สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1566 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1406
สวีเห้าเซิงมองเธอด้วยความปวดใจ ลูกสาวที่เขารักอย่างสุดหัวใจ ลูกสาวที่เขาอยากที่จะมอบโลกทั้งใบให้ทำไมถึงได้กลายเป็นผู้หญิงน่ากลัวเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้!
“อ้าวเสว่”เขาเอ่ยปากด้วยความปวดใจ พอได้ยินเสียงของคนเป็นพ่อก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความงุนงง สายตาของเขาก็มองตรงไปที่เธอ ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาเหมือนลูกแมวทำให้สวีเห้าเซิงรู้สึกปวดใจ แต่ว่าในเวลานี้เขาไม่สามารถให้อภัยเธอได้จริงๆ เขาค่อยๆเอ่ยปากว่า “พ่อผิดหวังกับลูกมากจริงๆ”
เขาเห็นว่าหลังจากที่เธอได้ยินประโยคนั้นก็อึ้งไป ใบหน้าเศร้าหมอง เขาถอนหายใจยาวออกมา หันหลังและก็ก้าวเดินออกไป เหยนหมิงเย้ามองตัวเย่เนี่ยนโม่อย่างเงียบๆ แล้วเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นสีหน้าเรียบเฉย สายตาของเย่เนี่ยนโม่ไม่แม้แต่มองทั้งสองคนด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเป็นผู้ชมคนหนึ่ง
เขาป้องกันอ้าวเสว่ไว้ข้างหลังด้วยความระมัดระวัง เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ แต่หลังจากที่สวีเห้าเซิงออกไปนานอ้าวเสว่ก็เอาแต่ก้มหน้า ยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ คนดูไม่ออกว่าสีหน้าดีใจหรือเศร้าโศก
เซี่ยชีหรั่นกำลังช็อกอยู่ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าสาวน้อยตัวเล็กๆจะสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ ทำร้ายร่างกายตัวเอง และจงใจทำลายความบริสุทธิ์ของตัวเอง
เธอเองก็โกรธมากเช่นกัน แต่ที่มากกว่าก็คือความทุกข์ใจ เธอคิดว่าเด็กๆพวกนี้ที่อยู่รอบตัวเธอจะเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์และจิตใจดี เธอไม่อยากเห็นพวกเขากลายเป็นแบบนี้ แต่ว่าหลังจะเห็นท่าทางของอ้าวเสว่แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงต่อ
เธอถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร เธอหันหลังและเดินออกไป สายตาที่รู้แจ้งของเย่เชินหลินมองสถานที่เกิดเหตุอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปพร้อมกับเซี่ยชีหรั่น
เสียงส้นสูงเหยียบพื้นทำให้อ้าวเสว่ตั้งสติกลับมาได้ ให้มองไปที่ประตู พอสบตากับเย่เนี่ยนโม่แล้วเธอก็รีบก้มหน้าลงในทันที เธอถ้ากำลังหนีอยู่
เหยนหมิงเย้าบังอยู่ตรงหน้าของเธอแล้วก็มองเย่เนี่ยนโม่อย่างเย็นชา ตอนเด็กๆพวกเขาเคยเล่นอยู่ด้วยกันมาก่อน เดิมทีสามารถกลายเป็นเพื่อนรักกันได้เลย แต่ว่าเพราะผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยไม่สามารถเข้ากันได้อีก
เย่เนี่ยนโม่มีแต่ความตกใจ เดิมทีเขาแค่ต้องการขุดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับความจริงที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง เขาเคยสงสัยอ้าวเสว่มาก่อน แต่ว่าความรู้สึกตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อมันเลย
เขาเหลือบมองไปที่คนสองคนอย่างนิ่งๆ แล้วก็หันหลังเดินออกไป ก้าวเท้ามั่นคง อ้าวเสว่ตัวสั่น แล้วก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ประโยชน์ แล้วก็ตะโกนออกไปอย่างไม่รู้ตัว “เนี่ยนโม่”
เหยนหมิงเย้าดึงเธอไว้เบาๆ แล้วก็ส่ายหน้าอย่างเงียบๆ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับม้าป่าที่คลุ้มคลั่ง ยากที่จะกอบกู้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เย่เนี่ยนโม่ไปแล้ว อ้าวเสว่มองเขาด้วยความงุนงง แล้วอยู่ดีๆดวงตาที่สับสนก็แน่วแน่ขึ้นมาทันที แน่วแน่จนทำให้เหยนหมิงเย้ารู้สึกประหลาดใจ
“ฉันจะไปขอโทษ พวกเขาต้องให้อภัยฉันแน่นอน ฉันจะไปขอโทษ”เธอสะบัดมือของเขาออก แล้วก็เดินโซซัดโซเซออกไปด้านนอก
เย่เนี่ยนโม่ก้าวอย่างรวดเร็ว ชิวไป๋โทรมาหาเขาตั้งแต่เช้าตรู่ ถ้าเกิดว่าไม่ได้มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ป่านนี้ติงยียีน่าจะอยู่ระหว่างทางกลับประเทศแล้ว เขาต้องการที่จะซ่อนเรื่องทั้งหมดนี้ก่อนที่เธอจะกลับมา
เขาเดินเร็วเกินไป พอไปถึงหัวมุม ก็เจอพ่อกับแม่ที่เดินอยู่ช้าๆ ดูเหมือนแม่จะหมกมุ่นอยู่กับความคิดโดยไม่ทันสังเกตว่าเขาอยู่ที่ไหน แล้วพ่อก็ค่อยๆหันหน้ามา มองเขาเงียบๆ
เย่เนี่ยนโม่คุ้นเคยกับสายตานั้นมาก เป็นสายตาที่รู้เห็นแจ่มแจ้ง แน่วแน่ แล้วก็มีร่องรอยของพละกำลัง เขาเห็นพ่อของเขาหยุดลง ปลอบแม่ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แล้วเดินตรงเข้ามาหาเขา
เย่เชินหลินยืนนิ่ง เขามองไปที่ลูกชายที่อยู่ข้างหน้าเขาซึ่งเกือบจะสูงเท่ากับเขา เขามีความรู้สึกมากมายผสมปนเปอยู่ภายในใจ ลูกชายของเขาโหดกว่าเขา ลูกชายเขาสามารถปิดบังพ่อไม่ให้รู้ได้เพื่อที่จะไปทำอะไรบางอย่าง แต่ว่าเขาก็เหมือนกับพ่อมาก สำหรับคนที่ตัวเองชอบแล้วยังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือ หมกมุ่นมากเกินไป
“อย่าทำอะไรให้มันเกินไปล่ะ” เขาพูดประโยคนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ก้าวยาวเดินไปหยุดอยู่ข้างๆเซี่ยชีหรั่น เขาเอื้อมมือไปโอบเอวของเธอเบาๆ เหมือนกับว่าปกป้องของล้ำค่าที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่เงียบๆ พ่อรู้ทุกอย่างแล้วจริงๆ แต่ว่าแล้วมันจะเป็นอะไรกันล่ะ อนาคตของบริษัทเย่ซื่อ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเป็นคนจัดการอยู่ดี เพื่อปกป้องผู้เป็นที่รักจากอันตราย เขาจึงเต็มใจที่จะเป็นคนเย็นชา
“คุณชาย!”เย่ป๋อก้าวยาวมาหยุดอยู่ข้างๆเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “กล้องวงจรปิดจับภาพคุณยียีไว้ได้แล้วครับ แต่ดูเหมือนเธอจะหายไปในพริบตา!”
เย่เนี่ยนโม่เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “ไปตามหาซะ!”
ติงยียีมองดูโรงแรมที่คุ้นเคย นี่คือสถานที่ที่เธอได้เจอกับเย่เนี่ยนโม่ มันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ เธอเจ็บปวด มีความสุข ดิ้นรน และในที่สุดก็กลับมาที่นี่ เหมือนกับวัฏจักร
ผู้คนในโรงแรมยิ้มแย้มแจ่มใส ผู้คนในชุดหรูหราเดินเข้าไปในโรงแรมไม่หยุด พวกเขายิ้มและให้พรไปด้วย ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข ทำให้ใบหน้าซีดเซียวของเธอหมองลงอย่างชัดเจน
เธอเดินไปที่แผนกต้อนรับอย่างเลื่อนลอย พยายามฝืนยิ้มออกมาและพูดอย่างยากลำบาก “รบกวนสอบถามหน่อยค่ะว่าวันนี้มีคนจัดงานแต่งงานขึ้นที่นี่รึเปล่า”
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับรู้สึกว่าใบหน้าของเธอค่อนข้างคุ้น แต่ว่ากลับนึกไม่ออก แล้วเธอก็ตอบอย่างมีมารยาทว่า “มีค่ะ อยู่ที่ชั้นสี่ แต่ว่าดูเวลาแล้วงานน่าจะเริ่มขึ้นแล้วนะคะ”
ติงยียีพยักหน้าอย่างมึนๆ ดูเหมือนว่าเท้าจะหนักขึ้นมาในทันที ทำได้เพียงแค่ลากขาไปด้านหน้าอย่างช้าๆ พนักงานต้อนรับอีกคนหนึ่งมองแผ่นหลังของเธอ แล้วก็เดินเข้าไปพร้อมกับกระซิบพูดว่า “ทำไมเธอไม่บอกว่าที่ชั้นห้าบริษัทของเย่ซื่อก็จัดงานหมั้นเหมือนกันล่ะ?”
พนักงานต้อนรับที่ได้พูดคุยกับติงยียีคนนี้บอกว่า “แขกที่บริษัทเย่ซื่อได้เชิญร่วมงานนั้นมีแต่คนที่มีฐานะและตำแหน่งสูงส่ง ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะแต่งตัวไม่เลวเลย แต่ไม่น่าจะเป็นแขกที่บริษัทเย่หรอก แล้วอีกอย่าง” ผู้หญิงคนนั้นหยุดครู่หนึ่งพร้อมกับลดเสียงและพูดต่อว่า “ข่าวใหม่ล่าสุด ข่าวจากบริษัทเย่ซื่อ งานหมั้นนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว ฉันเห็นตั้งหลายคนแอบขึ้นรถกลับไปแล้ว”
ทั้งหมดนี้ ติงยียีไม่รู้อะไรเลย เธอพึ่งจะเดินสุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นลิฟต์ไป ขณะที่ฝูงชนยิ้มแย้มเดินออกจากลิฟต์ ประตูลิฟต์เป็นซุ้มลูกโป่งสีชมพูขนาดใหญ่ ไม่ไกลจากนั้นก็มีป้ายหนึ่งตั้งอยู่ มีชื่อคนที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีแดง และเธอไม่ได้มองทั้งสองชื่อที่เขียนอยู่ติดกัน เพราะเธอกลัวว่าจะทนไม่ไหว
มีเสียงเพลงงานแต่งดังออกมาจากด้านใน ความสุขแผ่ออกมาจากเสียงในเพลงนั้น ติงยียียืนอยู่ตรงหน้าประตู ก็เหมือนกับว่าจะสามารถเห็นภาพเหตุการณ์ข้างในได้
อ้าวเสว่กำลังกอดแขนของเย่เนี่ยนโม่อย่างมีความสุข ผู้คนก็ต่างมองพวกเขาด้วยสายตาที่มีความสุข พวกเขาทั้งสองคนเดินไปที่หน้าเวทีเพื่อรับพรจากนักบวช หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างพูดว่า ตกลงกันและกันเป็นสามีภรรยา
“ไม่! มันต้องไม่ใช่แบบนี้!”เธอพึมพําเบาๆ การแต่งงานที่มีความสุขเปรียบเสมือนบทเพลงแห่งความเจ็บปวดในหูของเธอในตอนนี้ ตัวเธอสั่นเทาและวางมือที่สั่นๆของเธอไว้บนประตู
“ฉันไม่เห็นด้วย !”ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ทุกคนหันไปและมองไปที่หญิงสาวที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างสงสัย และเจ้าสาวเจ้าบ่าวก็หันมามองเธออย่างแปลกใจ
ไม่ใช่เย่เนี่ยนโม่กับอ้าวเสว่ ! ติงยียีมองคนแปลกหน้าทั้งสองคน ร่างกายของเธอเบาหวิวเหมือนกับว่าจะลอยได้ จนเกือบจะล้มลงไปอยู่แล้ว
“คุณผู้หญิงมีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมกับมองติงยียี แววตาของเธอจ้องเขม็งไปที่เจ้าบ่าว และเจ้าบ่าวก็มองกลับมาอย่างไร้เดียงสา
“ขอโทษค่ะ ฉันมาผิดที่”ทันใดนั้นติงยียีก็โค้งคำนับให้ทุกคนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอแดงเหมือนแอปเปิล และร่างกายของเธอก็สั่นเล็กน้อย
เธอถอยออกมา ไม่นานประตูใหญ่ก็ปิดใส่หน้าของเธอ เหมือนกับว่าไม่ยอมให้เธอขโมยความสุขครั้งนี้ไป เธอหันหน้าไปทางประตูไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลอีกครั้ง เธอหันหลังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะย่อตัวลง การผลักประตูเมื่อกี้นี้เป็นการใช้ความกล้าในการตามหาความรักของเธอทั้งหมดในชีวิตนี้แล้ว ตอนนี้เธอไม่หมดหนทางแล้ว
หนึ่งก้าว สองก้าว รองเท้าหนังแข็งกระแทกพื้นหินอ่อนด้วยเสียงที่สม่ำเสมอกัน คนที่เดินเข้ามาพร้อมเสียงฝีเท้าที่มั่นคง ดูมีพลังอำนาจที่ได้มาตั้งแต่เกิด
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วก็มองลงมาที่ตัวเธอ เสียงเพลงในห้องหยุดลงแล้ว แล้วก็ได้ยินเสียงของนักบวชดังออกมาอย่างแผ่วเบา “ไม่ว่าจะรวยหรือจะจน จะแก่เฒ่า หรือป่วยไข้ หรือแม้แต่ความตาย คุณยินดีที่จะอยู่กับเธอ ไม่ปล่อยมือและไม่ทอดทิ้งกัน”
เขาฟังอยู่เงียบๆ รอคอยประโยคที่ว่า ‘ผมยินดี’แล้วเขาก็เอ่ยปากออกมาเบาๆ “ยียี”
คนที่นั่งยองๆอยู่ตรงหน้าของเขาก็ชะงักไปในทันที แต่ว่าก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เย่เนี่ยนโม่ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเพื่อเรียกเธอต่อ “ฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่”
ติงยียีค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยความเศร้าโศกอย่างกับน้ำพุ สีหน้าของเธอดูอ่อนแอและหมดหนทาง เหมือนกับเด็กน้อยที่หลงทาง เธอมองมาที่เขา แค่มองมาที่เขาเท่านั้น
เย่เนี่ยนโม่ปวดใจเป็นอย่างมาก เขายื่นมือออกไป แล้วก็มองเธออย่างให้กำลังใจ “มา จับมือฉันไว้”
ในที่สุดติงยียีก็ได้สติกลับมา เธอมองดูเส้นเลือดที่ชัดเจนที่ฝ่ามือของเขา ร่างกายของเธอก็เริ่มขยับ เธอลุกขึ้นอย่างโยกเยก ขาของเธอชา เหมือนกับหัวใจของเธอในตอนนี้นั่นแหละ
“ทำไมถึงต้องหมั้นกับอ้าวเสว่ ด้วย”เธอมองเขาแล้วก็พูดออกมา มือของเธอเริ่มกำหมัดแน่น เล็บฝังเข้าไปในฝ่ามือจนเป็นรอยเหมือนพระจันทร์เสี้ยว
“ไม่ได้หมั้น ยกเลิกไปแล้ว”เย่เนี่ยนโม่พยายามใช้เสียงที่อ่อนโยนที่สุดในการปลอบโยนเธอ ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่เธอ ไม่พลาดสีหน้าของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
คำพูดของเขาทำให้สีหน้าที่สับสนของติงยียีสับสนขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก เธอเลียริมฝีปากที่แห้งแแตกเพราะไม่ได้ดื่มน้ำนานเป็นเวลาเจ็ดแปดชั่วโมง แววตาแดงก่ำระยิบระยับ “ฉันถามว่า ทำไมต้องหมั้นกับเธอ”
เย่เนี่ยนโม่เงียบ เขาไม่สามารถพูดเหตุผลที่แท้จริงได้ เพราะเขารู้ว่าเหตุผลนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงได้จริงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไป แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมเห็นเธอต้องทนทุกข์เหมือนกัน
“เพราะว่าฉันท้อง”ห่างไปไม่กี่เมตร อ้าวเสว่ยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้น ภายในห้องข้างในเหมือนกับจะมีกิจกรรมที่คึกคัก ผู้คนหัวเราะ และปรบมือ แต่ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับสามคนที่อยู่ข้างนอกเลย
สายตาของติงยียีจ้องไปที่หน้าท้องของอ้าวเสว่ แล้วก็มองไปที่ปากที่เม้มแน่นของเย่เนี่ยนโม่ แล้วก็ค่อยๆแหงนหน้ามองขึ้นเรื่อยๆ เธออ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้พูดอะไรออกไปรึเปล่า แต่ว่าเธอได้ยินเสียงก้องอยู่ในหูของตัวเอง “ฉันเข้าใจแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่รู้สึกตื่นตระหนก เธอไม่ร้องไห้โวยวาย แต่กลับพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว?”ยังงั้นเหรอ?
เขาดึงมือของเธอมาแล้วค่อยๆพูดว่า “ยียีฟังฉันพูดก่อนนะ”
“ฉันไม่ฟัง !”เธอโพล่งออกมา เธอได้ใช้เหตุผลทั้งหมดไปกับความใจเย็น เมื่อกี้นี้แล้ว เขาควรจะปล่อยเธอไป ให้เธอได้เก็บศักดิ์ศรีสุดท้ายของเธอเอาไว้ แต่ว่าทำไมต้องเรียกเธอไว้ ทำไมต้องไม่ยอมปลอยเธอไป!