สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1563 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่1403
พอพูดถึงตรงนี้ คำพูดของติงยียีก็เหมือนก๊อกน้ำที่ถูกเปิด เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทั้งหมดออกมาอีกครั้ง ยังไม่จบ เย่เนี่ยนโม่จับประเด็นสำคัญ “สรุปคุณก็เลยหลงทาง?”
ติงยียีทำเสียงยอมรับอย่างท้อใจ ในใจรู้สึกค่อนข้างอับอาย อีกฝ่ายจะต้องคิดว่าตัวเองที่เป็นแบบนี้นั้นโง่เขลาเกินบรรยาย อยู่ในโรงแรมยังจะไม่รู้อีกว่าเดินไปที่ไหน
เย่เนี่ยนโม่ให้เธอบอกสิ่งก่อสร้างรอบๆอีกครั้ง จากนั้นเหมือนว่าจะกดโทรศัพท์อีกเครื่อง ไม่นานนัก ติงยียีก็เห็นคนที่เหมือนจะเป็นพนักงานเสิร์ฟเดินตรงเข้ามาหาเธอ
พนักงานเสิร์ฟนำทางอยู่ด้านหน้าด้วยความเคารพ ติงยียีกำลังอยากจะพูดอะไร ข้างกายเย่เนี่ยนโม่เหมือนจะมีคนเข้ามา สองคนสนทนากันเบาๆสักพัก เย่เนี่ยนโม่กำชับติงยียีว่าหลังจากที่กลับถึงห้องแล้วให้ส่งข้อความหาตัวเองด้วยจากนั้นก็วางสายไป
ตระกูลเย่ เย่ป๋อสายตาเคร่งขรึม “คุณอ้าวเสว่ฟื้นแล้ว”
อ้าวเสว่พอเห็นเย่เนี่ยนโม่ก็ร้องไห้แทรกตัวเข้ามาในอ้อมกอดของเขา เย่เนี่ยนโม่ร่างกายแข็งทื่อ แต่ก็ไม่ได้ผลักเธอออก สวีเห้าเซิงที่อยู่ด้านข้างมองอย่างปวดใจไม่หยุด
ผ่านไปสักพัก เย่เนี่ยนโม่เดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว ช่องว่างระหว่างคนสองคนเกิดเป็นช่วงว่าง เขาก้มหัวจ้องมองเธอ“พักผ่อนเยอะๆ”
เธอร้องไห้จนน้ำตาพร่าเลือน ความกลัวตายที่อยู่ภายในใจนั้นยังไม่จางหาย เธออยากจะให้เย่เนี่ยนโม่ปลอบโยนตัวเอง ต้องการแสวงหาอ้อมกอดอันอบอุ่น อยากจะเห็นใบหน้าของเขามีความกังวลร้อนใจหรือแม้แต่ท่าทางโมโห แต่นี่กลับไม่มีเลย อ้อมกอดของเขานั้นเย็นยะเยือกและแข็งทื่อ การแสดงออกของเขานั้นเรียบเฉยและเหินห่าง เขามีแค่เพียงประโยคเดียว นั่นก็คือให้ตัวเองนั้นพักผ่อนให้เต็มที่
อยู่ๆเธออยากจะหัวเราะขึ้นมา เพราะว่าเด็กหนึ่งคนทำให้เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ สำหรับเย่เนี่ยนโม่แล้ว เวลาที่เขาชอบคุณจะสามารถประคองคุณไว้อย่างเอาใจใส่สุดหัวใจ แต่เวลาที่ไม่ชอบคุณ ถึงคุณจะตายไป อีกฝ่ายก็คงไม่ขมวดคิ้วเลยด้วยซ้ำ
“ฉันรู้แล้วละ โชคดีที่ทันงานแต่งงาน” อ้าวเสว่แสร้งยิ้ม เธอยิ้มหวานหยาดเยิ้ม เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าแล้วเดินออกไป สวีเห้าเซิงเห็นปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ถึงกับถอนหายใจ “ลูกรัก แต่งไปแล้วลูกจะมีความสุขจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”
อ้าวเสว่นอนอยู่บนเตียง เธอปิดตา ปิดไฟที่ส่องสว่าง แต่ไม่สามารถปิดกั้นน้ำตาได้ ขณะที่ร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือน เธอก็ค่อยๆเปิดปาก “ยังไงก็ต้องแต่ง!”
อีกห้องหนึ่ง เย่ชูฉิงมองต้นเมเปิ้ลจีนที่ใบไม้ร่วงโรยไปแล้วอยู่นอกหน้าต่าง ต้นเมเปิ้ลจีนโล้นเตียน ก้านแห้งสีน้ำตาลปะทะลม ยอดกิ่งมีรังนกเล็กๆอยู่หนึ่งรัง รังนกนี้ถูกทอดทิ้งมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าปีหน้าฤดูใบไม้ร่วงจะมีนกนางแอ่นบินกลับมาหรือเปล่า
ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาหันศีรษะกลับมา “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า “ดีมาก”
สายตาของเขาเคลื่อนกลับมาที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง พูดอย่างเรียบเฉย: “ฉันอยากจะตายพร้อมเธอ แบบนั้นแรงต่อต้านทั้งหมดของพวกคุณก็จะหายไป แต่ว่าฉันนั้นผ่านจุดนั้นของฉันไปไม่ได้”
เย่เนี่ยนโม่มองตามสายตาของเขา สายของเขาเองก็ตกไปอยู่ที่รังนกที่ถูกทอดทิ้งด้านหน้าหน้าต่าง เขาเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย “พรุ่งนี้ยียีจะแสดงแล้ว”
พรุ่งนี้? ภายในใจของเย่ชูหวินเต็มไปด้วยความหดหู่ใจ พรุ่งนี้เธอจะขึ้นแสดง เขาวันมะรืนแต่งงาน “คุณคงจะไม่ไปใช่หรือเปล่า?”เขาจ้องมองเขา น้ำเสียงเยือกเย็น
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว หมุนตัวกลับทิ้งประโยคที่เรียบเฉย “รักษาตัวเธอให้ดี”
“เย่เนี่ยนโม่” เขาเรียกเขาไว้ “ฉันคิดมาโดยตลอดว่าถ้าเธอรู้เรื่องทั้งหมด อย่างนั้นผมจะพาเธอจากไป แต่ผมคิดผิด ถ้าหากว่าเธอรู้เรื่องทั้งหมดนี้ เธอจะต้องจากไปด้วยตัวของเธอเองแน่”
“ฉันจะไม่ยอมให้เธอไป”เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้หันกลับมา แผ่นหลังของเขาตั้งตรง คำพูดของเขาเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่ เหมือนกับว่าคำพูดที่ตอบกลับมานี้ ยิ่งคล้ายว่าพูดกับตัวเอง
ด้านนอกประตู เย่ป๋อยืนตัวตรง “บัตรเชิญส่งออกไปเรียบร้อยแล้วครับ”
เขาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก มีบางเรื่องที่ตัดสินใจเริ่มทำแล้ว ก็ไม่มีหนทางที่จะหยุดลงได้
การแสดงแฟชั่นโชว์ฤดูใบไม้ผลิ ทุกคนเตรียมพร้อมประจำตำแหน่ง ภายในห้องแต่งตัวยุ่งจนวิ่งวุ่นร้อนระอุตั้งแต่เช้า ติงยียีนั่งอยู่ด้านข้างมองรูปทรงนางแบบตะวันตก ในใจรู้สึกทอดถอนหายใจแท้จริงแล้วความงามที่เป็นลักษณะพิเศษแบบนี้เธอไม่มีหนทางเพลิดเพลินได้เลย
เอเลนเดินเข้ามา ติงยียีมองเขาอย่างค่อนข้างระมัดระวัง เขายักไหล่ “อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ว่าฉันจะสนใจตัวคุณมากก็ตาม แต่ว่าไม่มีงานอดิเรกที่จะทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล”
ติงยียียังทำหน้าระมัดระวัง เหลือแค่ไม่ได้เขียนว่า ‘ฉันไม่เชื่อ’ตัวใหญ่ลงไปบนหน้า
อยู่ดีๆเอเลนก็เอนตัวมาเข้าใกล้เขา ระยะห่างระหว่างสองคนนั้นใกล้กันจนสามารถเห็นกระที่อยู่บนจมูกของเขาได้อย่างชัดเจน เขามองมาที่ดวงตาดำขลับของเธอ “เธออยากมาอยู่ข้างกายของผมหรือเปล่า?”
อะไรนะ? ติงยียีตะลึง นี่มาไม้ไหนอีกเนี่ย เธอตั้งสติอย่างรวดเร็ว “นี่คุณกำลังเล่นเกมอะไรอีก?”
“ฮาฮาฮา” เอเลนยืดตัวขึ้นหัวเราะออกมาเสียงดัง นางแบบสูงโปร่งรูปร่างร้อนแรงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา หลังจากเห็นเอเลนดวงตาของเธอก็เป็นประกาย บิดเอวเดินเข้ามาทางเขา
เอเลนโอบพันเอวของหญิงสาว ก้มลงสบสายตาของติงยียีแบบนั้น เขายิ้มเล็กน้อย โอบรัดนางแบบคนนั้นเข้ามาใกล้ชิดมากขึ้นอีก ไม่หันมามองติงยียีอีก หันตัวเดินจากไป
ที่ทางเข้าโถงบันได ผู้หญิงต่างชาติใจร้อนลูบไล้กล้ามเนื้ออันบึกบึนที่แอบซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าของเขา นิ้วมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปใต้ชายเสื้อของเขา แต่กลับโดนมือข้างหนึ่งของเขาจับเอาไว้
“ขอโทษด้วยนะซังน่า วันนี้ผมอกหักมา ฉันไม่มีอารมณ์จริงๆ” เอเลนยิ้มให้กับหญิงสาวที่ส่งสายตาทิ่มแทงมาที่ตัวเขาเอง หมุนรองเท้าส้นสูงกลับตัวอย่างแรงและเดินจากไป
เขาหยิบบุหรี่ออกมา คลำหาในกระเป๋าหนึ่งรอบ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าไฟแช็กยังวางอยู่ในห้องของติงยียี สักครู่ใหญ่ ปากของเขาก็บ่นด่าขึ้นมาหนึ่งประโยค หันตัวกลับไปต่อยกำแพง ขณะนี้เอง โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้นมา รับโทรศัพท์ สีหน้าของเขาก็ดำคล้ำขึ้นมาเรื่อยๆ
ติงยียีมองเอเลนพุ่งตรงเข้าไปหลังเวทีอย่างประหลาดใจ สตาฟหลายคนถกเถียงกันอย่างเป็นกังวล แม้แต่นางแบบบางส่วนที่รู้รายละเอียดเหตุการณ์ก็ถาม “Alinคงไม่ได้เสนอแนะอะไรแย่ๆออกมาหรอกนะ”
หลังเวทีที่เดิมทีบรรยากาศนั้นร้อนระอุเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นได้สงบนิ่งลง ชิวไป๋เข้ามาใกล้เธอพูดด้วยเสียงเบา “ดีไซเนอร์ของแบรนด์นี้เป็นคนแปลก เมื่อก่อนเคยเกิดเรื่องขึ้นสาเหตุมาจากมีการเปลี่ยนฉากในเวทีดังนั้นเลยเกิดเรื่องคัดค้านไม่ให้เปิดการแสดงเดินแบบ ครั้งนั้นเขาเสียหายไปเป็นล้าน ครั้งนี้เหมือนว่าจะเกิดปัญหาอีกแล้ว”
ติงยียีตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้น?” ชิวไป๋ขมวดคิ้วไปมา“ได้ยินมาว่ายังคิดตกลงไม่ได้เรื่องสร้อยคอที่เข้าคู่กับชุด ดังนั้นชายแก่คนนั้นเลยไม่ยินยอมให้เปิดการแสดงเดินแบบ”
“นี่ก็ทำตามใจตัวเองเกินไปแล้วนะ”ติงยียีพูดอย่างเหลือเชื่อ เพียงเพราะเครื่องประดับชิ้นเดียวทำให้เกิดการถูกยกเลิกงานแสดงเดินแบบ
ชิวไป๋ส่ายหน้าอย่างจำใจ บรรยากาศภายในสถานที่มืดครึ้มขุ่นมัว ติงยียีมองใบหน้าของทุกคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวด ก็รีบตรงเข้าไปหลังเวที
งานเดินแบบในครั้งนี้จัดขึ้นที่ชั้นบนสุดของโรงแรม ชั้นที่สูงทำให้เธอรู้สึกใจสั่นอยู่บ้าง เธอเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆตามทาง ไม่ทันที่จะรู้ตัวก็รู้สึกว่าได้เข้ามาที่ห้องที่เมื่อคืนนั้นบุกเข้าไปผิดนั่นเอง
ยังไม่ทันที่จะเข้าประตูไปเธอก็ได้ยินเสียงสิ่งของตกลงบนพื้น เธอคิดว่าคุณปู่ล้มลง เลยไปเปิดประตูอย่างรีบร้อน และชายแก่ที่กำลังขว้างปาสิ่งของก็จับจ้องดวงตาของเธออยู่ครู่หนึ่ง
“ทำไมถึงเป็นคุณ” ชายแก่เห็นการแต่งตัวของเธอก็ขมวดคิ้ว “คุณเองก็เดินแบบในคืนนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
ในใจของติงยียีคิดว่าชายแก่คนนี้อารมณ์ร้อนเสียจริง เธอก้มตัวลงไปหยิบเสื้อผ้าที่ชายแก่โยนทิ้งไว้ระเกะระกะขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองชุดกระโปรงสีแดงที่แขวนอยู่กลางห้อง
กระโปรงสีแดงชุดนี้ยาวมาก ส่วนโดยรอบเอวมีการประดับอัญมณีสีเขียวเป็นชั้นๆ อัญมณีเปล่งประกายส่องแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่ามีความประณีตเป็นอย่างมาก
“ยังจะอยู่ที่นี่ไปทำไม รีบออกไปซะ!”ไม้เท้าที่อยู่ในมือชายแก่เคาะกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ติงยียีมองเขาด้วยความแปลกใจ และก็เพิ่งจะเห็นว่ามีตัวอักษร‘Alin’อยู่บนไม้แขวนเสื้อ
“คุณคือคุณAlin?” ติงยียีพูดอย่างคาดไม่ถึง ชายแก่มองเธอแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดจาอะไร
ติงยียีหยุดชะงัก แต่ยังพูดต่อ: “ฉันคิดว่าคุณยกเลิกงานแสดงเดินแบบตามอำเภอใจแบบนี้มันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะคะ”
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”ชายแก่โมโหจนยกไม้เท้าในมือขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ริ้วรอยบนหน้าผากก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ติงยียีเลียริมฝีปากที่ค่อนข้างแห้ง หลังจากรับรู้รสชาติของลิปสติกก็นึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหันว่าตัวเองนั้นแต่งหน้าอยู่ เธอเอ่ยปากด้วยความโมโห “เพราะว่าทุกคนพยายามอย่างมากเพื่อทำการแสดงแฟชั่นโชว์นี้ให้ออกมาดี จะมาบอกว่าไม่เปิดการแสดงก็ไม่เปิดแบบนี้ มันเอาแต่ใจเกินไปค่ะ”
ชายแก่ไม่ได้โมโหอย่างที่คาดการณ์ไว้ เขามองไปที่ชุดกระโปรงสีแดงนั้น ในน้ำเสียงมีความหดหู่และสิ้นหวัง “พอเธออายุเท่าฉัน คุณก็จะไม่ทำเล่นๆต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้น” เสียงพูดเพิ่งจะหมดไปเขาก็กลับโมโหเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง โบกไม้เท้าไล่เธอ “รีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย ถ้าว่างนักแทนที่จะมาโหวกเหวกโวยวายที่นี่สู้ไปหาที่พักอยู่ไม่ดีรึ”
ติงยียีถูกเขาผลักออกไปที่ประตู ชายแก่มองเธอแวบหนึ่ง: “ถ้าหากว่าคุณสามารถหาเครื่องประดับที่เข้าคู่กับเสื้อผ้าของฉันได้ แล้วค่อยมาสั่งสั่งสอนฉันก็ยังไม่สายหรอกนะ สาวน้อย!”
“ได้! ฉันจะลองดู!”ติงยียีถูกสายตาดูถูกเหยียดหยามของเขาจนโมโห ชั่วขณะที่โมโหแผดเผาอยู่นั้นก็สงบลง ชายแก่ตกตะลึง ยินดีขึ้นมา โบกมือให้เธอเข้ามาอีกครั้ง เขาอยากจะดูว่าสาวน้อยคนนี้จะสามารถหาอะไรออกมาได้บ้าง
จิตใจของติงยียีเองก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอเดินกลับเข้ามาอยู่หน้าเสื้อผ้าอีกครั้ง ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นไม่นานก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
ชายแก่นึกว่าเธอจะจากไป ในจมูกทำเสียงฮึอย่างไม่พอใจ แต่กลับเห็นเธอเดินวนอยู่ตรงที่ว่างเปล่า ปากยังพูดพึมพำ จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาบนโต๊ะอีกครั้ง หยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มวาดรูป
Alinไม่คิดว่าเธอจะวาดออกมาได้อย่างจริงจัง ไปนั่งอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านข้าง รอดูว่าเธอจะวาดสิ่งใดออกมา
ติงยียีรู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่ได้วาดรูปมานานมากแล้ว เธอคิดว่าตัวเองนั้นน่าจะฝีมือตก แต่กลับพบว่าท่าทางการจับปากกาวาดรูปนั้นค่อนข้างคุ้นเคย เพียงแค่วาดไม่กี่เส้นความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนก็กลับเข้ามาอีกครั้ง
ความคิดของเธอเหมือนกับนกอินทรีที่สยายปีกโบยบินขึ้นสูงในที่รกร้างว่างเปล่า คลื่นความคิดแล่นออกมาจากสมองครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้น
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอตบพู่กันวางลงจนเกิดเสียง ขณะที่หยิบภาพขึ้นมาก็มีความลังเลสองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ เธอทำแบบนี้จะถือว่าเป็นการไม่ประมาณกำลังตัวเองหรือเปล่า
“เอามาเถอะ ฉันอยากจะดูว่าคุณทำฉันเสียเวลามาตั้งนานแท้จริงแล้ววาดสิ่งใดออกมากันแน่”ชายแก่ที่นั่งอย่างสงบ แท้จริงแล้วไม่ได้ให้โอกาสเธอถอยกลับ