สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1571 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1411
พอพูดถึงเรื่องนี้เย่ชูฉิงก็ตื่นเต้นมากอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดอย่างเขินอายว่า “หนูคิดว่าจะเปิดร้านขนมหวานแห่งแรกของตัวเองที่มาดริด พี่โจ๋ซวนเองก็เห็นด้วย เขาบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนหนูค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่มองใบหน้าที่มีความสุขของเธอ ลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน “เงินไม่พอก็มาเอาที่พี่นะ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันบนดาดฟ้า อ้าวเสว่นั่งที่ห้องรับแขกอย่างกระสับกระส่าย เธอถามพ่อบ้านว่า “คุณแม่กับคุณพ่อจะลงมาได้เมื่อไหร่คะ”
เธอไม่ได้แก้ไข ที่เธอจงใจเรียกแบบนี้ ก็แค่อยากจะดูท่าทีของคนตระกูลเย่ในตอนนี้ แม้จะไม่ได้แต่งงาน แต่ขอเพียงมีเด็กคนนี้ เธอเรียกเซี่ยชีหรั่นว่าแม่ก็ไม่มากเกินไป
พ่อบ้านอยู่ที่ตระกูลเย่มาสิบกว่าปีจะไม่เข้าใจกลอุบายพวกนี้ของเธอได้อย่างไร เขายืนอยู่ที่นั่นไม่ได้ตอบโต้ จนกระทั่งอ้าวเสว่ถามอีกครั้ง “คุณแม่กับคุณพ่อล่ะ”
พ่อบ้านก้มหน้า ก้มตาก็คือไม่ได้สนใจเธอ อ้าวเสว่โมโหทว่าแสดงออกมาไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนสรรพนามใหม่ว่า “ถ้าน้าเซี่ยกับลุงเย่ไม่อยู่ฉันก็จะกลับไปก่อน”
“พวกเขาไปต่างประเทศตั้งแต่เช้าแล้วครับ” พ่อบ้านเห็นเธอเรียกใหม่จึงได้ตอบเธอ อ้าวเสว่โกรธจนหน้าแดง ลูบท้องไม่หยุด ทันใดนั้นก็เอามืออุดปากลุกขึ้นวิ่งไปที่ห้องน้ำ
พ่อบ้านขมวดคิ้ว รู้ว่าจะทำเกินเหตุมากไม่ได้ จึงส่งสายตาไปทางสาวใช้อย่างซางหัว ซางหัวพยักหน้าตามเข้าไปในห้องน้ำ
อ้าวเสว่อาเจียนเสร็จแล้ว อาการคลื่นไส้ทรมานมาก ในใจเธอโกรธ แต่ก็รู้ดีถึงสถานะของพ่อบ้านที่บ้านตระกูลเย่ว่าแตะต้องเขาไม่ได้เด็ดขาด ซางหัวที่อยู่ด้านหลังพูดเบาๆว่า “คุณอ้าวเสว่ คุณชายอยู่บนดาดฟ้า ฉันจะไปเรียกเขาให้นะคะ”
อ้าวเสว่มองสาวใช้ที่หน้าตาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรที่อยู่ด้านหลังผ่านกระจก ในใจกลับบ่นพึมพำขึ้นมาว่า ผู้หญิงคนนี้วางแผนจะทำอะไรกันแน่ ทำไมต้องช่วยเหลือตนเอง
ผู้หญิงสองคนต่างฝ่ายต่างก็มีความคิดแตกต่างกัน อ้าวเสว่ยิ้มพลางหมุนตัวกลับมากุมมือของเธอ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลง “ขอบใจเธอด้วยนะ ถ้าฉันได้เข้าตระกูลเย่จริงจะต้องตอบแทนเธอแน่นอน”
“ฉันอยากช่วยคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจค่ะ” ซางหัวสีหน้าจริงใจ “ฉันขึ้นไปเรียกคุณชายที่ชั้นบนนะคะ” อ้าวเสว่พยักหน้า เธอยิ้มพลางออกจากห้องน้ำ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้นั่งลงพูดคุยกับเย่ชูหวินอย่างจริงจังนานแล้ว ไม่มีใครสนใจอ้าวเสว่ที่นั่งรออยู่ชั้นล่างไปชั่วขณะ ทันใดนั้นประตูกระจกของชั้นดาดฟ้าก็ถูกเคาะ เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“คุณชายคะ คุณอ้าวเสว่ให้ฉันขึ้นมาเรียกคุณชายให้ได้ค่ะ” เธอก้มหน้า ในเวลานี้เธอที่หน้าตาค่อนข้างดียิ่งรู้สึกอับจนหนทางอย่างเห็นได้ชัด
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเธอ จำได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในคนรับใช้ที่แม่สั่งให้คอยดูแลอ้าวเสว่ เขาลุกขึ้นตบไหล่เย่ชูฉิง แล้วจึงเดินไปข้างหน้า
“เธอเป็นคนรับใช้ของตระกูลเย่ ไม่ใช่คนรับใช้หล่อน” ตอนที่เดินผ่านเธอ เย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆ แล้วก็ตรงลงไปชั้นล่าง
ซางหัวก้มหน้าอยู่ จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่สวยนั้นมีความไม่ยอมแพ้อยู่รางๆ เธอคิดว่าตัวเองก็หน้าตาไม่เลว ผิวพรรณก็ขาว ตาโตมีเสน่ห์หลายคนต่างก็เคยชื่นชมตนเอง แต่เย่เนี่ยนโม่ทำไมไม่เคยชายตามองตนเองบ้างเลย!
เธอไม่ยอมแพ้ อาศัยจังหวะที่คุณท่านคุณนายไม่อยู่ เธอต้องเป็นฝ่ายรุกจู่โจมให้ได้ ขอแค่เธอตั้งท้องลูกของคุณชายเหมือนกับคุณอ้าวเสว่ ถึงเวลาเธอก็จะได้เข้ามาอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีกับเขาบ้าง
แม้ว่าความคิดจะบ้าคลั่ง แต่เมื่อหมุนตัวมาเธอก็ยังเป็นสาวใช้ของตระกูลเย่ที่ไม่มีปากมีเสียง มักจะถูกคนรังแกได้ง่ายๆคนนั้น
ซางหัวลงมาชั้นล่าง สายตาไม่พอใจของพ่อบ้านมองมาทันที เธอตกใจ รีบก้มหน้าก้มตาถอยไปด้านข้าง แอบเหลือบมองไปยังคุณชาย
เย่เนี่ยนโม่นั่งลงบนโซฟา สีหน้าเรียบเฉย อ้าวเสว่แบกท้องโตด้วยใบหน้าน่าสงสาร “ฉันรู้ว่าฉันผิดแล้ว ฉันอยากจะมาขอโทษน้าเซี่ยด้วยตัวเอง”
“เธอกลับไปเถอะ” เย่เนี่ยนโม่มองท้องที่นูนขึ้นมาของเธอ แต่ก็ยังพูดอย่างไม่เกรงใจ
อ้าวเสว่ถอยหลังเล็กน้อย น้ำตาไหลออกมา “ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ ฉันผิดที่หลอกคุณ ฉันควรได้รับโทษในสิ่งที่ฉันทำ แต่ลูกไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะคะ”
เย่ชูฉิงทนดูไม่ไหว อยากจะพูดอะไรบางอย่าง พ่อบ้านเดินมาข้างหน้าอย่างเงียบๆ “คุณหนู ดูเหมือนเมื่อครู่คุณไห่กำลังตามหาคุณหนูอยู่นะครับ”
อ้าวเสว่สิ้นหวังแล้ว เธอรู้ว่าในบ้านนี้ไม่มีใครช่วยเธอแล้ว เธอพยักหน้าเดินออกจากบ้านตระกูลเย่อย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง
หลังจากอ้าวเสว่ออกจากบ้านตระกูลเย่แล้ว ความเศร้าเสียใจบนใบหน้าก็จางหายไป เป็นความตื่นตระหนกมาแทนที่ เย่เนี่ยนโม่ดูท่าจะใจแข็งไม่ต้องการตนเองแล้ว เช่นนั้นตนเองจะทำอย่างไรดี
ความคิดในหัวสมองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไปหาติงยียีกลายเป็นทางออกสุดท้าย
บ้านตระกูลเย่ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเย่เนี่ยนโม่ก็ดังขึ้น ข้อความในมือถือทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก “ฉันรู้ว่าทั้งหมดเป็นความผิดฉัน ตอนนี้ฉันจะไปขอโทษติงยียี!” เย่ชูฉิงมองพี่ชายที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน กำลังจะเอ่ยถาม พี่ชายก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ติงยียีกำลังคุยโทรศัพท์กับชิวไป๋ “ฉันอยากไปเรียนออกแบบเครื่องประดับใหม่อีกครั้ง”
“เธอบ้าไปแล้วเหรอ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะมีชื่อเสียงอย่างในตอนนี้ รายได้ก็มั่นคงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ศิลปินหลายคนใฝ่ฝันแต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้เธอมาบอกกับฉันว่าจะไปเรียนออกแบบเครื่องประดับ”
ชิวไป๋เสียงสูงขึ้น ท่าทางไม่สบอารมณ์ที่เธอทำตัวไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองหวัง ติงยียีกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงกริ่งประตูดังขึ้น เธอรีบพูดกับชิวไป๋อีกสองสามประโยค แล้วก็วางสาย
แพนด้าเดินเล่นอยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว หลังจากคืนวันนั้นที่เย่เนี่ยนโม่จากไป ไม่นานแพนด้าก็ถูกคนส่งกลับมา ได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างดีจนขนเงาวับ
มันเห่าไม่หยุด ติงยียีถลึงตาใส่มัน แล้วจึงเปิดประตู
ด้านนอก อ้าวเสว่มีสีหน้าไม่หวั่นเกรงต่อความตายใดๆ ติงยียีเองก็ตกตะลึง “เธอมาทำอะไร”
“ฉันมาขอร้องให้เธอให้อภัย” อ้าวเสว่รีบพูดอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าถ้าพูดช้าๆก็อาจจพูดไม่ออกอีก
คำพูดของเธอทำให้ติงยียีรู้สึกตลก เธอพูดเบาๆว่า “ไม่ต้องแล้ว”
กำลังคิดจะปิดประตู อ้าวเสว่กุมท้องตนเองแล้วโน้มตัวลง ติงยียีมองอย่างเยือกเย็น “เธอคิดว่าฉันจะยังเชื่อเธออีกเหรอ”
เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากศีรษะของอ้าวเสว่ เธอลูบท้องอย่างทรมาน กัดฟันพูดอย่างยากลำบากว่า “ฉันเจ็บจริงๆ!”
ติงยียีเห็นสีหน้าเธอไม่เหมือนกำลังเสแสร้ง ก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “เธอรอเดี๋ยว ฉันจะไปโทรเรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณหมอเปิดผ้าม่าน ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ช่วงนี้อารมณ์ของคุณแม่แปรปรวนมากเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะเป็นอันตรายต่อลูกได้”
ติงยียีมองเธออย่างเฉยเมย หมุนตัวเตรียมจะไป เธอทำให้ถึงขนาดนี้แล้วก็ถือว่ามีมนุษยธรรมมากแล้ว
“อย่าไป!” อ้าวเสว่ตะเกียกตะกายลงมาจากเตียง ร่างเธอโอนไปเอนมา ครู่หนึ่งจึงยืนได้อย่างมั่นคง ติงยียีเอามือที่เกือบจะยื่นออกไปวางไว้ด้านหลังนิ่งๆ
“ชอบใครสักคนผิดอะไรเหรอ ชอบคนที่ตอนแรกที่เป็นของตนเองแล้วตกลงว่ามันผิดยังไงกันแน่!” อ้าวเสว่พูดทั้งน้ำตา เธอไม่สามารถขออภัยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแบบนั้นอย่างที่แม่สอนได้ เธอทำอะไรผิดกันแน่
ติงยียีมองเธอ สีหน้าโศกเศร้าหดหู่ “เธอไม่ได้ผิด ฉันก็ไม่ได้ผิด แล้วใครผิด”
อ้าวเสว่กัดริมฝีปากแน่น ขาสองข้างของเธอเริ่มบวมขึ้นมาบ้างแล้ว รอบๆมีคนเดินเข้ามามุงดูไม่ขาดสาย เธอเกาะขอบเตียงไว้ ค่อยๆคุกเข่าลง
ติงยียีตกใจมาก กำลังคิดจะห้ามเธอ แต่อีกฝ่ายคุกเข่าลงมาแล้ว อ้าวเสว่เงยหน้ามองเธออย่างดื้อรั้น “ที่ฉันคุกเข่าให้เธอ ไม่ใช่เพราะว่าฉันผิด แต่ฉันหวังว่าเธอจะหลีกทางให้ฉันกับเขา เธอยังมีเย่ชูหวินที่รักเธอ พ่อเธอก็รักเธอมาก แต่ฉันไม่มีใครเลย ฉันมีแต่เขาคนเดียว”
ติงยียีเขยิบเดินไปด้านข้างสองสามก้าว อ้าวเสว่ทำแบบนี้เสมือนเป็นการเอามีดมาแทงที่ร่างเธอ เธอพูดด้วยเสียงแหบพร่า “นี่เธอเป็นใคร ทำแบบนี้เธอคิดว่าเธอเป็นใครกันแน่”
อ้าวเสว่ค่อยๆก้มหน้า หลังค่อยๆยืดตรง พูดพึมพำไม่หยุด “ฉันมีเขาแค่คนเดียว ฉันมีเขาเพียงคนเดียวแล้วจริงๆ”
ติงยียีแทบจะทรุดแล้ว เธอเดินไปมาภายในห้องอย่างหงุดหงิด เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แค่อยากจะหาถ้ำสักแห่งไปหลบซ่อนตัวอย่างดี
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังมาจากด้านนอก เย่เนี่ยนโม่มองภาพนี้ด้วยสีหน้าสับสน หลังจากได้รับข้อความของอ้าวเสว่เขาก็รีบไปที่บ้านติงยียีทันที แต่กลับรู้จากเพื่อนบ้านว่าติงยียีได้พาผู้หญิงท้องคนหนึ่งไปโรงพยาบาล
หลังจากที่ติงยียีมองเห็นเขาก็เหมือนจะคลุ้มคลั่ง เธอพุ่งไปข้างหน้า ร้องตะโกนสุดเสียงว่า “อย่ามาทรมานฉันอีกเลย!”
เย่เนี่ยนโม่จับมือเธออย่างอ่อนโยน ส่งสายตาให้เย่ป๋ออย่างเงียบๆ เย่ป๋อเข้าใจทันทีและเดินเข้าไปในห้องพยุงอ้าวเสว่ขึ้นมา
“ไปเถอะ ผมพาคุณกลับบ้าน” เย่เนี่ยนโม่ปลอบติงยียีด้วยเสียงอ่อนโยน อ้าวเสว่มองเห็นภาพนี้ก็รู้สึกปวดใจ แต่กลับร้องไม่ออก สายตาของเธอค่อยๆเย็นเยือกขึ้น
ในบ้านตระกูลติง ติงยียีนั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเย็นชา ภาพที่อ้าวเสว่คุกเขาบนพื้นยังวนเวียนอยู่ในหัวเธอ ทำให้เธอไม่สามารถเพิกเฉยได้
เย่เนี่ยนโม่บีบหลังมือเธอ พูดอย่างอ่อนโยนว่า “อยากกินอะไร”
ติงยียีส่ายหน้า มองเขานิ่ง “ฉันเหนื่อยแล้ว”
ในใจเย่เนี่ยนโม่เองก็โกรธ หลายวันมานี้เธอไม่เคยหันหน้ามามองเขาตรงเลยๆ เขายอมให้เธอโกรธแต่ทนไม่ได้ที่เธอเฉยเมยไม่สนใจตนเอง
ความคิดเขาถูกความบ้าคลั่งครอบงำ รอจนตั้งสติกลับมาได้เขาก็บีบที่กรามล่างของเธอเอาไว้แน่นบังคับให้เธอมองมายังตนเอง
แววตาติงยียีมีการขัดขืนอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย นี่ทำให้เขาเจ็บปวดใจ เขายื่นมือออกมาอย่างเงียบๆปิดตาเธอเบาๆ “อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนี้”
เขาพูดเสียงเบาๆ รู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความเปียกชื้นที่ฝ่ามือทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจ เขาค่อยๆพูดว่า “แค่ผมจากไปคุณก็จะไม่ร้องไห้อีกแล้วใช่มั้ย”
ไม่มีการตอบโต้ใดๆ ติงยียีได้แต่เบนสายตาไปทางอื่น ไม่มองเขาเลยสักนิดเดียว เขายิ้มอย่างเศร้าหมอง ปล่อยมือจากเธอ ช่วยเธอเช็ดน้ำตาอย่างอ่อนโยน เขาจุมพิตเบาๆบนหน้าผากเธอก่อนจะจากไป
ได้ยินเสียงปิดประตู สีหน้าของติงยียีก็ผ่อนคลายลง เธอเหนื่อยเหลือเกิน ไม่เพียงแค่สภาพร่างกาย ยิ่งกว่านั้นคือสภาพจิตใจ เธอค่อยๆเดินกลับไปที่ห้องนอน เสียงข้อความโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงอย่างไม่มีสติ รอจนอารมณ์กลับเป็นปกติดีแล้วจึงหยิบขึ้นมาใหม่
นั่นเป็นข้อความจากเย่ชูหวิน ที่ยังคงเตือนเธอให้สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่น ทั้งหมดล้วนเป็นคำทักทายธรรมดาทั่วไป แต่เธอรู้ดีว่า ภายใต้คำทักทายธรรมดาทั่วไปเหล่านี้คือหัวใจที่ห่วงใยตนเอง