สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1552 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1392
พวกเขาสบตากันยิ้ม รถยนต์ขับมุ่งหน้าไปที่สนามบิน ตอนที่มาถึงเกาะบาหลีอากาศค่อยๆโปร่งขึ้น ฝนตกปรอยๆ ทำให้คนเราจิตใจสับสนวุ่นวาย
ไกด์ท้องถิ่นพูดอย่างเสียดายว่า “ถ้าพวกคุณมาช่วงเดือนตุลาคมก็ดีเลย มาตอนนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
เย่เนี่ยนโม่และติงยียีสบตายิ้มให้กัน หลังจากพวกเขาลงจากเครื่องบินมือของพวกเขาก็ยังไม่ได้หลุดแยกจากกัน แม้แต่ฝนที่อยู่นอกหน้าต่างก็ดูเหมือนจะหวานเยิ้มขึ้นมา
ตรอกซอกซอยบนเกาะบาหลีแคบมาก รอบๆตัวมีอยู่สวนหย่อมของศาลบรรพชนอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นเพราะฝนตก คนบนถนนจึงน้อยลงไปมาก ทั้งสองคนเดินจูงมืออยู่บนถนน
เม็ดฝนที่กระเซ็นจากรองเท้าแตะทำให้เสื้อผ้าของพวกเขาสองคนเปียก ทันใดนั้นติงยียีก็ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา เธอจูงมือเย่เนี่ยนโม่วิ่งไปทางร้านเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ร้านหนึ่ง
พอเจ้าของร้านเห็นพวกเขาสองคนก็หยิบชุดคู่รักมาให้สองชุดด้วยความกระตือรือร้น พูดว่า “เห็นพวกคุณก็รู้เลยว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน ฝนตกก็ยังออกมาเที่ยว”
ทั้งสองคนยิ้มสบตากัน ไม่มีใครแก้ต่าง เปลี่ยนเป็นชุดคู่รักโดยอัตโนมัติ ด้านหน้ากระจก ติงยียีเดินวนรอบเขา ปากก็บ่นพึมพำ “รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ”
เย่เนี่ยนโม่ยืนปล่อยให้เธอพินิจพิจารณา หางตาแฝงด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา “รู้แล้ว!” ติงยียีร้องขึ้นมาอย่างดีใจ เธอเขย่งเท้าคิดจะจับผมของเขา
เย่เนี่ยนโม่ก้มศีรษะลง ปล่อยให้มือเล็กๆของเธอจัดผมของตนเอง
ผ่านไปสักพัก ติงยียีตบมือ พยักหน้าด้วยความพอใจ “แบบนี้ถึงจะเหมือนมาเที่ยว!”
ผมที่ตอนแรกเรียบแปล้ของเขาถูกขยี้จนยุ่งเหยิง ผมหน้าม้าค่อยๆปล่อยลงมาปิดคิ้วของเขา แต่กลับปกปิดความอ่อนโยนของเขาไม่ได้เลย
ทั้งสองคนออกมาจากร้าน ท้องฟ้าสว่างมาก คนที่เดินบนถนนเริ่มมีมากขึ้น ติงยียีเดินไปทั่วทั้งซอย ในยังมือยังถือแพนเค้ก ตาก็มองไปที่ร้านขายผัดหมี่อีก
ในร้านผัดหมี่ ชาวยิปซีสองคนกำลังพิงผนังตีกลองอยู่ ปากก็ฮัมเพลงไปด้วยไม่รู้ว่ากำลังร้องเพลงอะไร
กลิ่นหอมของผัดหมี่ลอยมา ติงยียีกินจนเรอออกมา ในจานยังเหลืออยู่อีกเยอะมาก เธอยกส้อมขึ้นมามองเขาอย่างน่าสงสาร
“ใครบอกให้คุณกินเยอะขนาดนี้” เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเธอ
ติงยียีเอาผัดหมี่ที่อยู่ในปากกลืนลงไปอย่างยากลำบาก พูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาต่างประเทศ”
เธอรู้สึกอายเล็กน้อย ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินผัดหมี่เข้าไปคำใหญ่ เคี้ยวอย่างยากลำบาก จู่ๆแขนของเธอก็ถูกจับเอาไว้ ร่างของเย่เนี่ยนโม่ค่อยๆโน้มลงมา จับแขนเธอยกมาทางตนเอง แล้วก็กินผัดหมี่ที่อยู่ในส้อมของเธอไป
“ฉันกินมาแล้ว” ติงยียีพูดด้วยท่าทางที่ยกส้อมค้างอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็เรอด้วยความอิ่มออกมา เย่เนี่ยนโม่หยิบจานผัดหมี่ตรงหน้าเธอไปด้วยท่าทางสง่างาม เริ่มช่วยเธอกินที่เหลืออย่างตั้งใจ
หลังจากกินดื่มอิ่มหนำสำราญแล้ว เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปครึ่งค่อนวันแล้ว ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ฝนตกไม่เบาเลย
ติงยียีนึกขึ้นได้ว่าตนเองตนเองเคยดูในโทรทัศน์ว่าที่เกาะบาหลีมีชายหาดที่ชื่อว่าหาดจิมบารัน เธอบอกว่าอยากจะไปดูที่นั่นด้วยความตื่นเต้น
แน่นอนว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้สนใจ เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงิน แน่นอนว่าจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นจูงมือเธอ เธอก้มหน้ามองดูฝนที่ตกมาบนพื้นไหลมารวมกันเป็นสายน้ำเล็กๆ ทันใดนั้นเสียงฝนที่ดังมากก็ดังมาจากข้างหน้า “ต่อไป ผมจะพาคุณไปเที่ยวทั่วโลก”
ประโยคเดียว ทำให้หลังจากที่เธอไปที่ชายหาดแล้วก็ยังไม่อาจถอนตัวได้ ทั้งสองคนต่างก็กางร่ม แม้จะจูงมือกัน แต่ระหว่างทั้งสองคนก็ยังมีระยะห่างหนึ่งช่วงแขน
ทันใดนั้นเอง ลมก็พัดมา ร่มสีขาวของเย่เนี่ยนโม่ก็ถูกพัดปลิวไป ปลิวไปทางทะเลโยกไปโยกมา ติงยียีรีบเดินไปหลายก้าว “ตายแล้ว ร่มปลิวไปแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่ดึงเธอกลับมา ฝนโปรยปรายทำให้เขาเปียก สะท้อนให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งแรงของเขาออกมา เขาหยิบร่มของเธอไปอย่างเงียบๆ ดึงเธอไปอยู่ข้างๆตนเอง เดินต่อไปข้างหน้า
ติงยียีมองเห็นว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของร่มกางอยู่บนศีรษะของตนเอง ส่วนตัวเขาแทบจะเปิดโล่งอยู่ในสายฝน เธอลังเลเล็กน้อยที่จะหันกลับไปหาร่มที่ถูกพัดปลิวไปคันนั้น
พอดีมีชาวประมงท้องถิ่นใจดีคนหนึ่งวิ่งไปเก็บร่มในทะเลขึ้นมาให้ทั้งสองคน เขาหยิบร่มมาโบกไปมาทางพวกเขาสองคน สาวเท้าเดินมาอย่างรวดเร็ว
แววตาเย่เนี่ยนโม่นิ่งขรึมลงอย่างเงียบๆ ชาวประมงเห็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลามากคนนั้นส่ายหน้าให้กับตนเองอย่างหนักแน่น เขาก็หยุดฝีเท้าไม่รู้ว่าควรจะเดินต่อไปข้างหน้าดีหรือไม่
ติงยียีมองามสายตาของชาวประมงหันกลับมามองเขาอย่างแปลกๆ เย่เนี่ยนโม่สีหน้าเรียบเฉย รอจนเธอหันกลับไป ชาวประมงก็หยิบร่มเดินกลับไปแล้ว
เย่เนี่ยนโม่ดึงมือกลับมาด้วยความพอใจ โอบเธอเดินไปข้างหน้าต่อ ฝนค่อยๆเริ่มเบาลง คลื่นม้วนเอาทรายละเอียดซัดขึ้นมาถึงข้อเท้า ลบล้างรอยเท้าที่ทั้งสองทิ้งไว้ด้านหลังอย่างสะอาด
ไม่ไกลกันนัก เจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีขาวยิ้มหวานละมุม ปล่อยให้ฝนตกเปียกเครื่องสำอางของเธอ แต่เจ้าบ่าวรู้สึกสงสารอย่างมาก หยิบร่มมาคอยกางให้เจ้าสาวอยู่รอบๆ
ติงยียีหยุดฝีเท้า สายตาเธอไม่สามารถปิดบังความอิจฉาไว้ได้ เธออายุถึงวัยที่จะแต่งงานได้แล้ว เธอคิดว่าตนเองจะเหมือนกับคนส่วนใหญ่ หาผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์รักตัวเองสักคน ทุ่มเทกายใจมีชีวิตอยู่เพื่อลูก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าชีวิตจะกลายเป็นแบบนี้
“กำลังคิดอะไรอยู่” เย่เนี่ยนโม่จับมือเธอแน่น สายตานิ่ง
เธอยิ้ม ชี้ไปที่เจ้าสาวที่อยู่ไม่ไกลพลางพูดว่า “ชุดของเธอขาดออกจากกันเป็นทางยาว”
เย่เนี่ยนโม่มองไปตามสายตาเธอ ตอนที่หันกลับมามองนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูและจนปัญญา ติงยียีหัวเราะร่วน
จูงมือเขาเดินนำไปข้างหน้า ตอนที่หันหลังให้เขารอยยิ้มก็จางหายไป เธอมองไม่เห็นอนาคตของเธอและเขา
ในเมื่อมองไม่เห็นก็อย่าพูด
เธอตกอยู่ในความสับสนเกี่ยวกับอนาคต ไม่เห็นสายตาเข้าอกเข้าใจและสงสารของคนข้างหลังท้องฟ้าค่อยๆมืดลง ฝนตกทั้งวัน พวกเขาเที่ยวมาทั้งวันแล้ว
ดวงอาทิตย์ถูกเมฆหนาบดบัง ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดิน
ไม่ไกลนักมีเสียงเพลงเต้นรำที่มีจังหวะแรงๆ เสียงดังไม่ชัดนัก สร้างความรื่นเริงในคืนนี้
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ฝนก็หยุดแล้ว ทั้งสองคนยังคงนั่งอยู่บนหาดทรายไม่มีใครพูดอะไร
แต่กลับไม่รู้สึกอึดอัด บางครั้งมีคนเดินผ่าน ก็ชะลอฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว พยายามไม่ไปรบกวนคู่รักที่เหมาะสมกันคู่นี้
“ครั้งแรกที่ฉันเจอคุณฉันเกลียดคุณมากจริงๆ”ติงยียีพิงที่ไหล่ของเขา พูดเสียงพึมพำ
ใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว
“อืม” เขามองท้องทะเล ตอบรับเสียงเบา ช่วยจัดท่าทางเธอให้ดี ให้เธอนอนสบายยิ่งขึ้น
ยามค่ำคืน คนรักนอนหลับสนิทอยู่บนไหล่ ไกลออกไปเสียงคลื่นยังดังต่อเนื่อง มีเสียงดนตรีเบาๆดังพอให้ได้ยินอยู่ไม่ไกล เขาลืมตาอยู่ มองไปไกลๆ รออรุณรุ่งอย่างเงียบๆ
แสงแรกจากดวงอาทิตย์โผล่จากเส้นขอบฟ้าบนพื้นน้ำ ส่องลงมาบนใบหน้าเธออย่างอ่อนโยน
ติงยียีขยับอย่างสบาย สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านล่างเหมือนมีเสียงเส้นเลือดสูบฉีดเบาๆ
เธอตื่นขึ้นมาทันที มองเขาอย่างอ้ำๆอึ้งๆ“ทำไมคุณไม่ปลุกฉันให้ตื่น!”
ค่อยลุกขึ้นยืนช้าๆ ร่างก็แข็งเกร็งไปทันที ติงยียีเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิด รีบวิ่งไปช่วยเขานวดแขน
เย่เนี่ยนโม่ซาบซึ้งกับความห่วงใยของเธออย่างเงียบๆ ลำคอเขาขยับ พูดเบาๆว่า “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“พูดมาสิ” ติงยียีก้มหน้าช่วยเขานวดพลางพูดไปพลาง เขาก้มหน้ามองเธอ แล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไร”
ติงยียีปล่อยมือของเขา ถอยหลังไปสองก้าว แสงแรกของดวงอาทิตย์สีเหลืองส้มส่องมาที่หน้าเธอ ฉายความอ่อนโยนและสวยงาม
“เนี่ยนโม่ พวกเรากลับไปกันเถอะ” ลมพัดผมเธอปลิว น้ำเสียงเธอแผ่วเบา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไร
ความจริงพวกเขารู้ว่า การกระทำที่บ้าคลั่งเมื่อวานเป็นเพียงเพราะพวกเขาต่างก็เหนื่อยแล้ว
แต่เมื่อตื่นขึ้นจากความฝัน ก็ต้องเผชิญหน้ารับความจริง
ริมฝีปากของเย่เนี่ยนโม่เม้มแน่นเป็นเส้นตรง ถอยหลังก็คือถูกพันธนาการ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็คือหุบเหว
เขารู้ว่าเธอและตนเองมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปล่อยวางไม่ได้
เขาเงยหน้ามองเธอ น้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าผมทำอะไร ไม่ว่าคุณทำอะไร ผมก็จะไม่ปล่อยคุณ ไม่มีทางตลอดไป”
ความจริงอันแสนเจ็บปวดทั้งหมด เพราะว่าไม่อาจทำความฝันอันสวยงามให้เป็นจริงได้ตอนที่ติงยียีปรากฏตัวอีกครั้งที่ประตูคอนโดตัวเอง
เธอกลับรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเมื่อวานเหมือนกับเป็นความฝันอย่างนั้น
เย่เนี่ยนโม่เข้าใกล้เธอ บนตัวของทั้งสองยังมีกลิ่นของน้ำทะเล กลิ่นเค็มๆ เขาประทับรอยจูบบนหน้าผากเธอ
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ติงยียีตกใจ ตะโกนว่า “ใคร!”
หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังตกใจ หลังจากพึมพำอะไรออกมาประโยคหนึ่งก็รีบจากไป ติงยียีถอนหายใจยาวๆ
ช่วงนี้เสียงฝีเท้าที่ติดตามตนเองนั้นแปลกประหลาดมากจริงๆ เธออดที่จะคิดไม่ได้
“มีอะไรเหรอ”เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มือสองข้างโอบรอบร่างบางของเธอใหม่อีกครั้ง
ติงยียีเล่าเรื่องราวในช่วงนี้ให้เขาฟัง “ฉันอาจจะคิดมากไปเอง”
เธอพูดพลางผลักเขาไปในรถพลาง เย่เนี่ยนโม่โอบเอวเธอไว้ จูบเธอแรงๆอีกครั้งแล้วจึงขับรถจากไป
เธอมองรถยนต์ที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้าๆ ประตูบ้าน
มีร่างผอมบางของคนหนึ่งอยู่ติดกับผนัง ราวกับว่าซ่อนตัวจากสภาพโดยรอบ มองเห็นเธอ
เย่ชูหวินสายตาเป็นประกาย แม้แต่ลมหายใจบนตัวเขาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ชูหวิน ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ได้” เธอมองดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด กลิ่นบุหรี่บนตัวเขาแรงมาก บนพื้นมีแต่บุหรี่ที่สูบไม่หมด
เธอพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “คุณอยู่ที่นี่มาทั้งคืนเลยเหรอ”
เย่ชูหวินไม่ได้บอกความจริงว่าเขาอยู่ที่นี่มาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
เพราะกลัวว่าจะคลาดกับเธอตอนที่เธอกลับมา เขาไม่กล้าจากไปไหนเลย
เขามองเห็นว่าเธอยังสวมชุดเดิมเหมือนเมื่อวันก่อน ก็เข้าใจได้ในทันที ความกังวลในใจก็ผ่อนคลายลง
เขารู้สึกว่าตนเองเริ่มเสียศูนย์ขึ้นมา
เห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของเธอเขาก็ยกมือขึ้นมาสะกิดเธอเบาๆ“เห็นคุณผมก็สบายใจแล้ว ผมยังมีธุระต้องทำ ผมไปก่อนนะครับ”
เธอมองแผ่นหลังที่เหนื่อยล้าของเขา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ทันใดนั้น
เย่ชูหวินก็หันหน้ามาขยิบตาให้เธอ “ครั้งก่อนที่คุณจะจับผมไปโรงพยาบาล เป็นยังไง ยังเอาจริงอยู่มั้ย”