สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1608 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1448
โถงด้านข้างบ้านตระกูลเย่มักจะเป็นที่ดื่มชาของเย่เฟิ่งหยี ติงยียีเดินตามเย่เฟิ่งหยีไปที่โถงด้านข้าง เธอก้มหน้า ไม่คิดจะโต้เถียงอะไร
“ติงยียี ในระดับประเทศตระกูลเย่ของพวกเราอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าเป็นเมืองตงเจียงก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา ต่อให้เธอไม่ชอบเนี่ยนโม่ เธอก็ไม่ควรจะทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับชาวต่างชาติแบบนี้ นี่ไม่ใช่หัวโบราณ แต่เป็นการรักนวลสงวนตัวที่ผู้หญิงพึงมี”
เย่เฟิ่งหยีแววตาคมกริบ เธอนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าเย็นยะเยือกราวกับหิมะที่อยู่นอกหน้าต่าง อ้าวเสว่นั่งอยู่ข้างๆเธอ มองเห็นทุกอย่างโดยไม่พูดอะไร
ติงยียีสูดลมหายใจลึกๆ“คุณย่า พฤติกรรมเมื่อครู่สำหรับคุณย่าอาจจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่นั่นเป็นการหยอกล้อเล่นกันกับเพื่อนของฉันจริงๆนะคะ”บางทีพฤติกรรมตอนนี้ก็ดื้อรั้นในการรับรู้พฤติกรรมของคุณ แต่มันเป็นเรื่องตลกระหว่างฉันกับเพื่อนของฉันจริงๆ
“เอเลนดูเหมือนจะชอบเธอมากนะ”
ทันใดนั้นอ้าวเสว่ที่อยู่ข้างก็พูดแทรกขึ้นมา เย่เฟิ่งหยีก็ยิ่งมีสีหน้าบึ้งตึง เธอเคาะไม้เท้า“รู้ว่าเขาชอบเธอยังไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ว่าจะในฐานะตัวแทนของเฮ่าหรันหรือว่าชูหวิน เนี่ยนโม่ ฉันก็ต้องสั่งสอนเธอให้ดี!”
เธอไม่รอให้ติงยียีพูด ก็ให้อ้าวเสว่กดอินเตอร์คอม ไม่นานพ่อบ้านก็รีบเดินเข้ามา เย่เฟิ่งหยีพูดเสียงเข้มว่า“ให้เธอไปอยู่ในห้องขังคนรับใช้หนึ่งสัปดาห์!”
พ่อบ้านมองเธออย่างแปลกใจเล็กน้อย ริมฝีปากติงยียีกระตุกสองสามครั้ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เธอเป็นฝ่ายเดินไปตรงหน้าของพ่อบ้าน “ไปเถอะค่ะ”
ห้องขังของตระกูลเย่มีความชื้นอยู่บ้าง ห้องขังนี้มีมานานหลายปีแล้ว ตอนแรกสุดถูกใช้สำหรับคนรับใช้ที่ทำผิด ต่อมาพอคนรับใช้ทำความผิดก็ไล่ออก จึงถูกปล่อยทิ้งไม่ได้ใช้งาน
ในห้องขังมีเพียงหน้าต่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสบานเดียว เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องปกคลุมด้วยฝุ่นที่เป็นชั้นสีเทาหนา แต่เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นก็ยังมีอยู่ครบ
พ่อบ้านมองติงยียี “ตอนนี้คุณท่านกำลังโกรธจัด รอให้ท่านหายโกรธก่อน คุณอยู่ที่นี่หนึ่งวัน รอคุณชายกลับมานะครับ”
“ขอบคุณนะคะพ่อบ้าน รบกวนคุณด้วยนะคะ” ติงยียีหันไปยิ้มกับเขา น้ำเสียงไม่ได้ถือว่าเศร้าโศกนัก สีหน้าก็ไม่ถือว่าเสียใจอะไร
เสียงล็อคประตูก็เหมือนกับเสียงแตรที่ดังก่อนสงครามจะเริ่ม ติงยียียืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกไกลๆ
เธอเดินมาข้างเตียง พอเธอดึงผ้าห่มออก กลิ่นอับชื้นพร้อมด้วยฝุ่นก็พุ่งออกมา “ฮัดชิ้ว!” เธอจามติดต่อกันหลายครั้ง
ภายในห้องไม่มีนาฬิกา รีบร้อนเดินมา แม้แต่โทรศัพท์มือถือเธอก็ไม่ได้พกมาด้วย เธอนั่งนั่งลงบนเตียงที่อับชื้นมองแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ท่ามกลางแสงแดดยังสามารถมองเห็นเม็ดฝุ่นที่ลอยละล่องอยู่
เธอนั่งอยู่อย่างเงียบๆ จนกระทั่งเสียงปลดล็อคดังขึ้นนอกประตู อ้าวเสว่เดินเข้ามา คิ้วขมวดทันที เธอเอามือปิดจมูกแล้วปิดประตู
“คุณรู้อยู่แล้วว่าเธอจะมา” ติงยียีพูดเบาๆขณะจดจ่ออยู่กับฝุ่นที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจากดวงอาทิตย์
อ้าวเสว่อยากนั่งลง แต่หลังจากเห็นฝุ่นหนาบนโซฟาสีเบจก็หยุดชะงัก จึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม “ถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเธอ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับแม่ ฉันอยากจะอยู่ร่วมกับเธออย่างสงบสุขมากกว่า”
อ้าวเสว่สีหน้าเศร้าหมอง เธอไม่สามารถหยุดลูบท้องได้ ลูบซ้ำแล้วซ้ำอีก ติงยียีมองไปทางเธอ “ไม่ ต่อให้ฉันยอมปล่อยเย่เนี่ยนโม่ เธอก็ไม่มีทางเห็นฉันเป็นน้องสาวหรอก”
อ้าวเสว่ไม่พูด นิ่งเงียบเท่ากับเป็นการยอมรับ ติงยียีลุกขึ้นยืน เพราะความอับชื้นเตียงจึงเกิดเสียงดังทื่อๆ เตียงทำให้เกิดเสียงทื่อจากความชื้น เธอเดินผ่านฝุ่นที่เคลือบด้วยแสงสีทองที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างมาตรงหน้าเธอ
“พวกเราถูกกำหนดไว้ไม่ให้เป็นพี่น้องที่แท้จริงได้ เธออ่อนไหวมากเกินไป กลัวว่าคนอื่นจะแย่งชิงทุกอย่างของเธอไป เธอไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้ามาในใจของเธอมาก่อนเลย แม้แต่เย่เนี่ยนโม่ก็ยังถูกขังไว้ด้านนอก”
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนี้!” อ้าวเสว่แย้งด้วยเสียงดังทันที “เขาเคยอยู่ในใจฉัน! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันกับเขาก็คงมีความสุขดี ถ้าเธอเห็นฉันเป็นพี่สาวจริง อย่างนั้นทำไมเธอถึงถูกเขาเจอตัวได้!”
อ้าวเสว่สีหน้าตื่นตัว แก้มขาวเนียนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอหายใจแรง มองติงยียีด้วยความโมโห เมื่อเทียบกันแล้ว ติงยียีกลับใจเย็นมากจนน่ากลัว “อย่างนั้น ตอนแรกทำไมถึงจากไป”
เงียบสนิทราวกับตายแล้วอย่างนั้น ใบหน้าแดงเรื่อของอ้าวเสว่ขาวซีดทันที เธออธิบายอย่างลนลาน “นั่นเพราะฉันคิดจะไปสมัครเรียนต่อ”
“อ้าวเสว่ คือสาเหตุนี้จริงเหรอ” ติงยียีจ้องมองมาที่เธอ นัยน์ตาที่คล้ายคลึงกันบางดวงเผยความรู้สึกว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
อ้าวเสว่หลบเลี่ยงสายตาของเธอโดยไม่รู้ตัว เธอหมุนตัวรีบเดินออกไปข้างนอก เธอเอามือวางไว้บนบานประตู จากนั้นก็หันหน้ามา “เรื่องวันนี้เป็นแค่การเตือนเท่านั้น ถ้าเธอคิดจะอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ต่อไป เรื่องแบบนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ” เหมือนกับว่าเธอนึกอะไรขึ้นมา สีหน้าเหมือนคนที่วิญญาณหลุดลอยกลับมาบนใบหน้าของเธอใหม่อีกครั้ง เธอยกมุมปากขึ้น ริมฝีปากสีชมพูค่อยๆเผยอขึ้น “น้องสาวที่รักของฉัน ฉันจะทำให้เธอไม่เหลืออะไรเลย”
ประตูห้องถูกล็อกใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รอให้เสียงฝีเท้าจากไป ติงยียีก็หมุนตัวเลย เธอก้าวไปที่ด้านล่างหน้าต่าง ภายใต้การอาบแดดของแสงอาทิตย์ยามฤดูหนาว เธอจึงรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
เธอหอบหายใจแรง ความเงียบสงบแบบเมื่อครู่นั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว เอื้อมมือออกไปโดยไม่รู้ตัวและจับวอลล์เปเปอร์ที่มีลวดลายสีเหลืองบนผนังโดยไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากจะหาที่ระบายความเศร้าในใจ
เธอยืนอยู่นานมาก จนกระทั่งพอขยับก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวอย่างทนไม่ไหว จึงย้ายเก้าอี้มาตรงหน้าต่าง เธอไม่อยากจากความอบอุ่นนี้ไป
ฝุ่นที่อยู่บนเก้าอี้ฟุ้งลอยขึ้นมาจากการเคลื่อนที่ ติงยียีจามเสียงดังจริงจังมากอีกครั้ง เธอมองฝุ่นที่อยู่เต็มห้อง จำยอมต้องไปหาทั่วห้องน้ำหนึ่งรอบ หยิบผ้าเช็ดหน้าเปียกๆออกมาเช็ดเก้าอี้
หลังจากเช็ดเก้าอี้เสร็จก็เช็ดโต๊ะไปด้วยเลย เช็ดโต๊ะเสร็จก็เช็ดหน้าต่าง ตอนที่เย่เนี่ยนโม่เปิดประตู มองเห็นติงยียีกำลังเขย่งปลายเท้าบนเก้าอี้เช็ดภาพเขียนสีน้ำมันที่แขวนอยู่บนผนังอย่างกระตือรือร้น
ติงยียีตกใจความเคลื่อนไหวที่ประตู เธอรีบหันกลับมา ยืนไม่มั่นคงดีเหยียบไปบนอากาศ เก้าอี้ล้มคว่ำลง เย่เนี่ยนโม่รีบร้องเรียก “ยียี!”
เขารีบสาวเท้าไป เอามือติงยียีที่กุมหัวเข่าเอาไว้ออก หลังจากมองเห็นรอยแผลที่ฟกช้ำดำเขียวอย่างรวดเร็วเขาก็มีสีหน้าเครียด ก้มตัวอุ้มติงยียีขึ้นมาคิดจะเดินไปข้างนอก
“เนี่ยนโม่!” เย่เฟิ่งหยียืนอยู่ที่ประตู “ครั้งนี้หลานต้องเชื่อฟังย่า”
ติงยียีรู้สึกลำบากใจมาก เธอตะเกียกตะกายอยู่ในอ้อมกอดของเย่เนี่ยนโม่ เย่เนี่ยนโม่ได้แต่วางเธอลงมา เปลี่ยนเป็นโอบเอวเธอเอาไว้แทน “คุณย่า! เธอได้รับบาดเจ็ดแล้วนะครับ”
เย่เฟิ่งหยีมองไปที่ตัวของติงยียีหนึ่งรอบ สั่งเบาๆว่า “ไปเรียกคุณหมอมา”
พ่อบ้านส่งเสียงตอบรับ หมุนตัวเดินจากไป เย่เนี่ยนโม่เริ่มโกรธแล้ว “คุณย่า แบบนี้มันโหดร้ายเกินไปแล้วนะครับ”
“หลานย่า! หลานรู้มั้ยว่าเธอเล่นหูเล่นตากับผู้ชายต่างชาติในสวนหย่อมอย่างเปิดเผย หลานหลงหัวปักหัวปำ จนมองไม่เห็นเรื่องอื่น ย่าอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรไม่ได้!”
เย่เฟิ่งหยีกุมหัวใจเอาไว้ค่อยหอบหายใจ คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ขมวดเล็กน้อย มือที่โอบเอวติงยียียังคงไม่ปล่อย ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็พูดว่า“คุณย่า ยียีไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น น่าจะเป็นการเข้าใจผิดนะครับ!”
“เหลวไหล! จะเข้าใจผิดได้ยังไง! ย่าเห็นด้วยตาตัวเอง! แค่กๆๆ!” เย่เฟิ่งหยีพูดอย่างเร็วและใจร้อนเกินไป หายใจไม่ทัน ไออย่างรุนแรงอยู่ที่เดิม อ้าวเสว่ที่ไม่ได้พูดอะไรเลยรีบมาพยุงเธอเอาไว้ คิ้วเย่เนี่ยนโม่ยิ่งขมวดแน่น กดเครื่องอินเตอร์คอมที่อยู่ข้างผนัง “คุณย่าความดันขึ้นอีกแล้ว เรียกคุณหมอไปรักษาคุณย่าก่อน”
คนรับใช้กลุ่มหนึ่งประคองเย่เฟิ่งหยี แต่มือเย่เฟิ่งหยีกลับจับเย่เนี่ยนโม่แน่น เขาปล่อยมือที่โอบเอวติงยียี “คุณย่า ผมส่งคุณย่ากลับห้องนะครับ”
อ้าวเสว่เดินไปคนสุดท้าย เธอค่อยๆหันหน้ามา มองไปยังติงยียีที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มให้เธอเล็กน้อย แล้วจึงเดินตามไป
สัมผัสที่รอบเอวยังคงชัดเจน ติงยียีมองแผ่นหลังเย่เนี่ยนโม่ค่อยๆหายลับไป เข่าของเธอเป็นสีเขียวช้ำน่ากลัว เธอหันไปยิ้มกับเย่ป๋อที่ยังไม่ได้เดินจากไป “คุณกับชิวไป๋เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังเป็นแบบนั้น เธอถามว่าช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง” เย่ป๋อมองความเห็นอกเห็นใจบางๆในสายตาของเธอ
ติงยียีคิดอยู่ชั่วครู่ “อย่าบอกเธอ ถ้าเธอถามก็บอกว่าฉันสบายดี”
เย่ป๋อพยักหน้ากับเธอ หมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป ฝีเท้าเขาชะงักหันกลับมาใหม่อีก “ความจริงแล้วคุณไม่ต้องอยู่ในห้องขังก็ได้นะครับ”
เขาพูดมาถึงตรงนี้ ถ้าติงยียีจะอาศัยเย่เนี่ยนโม่จากไปดื้อๆก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ จะว่ากันอย่างเคร่งครัดติงยียีไม่ได้ถือว่าเป็นผู้หญิงตระกูลเย่ เพียงเพราะเย่เนี่ยนโม่ชอบเธอแล้วจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงตระกูลเย่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ นี่มันไกลเกินจะเชื่อมโยงได้
ติงยียีมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าแสงแดดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันถูกแทนที่ด้วยพระอาทิตย์อัสดงสีส้ม เครื่องปรับอากาศส่วนกลางในห้องยังคงส่งเสียงดังเล็กน้อย เศษผ้าที่เปียกโชกถูกทิ้งไว้อีกด้าน เธอมองทั้งหมดนี้ พูดเบาๆว่า “ถ้าฉันต่อต้าน สุดท้ายความสัมพันธ์ของเขากับคุณย่าก็ต้องแย่ลง ฉันไม่อยากเป็นคนที่ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัวของคนอื่น”
เธอหยุดชะงัก จู่ๆก็พูดตำหนิตัวเองว่า “แต่ดูเหมือนว่าฉันจะทำลายครอบครัวของคนอื่นมาตลอด”
“คุณยียีไม่ใช่แบบนี้ครับ!” เย่ป๋อคิดจะแย้ง ติงยียีตัดบทเขาว่า “ไม่เป็นไร ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ในใจมีเรื่องมากเกินไป ถ้าไม่ระบายออกบ้างก็จะอุดตันแล้ว”
เย่ป๋อไปแล้ว ติงยียีนั่งลงบนเตียง มองพระอาทิตย์ตกดินค่อยๆหายลับไป มองนอกหน้าต่างอยู่ดีๆก็มีเสียงนกร้องดังมา คุณหมอไม่ได้มา ราวกับว่าเธอเป็นคนที่ถูกโลกลืม เหลือเพียงแสงจันทร์เต็มหน้าต่าง
บนโต๊ะอาหารในวันต่อมา เย่เฟิ่งหยีก็ยังคงไม่ได้ปรากฏตัว เอเลนจับจ้องเย่เนี่ยนโม่เอาไว้ ดวงตาสีฟ้าจ้องมองเขา“คุณเชื่อในตัวเธอใช่มั้ยครับ”
เย่เนี่ยนโม่นวดขมับ เมื่อวานความดันโลหิตของคุณย่าพุ่งสูง เขาเฝ้าอยู่ทั้งคืน คำถามที่บีบเค้นของเอเลนทำให้เขาขมวดคิ้ว “เอเลน นี่เป็นเรื่องในครอบครัวผม”
“ผมต้องการพบเธอตอนนี้!” เอเลนบีบเข้ามาอีกก้าว เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามของทั้งตระกูลเย่ ถ้าวันนี้เขาไม่ได้พบติงยียี ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเขายิ่งรุนแรงมากขึ้น
“เอเลน!” เย่เนี่ยนโม่เสียงเข้ม “ถ้าคุณยังวุ่นวายต่อไปอีก อย่างนั้นคงต้องเชิญคุณออกไปจากบ้านตระกูลเย่”
“เอเลนพอแล้ว” Alinค้ำไม้เท้าเดินไปข้างหน้า เขาจ้องมองเย่เนี่ยนโม่ “ผมก็ต้องการพบลูกศิษย์ของผมตอนนี้ คุณอาจจะคิดว่าแบรนด์Alinของผมไม่ได้อยู่ในสายตาของคุณ แต่ผมรับรองได้ว่า ถ้าวันนี้ผมไม่ได้เจอเธอ อย่างนั้นผมก็จะกลับฝรั่งเศสทันที ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตามก็ต้องทำให้ตระกูลเย่พ่ายแพ้!”