้าแฝงด้วยความคาดหวังว่าจะได้เปิดการเดินทางที่ไม่รู้จัก