สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1611 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1451
ติงยียีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ก้าวเท้าขึ้นไป แสงไฟบนรถยนต์ตัดผ่านความมืดมิดในยามราตรี ขณะที่มุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความเร็วสูง เย่ชูหวินเดินออกมาจากมุมมืด
เขามองดูเรื่องราวทั้งหมดด้วยสีหน้าเฉยชา ลมหนาวแช่แข็งฝ่ามือเขา แต่ความสิ้นหวังแช่แข็งหัวใจของเขาเอาไว้ เขารู้อยู่แท้ๆว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่กลับดื้อดึงที่จะตามขึ้นไป
บนยอดเขาหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม เมื่อจอดรถแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยและหันกลับไปหยิบเสื้อกันหนาวที่เบาะด้านหลังตัวหนึ่งส่งให้กับติงยียี
ติงยียีคิดดูแล้วก็ไม่ได้รับเอาไว้ เธอเปิดประตูและถูกทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้ตกตะลึงไปในทันที บนผืนฟ้ามีดวงดาวระยิบระยับมากมาย ท้องฟ้าที่โค้งมนนั้นเหมือนกับรูปภาพที่แต่งแต้มไปด้วยหมู่ดาวที่ทอประกายระยิบระยับ
เธอเงยหน้ามองราวกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด หลังจากนั้นก็ถูกกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ตรงหน้าดึงดูดเข้า กล้องโทรทรรศน์ถูกวางอยู่อีกด้านหนึ่ง เย่เนี่ยนโม่จับมือเธอขึ้นมาวางลงบนกระบอกเลนส์ “เธอบอกว่าเธออยากเห็นดอกไม้ไฟที่เหมือนกับหมู่ดาวทอประกายระยิบระยับ แต่ฉันจะทำให้มากกว่านั้น ฉันจะให้เธอได้เห็นหมู่ดาวที่ทอประกายระยิบระยับจริงๆ”
คำหวานของเขาอ่อนนุ่มราวกับมาร์ชเมลโล่ เพียงแค่เลียอย่างแผ่วเบาก็สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายหอมหวานที่ม้วนเข้ามา ติงยียีเขยิบเข้าไปใกล้กล้องโทรทรรศน์อย่างอึดอัดเล็กน้อย และถูกดึงดูดโดยหมู่ดาวที่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นทันที
ท่าทางของเธอไม่ถูกต้อง จับดูอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกปวดเมื่อยบริเวณไหล่ อุณหภูมิบนภูเขาก็ต่ำ ติงยียีย่นคออย่างอดมิได้ และสะบัดแขนไปมาเงียบๆ จู่ๆก็มีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเย่เนี่ยนโม่ดังมาจากข้างหลังเธอ
ร่างที่มีอุณหภูมิอบอุ่นเขยิบเข้ามา แต่กลับเว้นช่องว่างระหว่างคนทั้งสองเอาไว้เล็กน้อย เย่เนี่ยนโม่จับมือเธอเอาไว้ เอนศีรษะเข้ามาใกล้ต้นคอเธอเล็กน้อย
ลมหายใจของเขาพ่นลงบนต้นคอที่ขาวราวกับหิมะจนมองเห็นเส้นเลือด “เขยิบมาทางนี้ จะสามารถมองเห็นวงแหวนของดาวเสาร์ได้!”
มือของติงยียีหมุนไปตามการเคลื่อนไหวของเขา อุณหภูมิอบอุ่นจากร่างกายพัดพาความเหน็บหนาวยามค่ำคืนให้จากไป เจือไปด้วยความรู้สึกนุ่มนวล ติงยียีคิดจะดิ้นรน แต่สุดท้ายก็ลุ่มหลงอยู่ในคำกระซิบของชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังและหมู่ดาวที่ทอประกายระยิบระยับ
บริเวณไม่ไกลนักมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ รถยนต์ไม่ได้ดับเครื่อง และยังมีเสียงดังอยู่ ชายคนหนึ่งลงมาจากรถ เขาถูมือไปมา “คุณผู้ชาย แม้ว่าหนึ่งชั่วโมงผมจะคิดราคาสามร้อยหยวน แต่ตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกแล้ว คุณมั่นใจว่าคุณต้องการจะอยู่ที่นี่ตลอดหรือครับ”
เย่ชูหวินมองร่างของคนสองคนที่ซ้อนทับกันภายใต้หมู่ดาวที่ทอประกายระยิบระยับอยู่ไม่ไกล เขาก้มหน้าลง ลมพัดม้วนหน้าม้าของเขาให้เลิกขึ้น “ไม่ต้อง ไปกันเถอะ”
ถ้าหากว่าเธอไม่เบิกบานใจ เช่นนั้นเขาก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้เธอเบิกบาน ถ้าหากว่าเธอเบิกบานใจ เช่นนั้นเขาก็จะถอยออกไปอย่างเงียบๆ ก็เท่านั้นเอง
ห้องทำงานบริษัทเย่ซื่อ อ้าวเสว่ที่ยืนอยู่หน้าห้องทำงานผู้จัดการใหญ่มองห้องทำงานที่มืดสนิท ในมือเธอยังถือน้ำแกงสร่างเมาเอาไว้ เพราะเป็นห่วงว่าเขาจะทำงานจนเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นเธอจึงมาที่บริษัทเย่ซื่อโดยที่ปิดบังคุณยายเอาไว้
“ฉันโง่เกินไปแล้วจริงๆ” เธอพึมพำเสียงเบา หมุนกายจากไป และโยนกระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิที่นำมาด้วยในมือทิ้งลงถังขยะ
ติงยียีไม่รู้ว่าตนเองตื่นขึ้นมาเมื่อไร เธอมองเพดาน เบื้องหน้าคล้ายกับยังปรากฏภาพหมู่ดาวที่ทอประกายระยิบระยับและร่องรอยจังหวะเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งของเมื่อคืนวาน
ร่างกายของเธอแห้งสบายมาก เห็นได้ชัดว่าผ่านการทำความสะอาดแล้ว จึงประคองเอวที่อ่อนแรงให้ลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากประตูไป ตระกูลเย่ยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นเคย อีกทั้งเอเลนก็กลับมาแล้ว เพียงแต่สายตาที่มองมาทางติงยียีนั้นดูหลบเลี่ยงอยู่บ้าง
หลังจากกินอาหาร ติงยียีก็ขวางเขาเอาไว้ “จะบอกอะไรฉันได้หรือยัง”
เอเลนหลบสายตา “ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น”
ติงยียีสูดลมหายใจลึก หมุนตัวคิดจะจากไป “โอเค ในเมื่อนายไม่มีอะไรจะพูด ฉันก็ขอตัวล่ะ”
“ยียี!” เอเลนดึงเธอเอาไว้ “ถ้าหากว่าฉันกับAlinจากไปแล้ว เธอกับอ้าวเสว่จะอยู่ร่วมกันดีๆได้ไหม”
“หมายความว่าอย่างไร” ติงยียีมองเขา อะไรคืออยู่ร่วมกันดีๆ หรือเขาคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเธอโมโหอย่างไร้เหตุผล?
เอเลนเห็นสีหน้าเธอผิดปกติไป ก็รีบเอ่ยว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่ฉันเป็นห่วงว่า ถ้าหากพวกเราจากไปแล้ว เธออยู่ที่นี่แล้วจะรับมือไม่ไหว”
“เอเลน” ติงยียีตัดบทคำพูดของเขา “นายคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฉันที่ชวนทะเลาะอย่างไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่”
สีหน้าของเอเลนมีแววพ่ายแพ้อยู่บ้าง ดวงตาสีฟ้าครามของเขาเจือไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ เขาใช้ภาษาฝรั่งเศสเอ่ย “ยียี ผู้หญิงที่ดื้อดึงนั้นไม่น่ารักเลยสักนิดเดียว”
“พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่” อ้าวเสว่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ในมือเธอถือกล่องใบหนึ่งเอาไว้ “เอเลน วันนี้ได้ยินพ่อบ้านบอกว่า คุณวางแผนจะกลับประเทศแล้วหรือ ฉันซื้อกล้อง SLR มาตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าประสิทธิภาพจะดีหรือไม่”
เธอถือกล่องใส่กล้อง SLR ด้วยท่าทางกินแรง เอเลนเห็นแล้วก็รีบยื่นมือไปช่วย อ้าวเสว่ยิ้มให้เขา หลังจากนั้นก็ทอดสายตามองไปที่ติงยียี สีหน้าเจือไปด้วยความโศกเศร้า “ยียี เธออย่าเข้าใจผิด ฉันก็แค่ให้ของขวัญที่ต้องจากกันเช่นเพื่อนคนหนึ่ง”
“ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมเธอถึงได้คิดว่าฉันเข้าใจผิดล่ะ” ติงยียีพิงร่างเข้ากับต้นไม้ ชายแขนเสื้อสเวตเตอร์ถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนมีเส้นด้ายหลุดยาว แต่เธอกลับไม่ใส่ใจ
“ยียี เสี่ยวเสว่เพียงแค่หวังดี” เอเลนมองมาทางติงยียีอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่นานก่อนหน้านี้เธอยังช่วยขอร้องท่านนายให้เธอด้วย”
ติงยียีรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เธอไม่อยากจะถกเถียงอีกแล้ว เธอยกมือขึ้นปิดตา เอ่ยขึ้นช้าๆว่า “ตอนนี้ฉันไม่อยากคุย นายไปเถอะ!”
เอเลนมองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน เมื่อเห็นแผ่นหลังเขาจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ติงยียีก็เอ่ยขึ้นนิ่งๆว่า “เอาหัวใจของคนอื่นมาเล่นในกำมือ เธอเล่นพอแล้วหรือยัง”
“แน่นอนว่ายังไม่พอ เห็นเพื่อนสนิทในวันวานของตนเองช่วยเหลือศัตรูแต่ต่อต้านตนเอง ให้การสนับสนุนคนที่ทำร้ายเธอตลอด ความรู้สึกเช่นนี้มันทุกข์มากใช่หรือไม่” อ้าวเสว่แอ่นท้องเขยิบมาใกล้เธอ
“ขอให้เธอเล่นอย่างมีความสุขนะ!” ติงยียีหมุนตัวคิดจะเดินจากไป ด้านหลังก็มีเสียงอ้าวเสว่ลอยมา “ฉันยังอยากจะเล่นให้สนุกอีกหน่อย ตอนนี้ไปข้างนอกเป็นเพื่อนฉัน อย่าลืมเสียล่ะว่าสถานะของเธอยังคงเป็นคนรับใช้อยู่”
-ร้านเสริมสวย-
อ้าวเสว่ชี้ไปที่ทรงผมของติงยียีที่ยืนอยู่อีกด้าน “ออกแบบทรงผมฉันให้เหมือนกับทรงผมเธอ”
ช่างออกแบบทรงผมมองแล้วก็เอ่ยชม “ทั้งสองท่านหน้าตาคล้ายกันมากเลยนะคะ โครงหน้าก็เหมือนกันอย่างกับแกะ”
อ้าวเสว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชา “แน่นอนว่าต้องเหมือนกัน เพราะว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ”
บรรยากาศแปลกประหลาดเริ่มปกคลุมเข้ามา ช่างตัดผมก้มหน้าตัดผมให้กับอ้าวเสว่ ติงยียีนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ยากที่ในวันนี้อ้าวเสว่จะไม่ทำให้เธอลำบากใจ เธอจึงมีเวลาเหม่อลอย
ไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าใด จนกระทั่งเส้นผมบนบ่าของเธอถูกยกขึ้นเล็กน้อย อ้าวเสว่ก้มหน้าแนบลงบนแผ่นหลังเธอ นิ้วก็เล่นเส้นผมที่อ่อนนุ่มของเธอ
ทรงผมที่เหมือนกันทำให้คนสองคนมีความคล้ายกันขึ้นมา อ้าวเสว่เอ่ยเสียงเบา “เธอดูสิ ตอนนี้พวกเราเหมือนกันมากขึ้นแล้ว”
“เธอนี่น่าเบื่อจริงๆ” ติงยียีมองอ้าวเสว่ที่อยู่ในกระจก แต่ในใจกลับหงุดหงิดไม่สบายใจ สีหน้าท่าทางของเธอเคร่งขรึมมากเกินไป จนถึงขั้นดุร้ายอยู่บ้าง
อ้าวเสว่หัวเราะหึๆ “ฉันก็เบื่อมากจริงๆ เรียบร้อยแล้ว นั่งอยู่ที่นี่ให้ดีๆล่ะน้องสาวที่รักของฉัน”
เธอหมุนตัวเดินไปทางห้องน้ำ เมื่อผ่านบานกระจกห้องน้ำ ก็หันหน้าไปตามความเคยชิน จึงเห็นเรือนร่างที่อวบอ้วนของตนเอง อ้าวเสว่ชะงักไป จู่ๆหลังจากนั้นก็คว้าสบู่เหลวล้างมือบนอ่างล้างมือขึ้นมาทุบกระจก
เหมือนอะไรกัน! เธอกับเธอไม่เหมือนกัน ดูตัวเองในตอนนี้ รูปร่างอวบอ้วน สีหน้าหม่นหมอง ผู้หญิงแบบนี้จะจับหัวใจผู้ชายได้อย่างไรกัน!
เธอหอบหายใจมองกระจก เสียงปลดล็อคในห้องน้ำห้องหนึ่งดังขึ้น คนคนหนึ่งเดินออกมา ยิ้มหวานมองมาทางเธอ
อ้าวเสว่หันหน้าไป “คิดไม่ถึงเลยว่าเธอยังจะกล้ามาปรากฏตัวขึ้นอีก แต่ฉันก็ประหลาดใจมากว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่นี่”
ซางหัวมองเธอที่สวมชุดสวยงามดึงดูดสายตา ส่วนตัวเองกลับสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตกับเสื้อผ้าธรรมดา เมื่ออยู่ตรงหน้าเธอก็เหมือนกับคนบ้านนอกคนหนึ่ง ในใจเธอรู้สึกขุ่นเคือง ทว่าบนใบหน้ากลับรักษาสีหน้าว่านอนสอนง่ายเอาไว้
เธอพยายามทำให้ตัวเองดูไร้เดียงสา “ฉันอยากทำข้อตกลงกับคุณ”
“ข้อตกลง? เธอมีคุณสมบัติอะไรให้ฉันทำข้อตกลงกับเธอ” อ้าวเสว่หัวเราะพรืด เธอหันกลับไปจัดแต่งทรงผมของตัวเองใหม่
“คุณสู้ติงยียีไม่ได้ เพราะคนที่คุณชายรักคือเธอ” ซางหัวเห็นเธอหยุดความเคลื่อนไหว ก็เอ่ยต่อว่า “ถ้าหากว่ามีฉัน พวกเราร่วมมือกันประสานการโจมตีทั้งในและนอกแล้วไล่เธอออกไป”
เธอยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ราวกับบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว อ้าวเสว่ยิ้มๆ “ฉันไม่ได้วางแผนจะไล่เธอออกไป เพราะเธอจากไปแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็ยังคิดถึงเธอ ฉันจะให้เธอตกอยู่ในสภาพยากลำบาก อยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้”
ซางหัวถูกประกายเย็นยะเยือกในแววตาทำให้ทั่วทั้งร่างหนาวเหน็บ เธอรีบเอ่ยอย่างไม่ยินยอมที่จะพลาดโอกาสสุดท้ายไป “เช่นนั้นฉันก็สามารถร่วมมือกับคุณได้ วางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันไม่ได้สนใจในตัวเย่เนี่ยนโม่”
เมื่อมีคนเดินเข้ามาให้ห้องน้ำ ซางหัวก็เก็บงำสีหน้า แต่สายตากลับมองไปทางอ้าวเสว่บ่อยๆ กลัวว่าจะพลาดสีหน้าความรู้สึกใดๆของฝ่ายตรงข้ามไป
“ถ้าหาก” อ้าวเสว่เขยิบตัวเข้าใกล้เธอ “ถ้าหากว่าเธอสามารถบอกได้ว่าใครที่เป็นคนบอกเธอเรื่องร่องรอยการเดินทางของฉัน อย่างนั้นฉันก็จะร่วมมือกับเธอ”
ซางหัวลังเลเล็กน้อย เธอขบริมฝีปาก แมลงสาบตัวหนึ่งปีนขึ้นมาจากมุมกำแพง นี่ทำให้เธอนึกถึงสภาพแวดล้อมห้องเช่าที่มืดมิดอับชื้นของตัวเอง และยิ่งนึกถึงห้องที่สะดวกสบายในตระกูลเย่ “ต้าต้าบอกฉัน”
ต้าต้า? สีหน้าของอ้าวเสว่ลึกซึ้งเสียจนคาดเดาไม่ถูก เธอนึกถึงเด็กสาวที่มักจะมีสีหน้าขลาดเขลาคนนั้น มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม และหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
“คุณพูดว่าจะร่วมมือกับฉัน ต้องพาฉันเข้าไปในตระกูลเย่ด้วย!” ซางหัวรีบก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างลนลาน โดยไม่สนใจว่าข้างในห้องน้ำจะมีคนอยู่
อ้าวเสว่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างรังเกียจ “ทำไมฉันจะต้องร่วมมือกับเธอด้วย” เธอกวาดตามองซางหัวขึ้นๆลงๆอยู่ครู่หนึ่ง “พ่อของฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ฉันมีร้านอัญมณีแบรนด์เนมร้านหนึ่ง สุดท้ายฉันก็ได้แต่งเข้าตระกูลเย่ แต่เธอล่ะ เป็นคนจนยังจะเลียนแบบการปากหวานก้นเปรี้ยวกับผู้อื่น!
“อ้าวเสว่ คุณอย่าทำเกินไปนะ!” ซางหัวยกมือขึ้นอย่างคิดจะตบเธอด้วยความโมโห ด้านข้างมีผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมาพอดี “เธอนี่มันอะไรกัน อย่างไรก็ไม่สามารถตบตีคนท้องได้นะ”
อ้าวเสว่กวาดตามองเธอเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หันหน้าเดินจากไป คนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันก็ไม่มีความหมายที่จะประลองฝีมือกัน
เพิ่งจะถึงประตูใหญ่ตระกูลเย่ อ้าวเสว่ก็เอ่ยเสียงเย็นเยียบขึ้นมากะทันหัน “ยังไม่รีบลงจากรถอีก”
ติงยียีที่โทสะเต็มท้องก็ไม่ยินยอมที่จะคิดหยุมหยิมกับเธอ จึงเปิดประตูแล้วลงจากรถไป เดิมคิดจะกระแทกปิดประตูรถเสียงดัง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทำ