สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1570หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1410
เย่ชูหวินเหลือบมองเธอ “ฉันให้เธอ” เมื่อเห็นเธอสับสน เขาก็นั่งถัดจากเธอและบีบอุ้งเท้าหมี “ฉันเตรียมไว้จะมอบให้เธอเมื่อเธอกลับมาจากปารีสน่ะ”
ประโยคนี้ทำให้ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ แต่ว่าไม่นานติงยียีก็คลี่ยิ้มออกมา “แปลกจริงๆ ลุงกับป้าไม่ได้อยู่กับนายเหรอ? พวกเขายังอยู่ที่อเมริกาเหรอ?”
แววตาของเย่ชูหวินมีความปวดร้าวที่อธิบายไม่ถูก แม้แต่น้ำเสียงของเขายังคงต่ำลง “พวกเขาอยู่ที่แคนาดา”เพราะเห็นว่าติงยียียังอยากจะพูดอะไรต่อ เขาก็ยกมือของเธอขึ้นเบาๆ “เธอเนี่ยจริงๆเลยนะ ยิ้มไม่ออกก็ไม่ต้องยิ้ม ดูแย่จริงๆเลย”
ติงยียีเอามือกุมหัวไว้ น้ำตาร่วงลงมาเพราะคำพูดของเขา คราวนี้เขานิสัยไม่ดีจริงๆเลย ทำไมต้องเปิดโปงสิ่งที่เธอกำลังปิดบังอยู่ ทั้งๆที่เธอเนียนมากแล้ว
เพราะเห็นว่าเธอปิดหน้าและร้องไห้ เย่ชูหวินลุกลนมาก เขารีบยื่นมือออกมาและลูบที่หัวของเธอเบาๆพร้อมกับพูดอย่างปวดใจว่า “ฉันไม่ได้ออกแรงซะหน่อย เธอเจ็บจริงๆเหรอ?”
น้ำเสียงของเขามันอ่อนโยนมาก ติงยียีก็ร้องไห้ออกมาดังๆ เปิดเผยด้านที่เปราะบางของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ เธอซบไหล่ของเย่ชูหวินแล้วก็ร้องไห้ออกมา เย่ชูหวินได้แต่ลูบหลังให้เธอเบาๆแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนเธอแบบนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ติงยียีก็ก้มหน้าพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำและพูดว่า “ไม่เจ็บแล้ว”
น้ำเสียงของเธอยังแหบแห้งจากการร้องไห้ ทำให้คนที่ฟังรู้สึกปวดใจ เย่ชูหวินพยายามฝืนยิ้มออกมา “เธอนี่จริงๆเลย เพื่อนบ้านน่าจะคิดว่าฉันรังแกเธอ เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้เธอกินดีกว่า เธอเดินเล่นในห้องไปก่อนนะ”
เย่ชูหวินออกไปอย่างรีบร้อน เขาพิงตัวไปที่ผนังกำแพง คนที่อยู่ข้างในยังคงสะอื้นร้องไห้ และเสียงนั้นทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจจนเขาอยากจะตายไป
เขาทุบหน้าอกของตัวเอง แล้วก็เดินอย่างยากลำบากไปที่ครัว ในห้องนั้น ติงยียีกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่อยู่ บรรยากาศในห้องค่อนข้างหดหู่ เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างและเปิดผ้าม่านออก
ข้างนอกบ้านเป็นสีขาวโพลนและคนทำความสะอาดยังคงกวาดหิมะอยู่ เธอเหลือบมอง แล้วเดินกลับไปที่ห้อง ภายในห้องนั้นมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่สองชั้น ในชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง มีแผ่นหลายแผ่นวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
เธอสุ่มหยิบแผ่นดิสก์ที่มีเฉพาะวันที่ออกมาแล้วใส่ลงในเครื่องเล่นแผ่นดิสก์ เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เป็นคลิปโฆษณาที่เธอเคยถ่ายให้กับร้านบาร์บีคิวร้านหนึ่ง ในคลิปนั้น เธอถือมีดกับส้อมพร้อมกับยิ้มหวานให้กล้อง
ใจเธอสั่นระรัว เธอจึงค้นหาแผ่นอื่นๆโดยอัตโนมัติ เล่นมันทีละแผ่น ตั้งแต่เธอเดบิวต์จนถึงปัจจุบัน คลิปงานอีเวนต์และออกรายการทุกครั้งที่ฉายบนหน้าจอทุกคลิปก็ถูกคัดลอกออกมา มีหลายแผ่นที่มีรอยขีดข่วนเนื่องจากถูกเล่นมาหลายครั้ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกของเย่ชูหวินจากด้านนอกที่เรียกให้เธอไปกินข้าว เธอรีบวางแผ่น CD กลับเข้าไปที่เดิมอย่างเร่งรีบจนทำให้ตำแหน่งของซีดีทั้ง 2 แผ่นสลับกัน
บนโต๊ะกินข้าว เธอมองเขา ในใจรู้สึกเจ็บปวด ตั้งแต่ต้นจนจบเธอมักหลบเลี่ยงคำสารภาพรักจากเย่ชูหวินมาโดยเสมอ เธอรู้ว่าการทำแบบนี้ตัวเองนั้นเห็นแก่ตัวมาก แล้วเธอก็เคยคิดว่าถ้าเกิดว่าเธอคบกับเขาแล้วตัวเองจะมีความสุขมากกว่านี้ไหม แต่ว่าพอนึกถึงเขาคนนั้นขึ้นมา สีหน้าของเย่เนี่ยนโม่ก็จะลอยเข้ามาในหัวใจของเธอโดยที่ไม่รู้ตัวเลยทันที ทำให้เธอไม่สามารถนึกถึงผู้ชายคนอื่นได้อีกเลย
สำหรับความเงียบบนโต๊ะกินข้าวของเธอนั้น เย่ชูหวินก็อดทนอย่างมาก ฟ้าค่อยๆมืดลงแล้ว ติงยียีถอนหายใจออกมา “ขอบคุณมากนะ แต่ว่าตอนนี้ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
เย่ชูหวินพยักหน้า “เดี๋ยวฉันไปเอาเสื้อคลุมก่อนเธอรอฉันแป๊บหนึ่ง”
เขารีบลุกขึ้นและเข้าห้องไป สายตามองไปที่เครื่องเล่นซีดีที่ติงยียีลืมกดปิด แผ่นซีดีบนชั้นวางที่เขาจัดวางอย่างเป็นระเบียบก็มีร่องรอยของการพลิกกลับด้าน เขาถอนหายใจออกมา ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยและพูดกับตัวเองว่า “ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมรับฉันเลยใช่ไหม?”
ภายในความมืด เย่เนี่ยนโม่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เสียงทีวีดังลอดเข้ามาทางหน้าต่าง และแสงสีส้มที่ปลายนิ้วส่องประกาย อากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ
เขาได้ยินเสียงคมชัดจากลิฟต์นอกประตู และเสียงฝีเท้าหนักเบาสลับกันค่อยๆ ดังขึ้น แล้วก็หายไป ตามด้วยเสียงสนทนา
เปลวไฟสีส้มหายไปจากปลายนิ้ว ลบร่องรอยอุณหภูมิสุดท้ายออกไป หมัดของเขากำแน่น ร่างกายของเขาก็เกร็งแน่น ริมฝีปากของเขาถูกกดให้เป็นเส้นตรง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาสามารถยับยั้งแรงกระตุ้นที่ครอบงำเขาให้ออกไปจับตัวเธอกลับมา ดวงตาของเธอจะได้มองเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
หัวใจของเขาเป็นทุกข์ เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาทนไม่ได้กับสิ่งที่คนรักของเขาพูดอย่างสนิทสนมกับคนอื่นอยู่นอกประตู แค่คิดว่ารอยยิ้มของเธอจะเบ่งบานให้คนอื่นเท่านั้นก็ทำให้จิตใจของเขานั้นแทบจะระเบิดแล้ว!
ติงยียีมองดูเย่ชูหวินเดินเข้าลิฟต์ไป ถึงได้ละสายตากลับมา เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อทุกสิ่งที่จงใจปกปิดไว้ก็สลายไปหมดแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่ก็เต็มไปด้วยความสับสนและปวดใจ
ติงยียีพยายามหากุญแจในกระเป๋า แต่ว่าก็ไม่เจอเธอเดินไม่กี่ก้าวไปยังทางตรงบันไดที่มีไฟและมองหา เธอไม่ได้ไปแตะต้องกุญแจสำรองที่เธอวางไว้ที่พรมหน้าห้อง หลังจากที่เธอเลิกกบเย่เนี่ยนโม่ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ลืมที่จะพบกุญแจติดตัวอีกเลย เพราะเธอรู้ว่า จะไม่มีใครมาเปิดประตูให้เธออีกแล้ว แต่ว่าการวางกุญแจสำรองไว้ก็เลยกลายเป็นนิสัยติดตัว
กุญแจถูกเสียบเข้าไปในรูกุญแจและทำให้เกิดเสียงอู้อี้เล็กน้อย ทันทีที่เธอเข้าเปิดประตูออก แรงที่ครอบงำก็ล็อกเธอไว้แน่น ตอนที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น ริมฝีปากบางของเธอก็ถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง และจมูกของเธอก็เต็มไปด้วยลมหายใจที่คุ้นเคย
หัวใจของเธอปั่นป่วนไม่หยุด ดวงตาของเย่เนี่ยนโม่ในความมืดนั้นมืดมนจนเกือบจะทําให้คนเสมือนจมน้ำ ทันใดนั้นเธอก็ได้สติ โดยคิดว่าความอ่อนโยนที่ปิดริมฝีปากของเธออยู่ตอนนี้ก็เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ทำให้เธอแทบจะขาดอากาศหายใจ
เธอใช้ฝ่ามือผลักอย่างรุนแรง ต้องการที่จะกำจัดพันธนาการนี้ออกไป แต่กลับพบว่าเธอกลับถูกมัดอย่างแน่นขึ้น เธอขมวดคิ้ว แล้วก็กัดฟันอย่างรุนแรง
กลิ่นเลือดเต็มริมฝีปากและมีเสียงอู้อี้ในอากาศ แต่ว่าเขากลับไม่หยุด จนเสียงร้องไห้ของติงยียีดังขึ้นภายในห้องที่เงียบงาน
เธอเคยร้องไห้มาแล้วหลายครั้ง นึกว่าตัวเองจะร้องไห้ไม่ออกอีกแล้ว แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่า คนเราจะร้องไห้เมื่อรู้สึกเศร้าและสิ้นหวัง ต่อให้พยายามหยุดอย่างไรก็ช่วยไม่ได้หรอก เย่เนี่ยนโม่ปล่อยเธอ แล้วก็ถอยหลังไปสองก้าวเบาๆ เว้นช่วงว่างให้เธอหายใจ “ขอโทษ ฉันทำให้เธอตกใจ”
ติงยียีส่ายหน้า เป็นความจริงที่เธอรู้สึกเจ็บปวดใจมาก แต่ว่าเธอก็พูดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันขอร้องนายล่ะ ให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะ ให้ฉันอยู่คนเดียวได้ไหม”
เย่เนี่ยนโม่เม้มปากพร้อมกับมองดูท่าทางที่เหมือนจะแตกสลายของเธอ เขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ว่าก็ไม่สามารถหยุดมันได้ เขาพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เธออยากจะไปจากฉันเหรอ?”
ติงยียีอึ้งไป ในหัวเธอเอาแต่คิดไม่หยุดว่า ‘ไปจากเขางั้นเหรอ? ไปจากเย่เนี่ยนโม่? ไปจากผู้ชายที่ทำให้เธอร้องไห้และทุกข์ใจแบบนี้งั้นเหรอ?’
ความสับสนบนใบหน้าของเธอทำให้เย่เนี่ยนโม่รู้สึกวิตกกังวล เขาขยับเข้าไปใกล้เธอแล้วพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “ฉันจะชดใช้ความเจ็บปวดให้กับเธอ คนที่ฉันจะแต่งงานด้วยมีเพียงแค่เธอเท่านั้น แต่ว่าเธออย่าคิดว่าจะหนีฉันไปเลยนะ”
เย่เนี่ยนโม่เดินออกไปแล้ว มองดูแผ่นหลังของเขาที่จากไป ในหูของเธอก็ยังเต็มไปด้วยคำพูดของเขาเมื่อเขาจากไป ติงยียีล้มตัวลงที่พื้น ดอกลิลี่ที่เหี่ยวเฉาก็พริ้วไหวมาหาเธอเหมือนกัน
ที่ตระกูลเย่
เย่เนี่ยนโม่กำลังเล่นฟิตเนสอยู่ เย่ป๋อรายงานความคืบหน้าของงานให้เขาฟังอยู่ด้านข้าง และแล้วสาวใช้ก็เคาะประตู “คุณชายคะ คุณผู้ชายกับคนผู้หญิงเรียกพบค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่ลงมาชั้นล่าง ในห้องรับแขกมีกระเป๋าเดินทางวางอยู่ เซี่ยชีหรั่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ลูกชาย เมื่อคืนหลับไม่สนิทเหรอ?”
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไรหรอก” เย่เนี่ยนโม่ยิ้มแล้วก็ตบไหล่แม่ของตัวเอง เซี่ยชีหรั่นสะอื้นแล้วก็หันหน้ามา “ฉันไม่ไปแล้ว จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขา”
สองพ่อลูกสบตากัน แล้วก็พูดพร้อมกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า “ผมสบายดี/เขาสบายดี”
เย่เชินหลินอบไหล่ของเซี่ยชีหรั่นแล้วปลอบเธอว่า “เขาสามารถจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ แล้วอีกอย่าง แม่ก็นัดกับหยุนโชว์เรียบร้อยแล้วว่าจะไปอังกฤษเพื่อไปเยี่ยมเธอกับลูกของเธอไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ว่า” เซี่ยชีหรั่นรู้สึกลังเลเล็กน้อย เธอจะไม่รู้ได้ยังไงว่าพ่อและลูกชายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ยอมให้ตัวเองอยู่ที่นี่เพื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
“แม่ ไปเยี่ยมน้าเถอะครับ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างเสียงดัง เย่เชินหลินก็เหลือบมองเขา “มานี่หน่อย”
ในห้องอ่านหนังสือ นิ้วที่เรียวยาวของเย่เชินหลินเคาะที่ราวจับ “เรื่องนี้แกจะวางแผนจัดการยังไง”
“เด็กคนนั้นผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง แต่ว่าคนที่ผมจะแต่งงานด้วยมีเพียงติงยียีเท่านั้น”เย่เนี่ยนโม่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“พ่อไม่สนใจหรอกนะว่าที่แก่จัดงานหมั้นขึ้นมามันมีจุดประสงค์อะไร แต่พ่อหวังว่าแกจะสามารถจัดการทุกอย่างให้ดี”เย่เชินหลินมองลึกเข้าไปดวงตาของเขา เหมือนที่เขาตอนสมัยวัยรุ่น
บทสนทนาระหว่างพ่อกับลูกนั้นเข้มงวดพอๆ กับผู้บังคับบัญชา เย่เนี่ยนโม่ชินแล้ว เขาพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
เย่เชินหลินมองนาฬิกาของตัวเอง ตอนที่เดินผ่านพ่อ เขาหยุดและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
เฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กกำลังหมุนอยู่บนหลังคาของบ้านตระกูลเย่ เย่เชินหลินประคองเซี่ยชีหรั่นขึ้นไปนั่งบนเฮลิคอปเตอร์ ใบพัดหมุนลมหนาวและส่งเสียงคำรามขนาดใหญ่
“คุณชายคะ คุณอ้าวเสว่มาค่ะ”สาวใช้เพิ่มระดับเสียงภายใต้เสียงที่ดังสนั่น
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า เย่เชินหลินก็ได้ยินเหมือนกัน สองพ่อลูกสบตากัน แล้วก็เข้าใจกันโดยปริยาย เย่เชินหลินจงใจพูดกับเซี่ยชีหรั่น พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ
“โอ้ อ้าวเสว่มาที่นี่อย่างนั้นเหรอ? เมื่อกี้เหมือนกับว่าฉันได้ยินชื่อเธอ”สีหน้าของเซี่ยชีหรั่นดูซับซ้อนเล็กน้อย เธอรู้สึกผิดหวังกับอ้าวเสว่จริงๆ แต่ว่าเธอไม่สามารถปล่อยเด็กคนนี้ไว้โดยที่ไม่สนใจได้ ถึงยังไงเธอก็เห็นเด็กคนนี้โตมาตั้งแต่เด็ก
“คุณฟังผิดแล้ว เริ่มสายแล้วนะ พวกเราไปกันเถอะ”ท่าทางที่ห้ามเถียงของเย่เชินหลินทำให้เซี่ยชีหรั่นหยุดความสงสัย เธอโบกมือให้เด็ก ๆ และขึ้นเฮลิคอปเตอร์
“พี่ พี่จะให้อภัยพี่อ้าวเสว่ไหม?” เย่ชูฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายก็พูดออกมา
เย่เนี่ยนโม่หันไปลูบหัวของเธอ เขาไม่ตอบอะไรแถมยังถามกลับว่า “วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้าง”