สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1596 สาวใช้ของคุณชายเย่ 1436
ผู้กำกับหวูถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะให้ช่างเทคนิคที่อยู่ด้านข้างไปช่วยจัดระเบียบตัวติงยียีทั้งหมด และเขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพนักงานที่ยืนซุบซิบกันเมื่อกี้
” พวกเธอมาใหม่เหรอ ” เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่ได้สูบ เพียงแต่หยิบมันขึ้นมาเล่นเท่านั้น พนักงานทั้งสองมองหน้ากันไม่พูดไม่จา ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า
” เรามาจากมหาวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งคณะศิลปกรรมศาสตร์ครับ หวังว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้ร่วมงานละครกับผู้กำกับหวูนะครับ ”
ทั้งสองยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น หน้าตาที่แสดงออกดูเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ผู้กำกับหวูพูดออกมาด้วยความสนใจในตัวทั้งสองคน “มหาวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งงั้นเหรอ ก็ดังนี่ ถ้าตอนนั้นฉันไม่ไปต่างประเทศก็คงไปเรียนที่นั่นแล้ว ”
ชายหญิงสองคนนั้นต่างมองผู้กำกับ《เวทมนตร์》ที่ได้รับรางวัลใหญ่ ราชาภาพยนตร์ที่ก่อนออกจากประเทศได้ขึ้นรับผลงานรางวัลผู้กำกับเหรียญทองชิ้นสุดท้าย และตอนนี้ได้พูดคุยกับตัวเองด้วยท่าทีที่อ่อนโยนมันทำให้รู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก ว่าเขาตอบอย่างรวดเร็วทันควัน ” น่าเสียดายมากเลยนะครับ/ค่ะ ไม่งั้นพวกเราก็ควรจะเรียกคุณว่าอาจารย์ไปแล้ว ”
ผู้กำกับหวูไม่ได้พูดอะไร เขาชี้ไปยังฉากตรงหน้า ” จากมุมมองของสาขาที่พวกคุณเรียนมา คิดว่ามันเป็นยังไงบ้าง? ”
จากสองชายหญิงนั้น ฝ่ายชายก็รีบมองและตอบอย่างรวดเร็ว: ” ผู้กำกับหวูสมกับที่เป็นผู้กำกับที่โดดเด่นมากเลยครับ ฉากนี้ถูกตกแต่งได้มีหลักการมาก น่าเรียนรู้มากเลยครับ ”
ผู้กำกับหวูเบนสายตามายังหญิงสาวตรงหน้าที่ยังดูมีท่าทีลังเล หญิงสาวมองไปที่ฉากและลังเลสักพักจึงพูดขึ้นว่า : “ฉันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ ไม่มีจุดสิ้นสุดที่ชัดเจนออกมา องค์ประกอบมันดูกระจัดกระจายไปหน่อยนะคะ ”
ชายหนุ่มใช้สายตาบอกเป็นนัยให้เธอพูดดีๆ หญิงสาวก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว ใบหน้านั้นอีกนิดแทบจะร้องไห้ออกมา
” เธอพูดได้ดีมาก ” ผู้กำกับหวูหันไปมองเธอแล้วพูดต่อ: ” ไม่กี่วันก่อนฉันยังพักผ่อนอยู่ ฉากนี้ฉันใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการทำ โฆษณานี้ลงทุนไปเกือบล้าน แต่ถึงตอนนี้ฉันทำมันเละเทะก็ไม่มีใครออกมาพูด พวกเธอคิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ? ”
ในแววตาของชายหญิงทั้งสองตอนนี้ผุดความแปลกใจออกมา พวกเขามองผู้กำกับหวูก็ส่ายหัวเงียบๆ ผู้กำกับหวูหัวเราะแล้วเดินจากไป ติงยียีที่อยู่อีกด้านถามเพื่อรอคำยืนยันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ” แค่ต้องอยู่บนนี้ไม่กี่นาทีใช่ไหมคะ? ”
ชายหญิงทั้งสองก็เข้าใจแล้วว่าโฆษณานี้จัดทำเพื่อดาราสาวคนนั้น ในใจก็แอบอิจฉาเงียบๆ ผู้กำกับหวูจับเล่นบุหรี่ที่อยู่ในมือนั้น ก็ได้มีกลิ่นนิโคตินลอยฟุ้งไปในอากาศ เขาหันตัวเดินไปยังติงยียี จากนั้นก็ชะงักแล้วหันกลับไป พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า ” ระวังปากพวกเธอด้วย พวกเธอรู้สึกว่าผู้กำกับนั้นเก่ง แต่สำหรับตัวผู้กำกับเอง ผู้ที่ลงทุนอยู่เบื้องหลังต่างหากที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ”
เมื่อพูดจบแล้ว ติงยียีที่อยู่บนตัวฉากสูงสามเมตรมองลงมาข้างล่าง ก็อดไม่ได้ที่ขาจะอ่อนยวบจนเอียงไปข้างหน้า แต่ที่แปลกก็คือ ท่าทางที่เธอใช้แสดงไม่ได้ตรงเกณฑ์ของผู้กำกับเลย แต่ทำไมไม่สั่งคัท ดูเหมือนหน้าที่เธอจะมีแค่อย่างเดียว มันก็คือกระโดดลงไป
” action! ” ผู้กำกับหวูตะโกนเสียงดัง กล้องวิดีโอได้ขยับตามเสียงของเขา ติงยียีที่ยืนอยู่บนฉากสูงสามเมตร ก็เหมือนมีลมเย็นพัดผ่านคอเธอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกเย็นแต่อย่างใด เหงื่อได้ซึมไปทั่วเสื้อผ้าของเธอ เปียกชุ่มและเหนียวไปทั่วแผ่นหลัง
เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หนึ่งก้าว รู้สึกเหมือนกระดานไม้สั่นไปมาตามตัวของเธอ เธอตกใจจนต้องรีบก้มตัวลงไปนั่ง
” ผู้กำกับคะ เธอกลัวความสูง คงถ่ายไม่เสร็จแน่ ” ชิวไป๋ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรีบวิ่งขึ้นไปบนบันได ติงยียีได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งก็เห็นเข้ากับสีหน้าที่ดูกังวลของชิวไป๋ เธอพยายามฝืนยืนขึ้นแล้วฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย พอลุกขึ้นมาได้กลับรู้สึกเหมือนโลกหมุนไปมา
เธอเหยียบเข้ากับอากาศ ร่างกายได้ไหลตกลงไป ภายในฉากเป็นเสียงกรีดร้องของเธอตะโกนออกมาด้วยความกลัว ทุกคนต่างเข้าไปล้อมเอาไว้ ผู้กำกับหวูก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก
เธอตกลงมาบนเบาะอัดลมอย่างจัง ผู้กำกับหวูตะโกนออกมาว่า ” ทุกคนหลีกไป อย่ามาขวาง! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หมอใส่เครื่องแบบสีขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ สี่ห้าคนก็วิ่งเข้ามา พวกเขาตรวจดูสันหลังและแขนขาของติงยียีด้วยความเชี่ยวชาญ
ชิวไป๋รีบลงมาจากบันได ตอนแรกที่รู้สึกช็อก ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นรู้สึกใจเย็นลงแล้ว ทั้งหมดนี้มันดูแปลกเกินไปแล้ว การถ่ายโฆษณาครั้งหนึ่ง ภายในวันเดียวก็สามารถได้เงินเท่ากับเงินเดือนของคนทำงานธรรมดาทั่วไปสองเดือน ไม่ใช่ว่านี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ดูจากทักษะและประสบการณ์การแสดงของติงยียี ยังมีคนที่ทำได้ดีกว่าเธออีกมาก
จากนั้นก็เป็นผู้กำกับหวู เขานั้นเป็นผู้กำกับคนเดียวที่รู้จักติงยียี ทำไมครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็บังเอิญมารับผิดชอบการถ่ายทำได้ล่ะ แล้วก็เหมือนหมอจะรู้เลยว่าติงยียีกลัวความสูง พวกเขาดูพร้อมจะรับคำสั่งตลอดเวลา เรื่องพวกนี้มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย
เธอมองไปยังติงยียีที่พยายามฝืนลุกขึ้น ไม่ทันได้คิดอะไรมาก จึงรีบวิ่งไปดู ” เธอโอเคไหม? ” ชิวไป๋ประคองตัวเธอที่สีหน้าซีดขาว ในใจก็เอาแต่โทษตัวเองไม่ถามให้ชัดเจนก่อนที่จะตกลงเรื่องนี้ไป
ติงยียีช็อกจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ดวงตาของเธอยังคงมีความหวาดผวา ทั้งร่างอ่อนยวบราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เท้าของเธอเหมือนกับเหยียบอยู่บนปุยฝ้ายอย่างไรอย่างนั้น
” ฉันสบายดี ฉันยังลองได้อีกครั้งนะ ” เธอลงมาจากเบาะอัดลมอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินโซซัดโซเซแล้วปีนขึ้นบันไดไป ชิวไป๋ทุลักทุเลเดินตามเธอไป
ติงยียีปีนขึ้นบันไดแต่ละก้าวไปอย่างยากลำบาก กดดันจนมือของเธอสั่นไหว เธอใช้เวลานานมากกว่าจะสามารถปีนขึ้นไปบนฉากสามเมตรนั้นอีกครั้ง คนที่อยู่ด้านล่างฉากต่างเงียบไร้เสียง คนที่รู้เรื่องก็ต่างสงสารเธอ คนที่ไม่รู้ก็ตกตะลึงกับความตั้งใจทำงานที่เต็มที่ของเธอครั้งนี้ เมื่อกี้ชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังซุบซิบกันก็มองออกว่าแท้จริงแล้วติงยียีนั้นกลัวความสูง ติงยียีปิดตาเล็กน้อย พยายามทำหัวให้ว่างเปล่า เธอเดินไปข้างหน้าทีละก้าว วินาทีที่เหยียบบนอากาศนั้น เธอรู้สึกได้ถึงสลิงและเข็มขัดนิรภัยที่รับตัวเธอแน่น เธอจึงพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ
จนกระทั่งตกถึงพื้น จึงจะกล้าถอนหายใจออกมา มือเท้าของเธอเย็นไปหมด ชิวไป๋วิ่งไปหาเธอด้วยความปวดใจ ผู้กำกับหวูเองก็วิ่งตามเข้าไปดู สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ ” ยียีเอ๊ย คงต้องถ่ายใหม่แล้วล่ะ ”
ติงยียีรู้ว่าสิ่งที่เธอทำเมื่อกี้มันเละเทะอย่างแน่นอน เธอพ่นลมหายใจออกแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้กำกับหวูอยากจะตะโกนออกไปว่าผ่านแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้ก็เพียงแค่สั่งให้ติงยียีกระโดดลงมาซ้ำๆ อยู่แบบนั้น
” ยียี ฉันว่าเธอเลิกทำเถอะ ” ผู้กำกับหวูลากติงยียีมาอีกฝั่ง แล้วพูดเบาๆ ” เลิกทำแล้วก็ ไม่เป็นไรนะ”
เขาก็พยายามบอกเธอโดยนัยอย่างสุดความสามารถ หลังของติงยียีโค้งลงมาเล็กน้อย เธอพยายามฝืนแล้วส่ายหน้า ” ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอลองอีกครั้งนะคะ ”
เธอเดินไปสองก้าว ก็เดินต่อไม่ไหวแล้ว ผู้กำกับหวูจึงรีบตัดสินใจแล้วพูดว่า ” วันนี้ไม่ถ่ายแล้ว เลิกกอง! ”
ช่วงที่เลิกกองนั้นเป็นเวลาตอนเที่ยง พนักงานต่างแยกย้ายกันไป ชิวไป๋พยุงติงยียีเดินลงมายังลานจอดรถ
” พี่ชิวคะ ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก ”
ชิวไป๋ตะลึง ติงยียีน้อยครั้งที่จะใช้น้ำเสียงจริงจังขนาดนี้เรียบเธอ ในใจเธอรู้ว่าบางทีติงยียีอาจจะเอาเรื่องที่เลิกงานเร็ววันนี้มาคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง
” ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ เธออย่าเอามาใส่ใจเลย งั้นฉันไปก่อนนะ ”
ชิวไป๋มองไปที่เธอด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าเธอเดินไปข้างหน้าช้าๆ ฝีเท้าดูหนักแน่น มันทำให้รู้สึกวางใจไม่ได้ จึงทิ้งรถแล้วเดินตามติงยียีจากข้างหลัง
ติงยียีเดินทอดน่องไปตามถนนสายหลัก เนื่องจากวันตรุษจีนใกล้เข้ามาแล้ว ทำให้อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกี้ตอนที่ถ่ายโฆษณาเป็นเพราะว่ากลัว ร่างกายจึงรู้สึกด้านชา พอหยุดถ่ายแล้วอากาศก็หนาวจนแทบเจ็บกระดูก เธอยืนจามอยู่กับที่ ชิวไป๋กำลังจะเดินเข้าไปก็เห็นรถคันหนึ่งก็ขับผ่านเธอไปจอดเทียบตรงหน้าติงยียี
” คุณยียีขึ้นรถเถอะครับ ที่นี่ไกลจากตัวเมืองมาก ” เย่ป๋อลงจากรถแล้วช่วยเธอเปิดประตู ภายในรถมีไออุ่นลอยออกมา
จิตใจของติงยียีในตอนนี้เศร้าซึม แต่ก็พยายามฝืนยิ้ม ” บังเอิญจังเลยนะที่เจอคุณที่นี่ ถ้าคุณผ่านมาเร็วกว่านี้ ก็คงได้เจอกับชิวไป๋แล้ว ”
เย่ป๋อไม่แสดงสีหน้าอะไรและ เหลือบตามองไปยังด้านหลังของเธอแวบหนึ่ง เขาพยายามบังคับสายตาตัวเองให้กลับมามองข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ: ” งั้นผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่าครับ ไม่งั้นคงเป็นหวัดกันพอดี ”
ติงยียีพยักหน้าแล้วขึ้นรถไป จากนั้นรถก็ขับออกไป ชิวไป๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังรถก็มองพวกเขาจากไปเงียบๆ เธอรู้ว่าเย่ป๋อเห็นตัวเองแล้ว แต่เขากลับเลือกที่จะไม่สนใจเธอแล้วพาติงยียีไป
เธอถอนหายใจ จากนั้นก็หันตัวแล้วกลับเข้าไปยังโรงรถ ติงยียีกลับถึงบ้านแล้ว เย่ป๋อที่ส่งเธอเสร็จแล้วยังไม่ทันเห็นเธอเข้าไปในตัวบ้าน ก็รีบบึ่งรถจากไป
สี่สิบนาทีต่อมา เย่ป๋อก็กลับมายังจุดที่รับติงยียีอีกครั้ง ลมที่พัดในความหนาวเน็บ และวิวทิวทัศน์ที่ดูเย็นยะเยือก คนที่เขาห่วงหาตอนนี้ไม่อยู่แล้ว เขาถอนหายใจออกมาแรงๆ จากนั้นก็จากไป
วันที่สอง ติงยียีมาถึงฉากถ่ายทำตรงเวลา ใต้ตาที่ดำของเธอไม่สามารถปกปิดได้ว่าเมื่อคืนเธอนอนไม่หลับ ผู้กำกับหวูถอนหายใจ ” ไม่ต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นหรอก ”
แววตาของติงยียีเต็มไปด้วยความละอายใจ ” ต้องขอโทษที่สร้างความวุ่นวายให้คุณด้วยนะคะ ฉันจะตั้งใจให้มากกว่านี้ค่ะ ”
เมื่อเริ่มอีกครั้ง 1 ชั่วโมงได้ผ่านไป ท่าทางของติงยียีก็ยังดูแข่งเกร็งจนไร้ทางแก้ ตอนนี้ทุกคนต่างมองเธอตาปริบๆ
ระหว่างพักกอง ติงยียีก็ทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกใจ
” ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ที่ฉันทำให้ทุกคนลำบากขนาดนี้ ” ติงยียีโค้งตัวขอโทษ ตอนก้มตัวลงไปน้ำตาก็อดที่จะเอ่อออกมาจากดวงตาไม่ได้ เธอพยายามกัดฟันเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ผู้กำกับหวูช็อกมาก เขาอยากจะบอกความจริงกับติงยียีว่าให้ยอมแพ้ก็พอแล้ว แต่คำพูดมันดันจุกอยู่ในลำคอ พอถูกความภักดีต่อใครบางคนกดเอาไว้ เขาจึงทำได้แค่มองเธอด้วยสายตาหมดอาลัยตายอยาก
ตอนนี้ทุกคนเงียบกริบ สุดท้ายก็เป็นผู้กำกับหวูที่พูดออกมา ” งั้นแสดงฉากต่อไปก่อนดีกว่า ฉากนี้พักไว้ก่อน ”
ชิวไป๋ถอนหายใจออกมายาวๆ เธอวิ่งไปข้างๆ ติงยียีเพื่อปลอบใจ แต่เห็นอีกฝ่ายยิ้มและทักทายตัวเอง ภายในแววตานั้นเต็มไปด้วยความละอายใจแต่ไร้ซึ่งความกลัว” วินาทีต่อไปให้ดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อยูนิที่นางเอกดื่ม คนจัดการฉากเตรียมตัวให้ดี ”
หลังจากผู้กำกับหวูตะโกนออกมาแล้วผู้ช่วยคนหนึ่งก็ยื่นน้ำผลไม้แก้วหนึ่งให้กับติงยียี เธอรับมันมาพร้อมกันขมวดคิ้ว ” ผู้กำกับคะ เปลี่ยนรสชาติไม่ได้เหรอคะ พอดีว่าฉันแพ้พีชน้ำผึ้งค่ะ ”
” ไม่ได้หรอก ” ภายในใจของผู้กำกับหวูเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ก็ต้องปฏิเสธไป ติงยียีรู้ว่าหลังจากที่ตัวเองดื่มไป ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่เธอไม่อยากทำให้งานล่าช้าเป็นเพราะตัวเองแล้ว หลังจากที่ผู้กำกับตะโกนออกมาว่า ” action ” เธอก็กระดกน้ำผลไม้นั้นเข้าไปในปากช้าๆ ความหวานเลี่ยนของรสผลไม้นั้นสำหรับเธอแล้วมันไม่ได้ต่างไปจากฝิ่นเลย