สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1615 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1455
แพนด้าที่นอนหมอบอยู่ข้างกายเธอร้องคราง เธอปาดน้ำตา เปลี่ยนเป็นลูบท้องของแพนด้าแทน “หิวแล้วสินะ ฉันจะพาแกไปหาอะไรกิน”
เธอพาแพนด้าออกไปข้างนอก พ่อบ้านที่เดินผ่านมาพอดีกวาดตามองแพนด้าครู่หนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “คุณหนูอ้าวเสว่ยังพักผ่อนอยู่ในห้องนอน ปล่อยให้แพนด้าออกมาให้น้อยจะดีกว่านะครับ”
ติงยียีฝืนแย้มรอยยิ้ม แพนด้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลเย่ของเธอ พูดอย่างไรเธอก็ต้องปกป้องมันให้ดี “ขอบคุณนะคะพ่อบ้าน”
พ่อบ้านพยักหน้าและเดินจากไป ติงยียีอาศัยช่วงที่ไม่มีคนพาแพนด้าไปหาอะไรกินในห้องครัว มุมหนึ่งหน้าบานหน้าต่างขนาดใหญ่ในห้องครัว แพนด้านั่งอยู่บนพื้น พลางหันหน้าไปมองสวนดอกไม้นอกบานหน้าต่างไม่หยุด
ติงยียีลูบศีรษะมันด้วยความเจ็บปวด “อยากออกไปเล่นข้างนอกมากใช่ไหม”
แพนด้างับหลังมือเธอเบาๆ หางปุกปุยวาดไปมาทางด้านหลัง ติงยียีแนบปลายจมูกเขากับปลายจมูกมันด้วยความสนิทสนม สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่า “เป็นความผิดของฉัน เพราะว่ากลัวจะเหงา ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจความรู้สึกของแก แกจะเป็นอิสระในเร็วๆนี้แล้ว”
วันรุ่งขึ้น หลังจากเย่เนี่ยนโม่ไปทำงาน ติงยียีก็จูงแพนด้าออกไปข้างนอก เพิ่งจะถึงประตูใหญ่ ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา “คุณหนูยียี ผมเป็นคนขับรถตระกูลเย่ครับ ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหนหรือครับ”
ติงยียีกวาดตามองเขาครู่หนึ่ง และถามขึ้นมากะทันหันว่า “ฉันไปที่ไหน สุดท้ายแล้วเย่เนี่ยนโม่ล้วนได้รู้ใช่ไหม”
คนขับรถชะงัก “ถ้าหากว่าคุณชายอยากรู้ล่ะก็”
“ฉันเข้าใจแล้ว” ติงยียีเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
คนขับรถพยักหน้า “ไม่ทราบว่าคุณอยากจะนั่งรถคันไหนครับ”
“ได้หมด” ติงยียีก้มหน้ามองแพนด้า และตอบคำถามอย่างไม่ใส่ใจ แพนด้านั่งนิ่งอยู่ข้างกายเธออย่างน่ารัก แต่หางที่สะบัดไปมานั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของมันในตอนนี้ดีมาก
รถยนต์วิ่งไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความเร็วสูง พนักงานรักษาความปลอดภัยนายหนึ่งเดินมาเคาะหน้าต่างรถ “ขอโทษด้วยครับ ที่นี่ไม่สามารถจอดรถได้”
คนขับรถลังเลเล็กน้อย ติงยียีปลดเข็มขัดนิรภัย เธอเปิดประตู “วางใจเถอะ ฉันไม่หนีไปหรอก แม้ว่าฉันจะหนีไปได้ เขาก็มีวิธีเป็นพันที่จะทำให้ฉันต้องกลับมา”
“ครับคุณหนูติง” คนขับรถก็ไม่พูดพล่ามไร้สาระอะไรอีก ทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ ให้เธอโทรศัพท์หาเขาในตอนที่เธอคิดจะกลับบ้าน เขาจะขับรถวนอยู่ในละแวกนี้
ติงยียีพาแพนดาไปยังสถานที่ที่นัดหมายกับชิวไป๋เอาไว้ ชิวไป๋สวมแว่นกันแดด เมื่อเห็นเธอก็โบกมือไปมาอย่างตื่นเต้น “ยียี ฉันอยู่นี่”
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” ติงยียียิ้มทักทายเธอ ทว่าสีหน้ากลับปิดบังความเหนื่อยล้าเอาไว้ไม่ได้ เธอปล่อยเชือกแพนด้า แพนด้าจึงเดินเล่นไปรอบๆด้วยตัวเอง
ชิวไป๋พิจารณามองเธอ “ครอบครัวพวกเขาไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจนะ ฉันได้ยินมาว่าหญิงชราตระกูลเย่คนนั้นก็เรื่องมากด้วย เธอรังแกเธอหรือเปล่า”
ติงยียีส่ายหน้า ชิวไป๋ไม่เชื่อ “ฉันไม่เชื่อหรอก ช่างมันเถอะ เธอไม่อยากพูดก็ช่างมัน สองวันนี้จางจื๋อหรุ่ยยังถามถึงเธอ”
จางจื๋อหรุ่ย? สมองของติงยียีปรากฏภาพชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ขึ้นมา ชิวไป๋พยักหน้า “เธอแน่ใจนะว่าเธอกับเขาไม่รู้จักกัน? เขาถึงกับเก็บแฟ้มเอกสารของเธอเอาไว้ ไม่เคยเห็นเขามีความอดทนกับศิลปินคนไหนมาก่อนเลย”
ติงยียีหลุบตาลง เอ่ยช้าๆ “มีความเป็นไปได้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเย่เนี่ยนโม่ที่ทำ”
ชิวไป๋มีสีหน้าจริงจัง “ใช่ ฉันยังอยากจะคุยเรื่องนี้กับเธอ บัญชีของฉันมีเงินเพิ่มขึ้นมาหกแสน ฉันคิดว่าเย่เนี่ยนโม่โอนเงินคืนกลับมาให้ฉัน”
ติงยียีตะลึง ยิ้มเจื่อน พลางเอ่ยว่า “เขาเพียงแค่อยากจะบอกเธอว่า ไม่ว่าพวกเราทำอะไร เขาล้วนรู้หมดเท่านั้นเอง”
ชิวไป๋จิบกาแฟอึกหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าใจไม่เสื่อมคลายของเธอแล้ว แม้ว่าใบหน้าจะได้รับการบำรุงจากตระกูลไฮโซจนงดงามมากกว่าเดิม บนร่างก็มีบุคลิกดี แต่ความกระตือรือร้นและร่าเริงที่มีแต่เดิมนั้นไม่มีแล้ว
ชิวไป๋ไม่อยากถูกเรื่องนี้ทำลายบรรยากาศจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทำไมวันนี้ถึงได้ว่างมาดื่มกาแฟกับฉัน ฉันรับช่วงต่อคนใหม่มาคนหนึ่ง นอกจากหน้าตาดีแล้วก็ไม่มีข้อดีอะไรอีก เหมือนกับหุ่นไม้เลย”
ติงยียีคนกาแฟ “ฉันอยากจะขอให้เธอช่วยรับแพนด้าไปเลี้ยงช่วงหนึ่ง”
“เธอยังจะพูดอีกว่าพวกเขาไม่ได้รังแกเธอ รังแกจนเธอต้องส่งแพนด้าจากไปแล้วไม่ใช่หรือ!” ชิวไป๋เอ่ยเสียงแหลมแล้วลุกขึ้นยืน ติงยียีมองไปรอบๆ หันไปยิ้มให้กับคนรอบๆอย่างขอโทษ เธอตบลงบนหลังมือชิวไป๋ “นั่งลงก่อนค่อยคุยกัน”
“อยู่ที่ตระกูลเย่ ถ้าหากว่าฉันไม่ยินยอม ฉันก็ไม่มีทางให้คนอื่นๆรังแกฉันได้” ติงยียีคนกาแฟในแก้วใหม่อีกครั้ง
โทสะของชิวไป๋ถึงได้ลดลงเล็กน้อย เธอพึมพำว่า “นั่นมันก็ใช่”
ติงยียีมองไปทางแพนด้า ก็เห็นว่าสุนัขพันธ์เชาเชาสองตัวถูกรูปร่างใหญ่โตของแพนด้าทำให้ตกใจจนวิ่งวุ่นไปทั่ว เธอเอ่ยเรียบๆว่า “ฉันอยากให้มันอยู่เป็นเพื่อนฉันมาก แต่มันไม่สามารถถูกกักขังเอาไว้ในกรงขังขนาดใหญ่เหมือนกับฉันได้ ทุกวันทำได้เพียงแค่หมกตัวอยู่ในห้องเท่านั้น”
ชิวไป๋มองออกถึงความโศกเศร้าของเธอ คิดจะปลอบใจแต่กลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ติงยียียิ้ม “ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว แพนด้ากินอะไรก็ได้ รบกวนเธอช่วยฉันเลี้ยงช่วงหนึ่งนะ สำหรับค่าอาหารนั้น…”
“กล้าพูดเรื่องเงินก็เลิกคบ!” ชิวไป๋เอ่ยด้วยท่าทางดุร้าย ติงยียีมองเธออย่างซึ้งใจครู่หนึ่ง เธอโบกมือไปทางจุดที่ห่างไกล แพนด้าวิ่งเข้ามาอย่างเริงร่า สายตาของผู้คนที่อยู่บนถนนล้วนจับจ้องไปยังขนที่สวยงามของมันอย่างอดมิได้
ติงยียีย่อตัวออกแรงลูบศีรษะมัน รู้สึกว่าลูบอย่างไรก็ไม่พอ แพนด้าจึงสี่ขาชี้ฟ้าหงายตัวลงกับพื้น ซุกร่างเข้าไปในอ้อมกอดของติงยียี
ห้านาทีผ่านไป ติงยียีตัดใจยื่นเชือกให้ชิวไป๋ถือเอาไว้ เธอย่อตัวลง หน่วยตาร้อนผ่าว หยาดน้ำตาเกือบจะรินไหลออกมา “โอเคแล้วนะแพนด้า จะต้องเชื่อฟังน้าชิวนะ อย่าสร้างความเดือดร้อนให้กับคุณน้าล่ะ”
“ให้ตายเถอะ ใครเป็นคุณน้า ฉันเป็นพี่สาว” ชิวไป๋ก็หน่วยตาร้อนผ่าวบ้างแล้วเช่นกัน เธอยิ้มพลางเอ่ยด่า
ติงยียีหมุนตัวเดินจากไปไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็มีเสียงชิวไป๋ดังลอยมา “แพนด้า”
แพนด้าวิ่งไปถึงข้างกายติงยียี เดินตามเธอก้าวต่อก้าว ติงยียีหยุดมันก็หยุดตาม ชิวไป๋ตามมาดึงเชือกเอาไว้อีกครั้ง
แพนด้ามองติงยียีอย่างไม่เข้าใจ ติงยียีเดินไปข้างหน้า มันก็เดินตามต่อ เธอจึงทำได้เพียงแค่หยุดเท้าลงแล้วตำหนิว่า “ถ้าแกยังทำแบบนี้อีก ฉันจะโกรธแล้ว!”
แพนด้านิ่งอยู่ที่เดิม มันหันหน้าไป เห็นได้ชัดเจนว่าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายมันถึงต้องโมโห มันแค่เดินตามเธอไปเท่านั้นเอง ติงยียีโค้งตัวลงมา อดไม่ได้ที่จะลูบหัวมัน “ตอนนี้แกอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งนะ ฉันไม่สามารถมาเยี่ยมแกได้ชั่วคราว”
แพนด้าก้มหน้าครางหงิงๆ ชิวไป๋ปวดใจมาก “ถ้าหากตัดสินใจเรียบร้อยแล้วก็ไปเถอะ ฉันจะดูแลมันให้ดี”
ติงยียีพยักหน้า เธอเดินไปยังรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ข้างถนนอย่างรวดเร็ว ขึ้นไปนั่งรถแท็กซี่แล้วก็มองผ่านบานกระจก แพนด้ากำลังดิ้นรนวิ่งมาทางนี้ ปลอกคอที่อยู่บนลำคอถูกดึงจนเปลี่ยนรูปร่าง ชิวไป๋ออกแรงทั้งหมดดึงมันเอาไว้ แต่ก็ถูกมันลากให้เดินไปหลายก้าว
ติงยียีไม่กล้ามองอีก เธอถอนสายตากลับมา นั่งอยู่บนเก้าอี้ เมื่อเอ่ยปาก เสียงก็แหบพร่า “ออกรถเลยค่ะ”
เสียงเห่าอย่างบ้าคลั่งนั้นคล้ายกับดังขึ้นข้างหู คนขับรถมองผ่านกระจกมองหลัง ก็หยอกล้อว่า “เจ้าหนูนี่ยอดเยี่ยม สุนัขตัวนี้วิ่งเร็วมาก!”
ติงยียีก้มหน้า มือของเธอกำแน่น แยกกับแพนด้าเป็นเรื่องที่เธอไม่ยินยอมทำมากที่สุด แต่ในตอนนี้เธอกลับผลักญาติพี่น้องออกไปเองกับมือ
ฮีตเตอร์ภายในรถทำงานเต็มที่ แต่เธอกลับรู้สึกหายใจไม่ออก “คุณลุงคะ จอดรถตรงหัวมุมด้านหน้าด้วยค่ะ” เสียงของติงยียีเจือไปด้วยแววสะอื้น
ตอนที่เท้าแตะลงกับพื้นก็ยังอ่อนแรงอยู่บ้าง เธอปิดประตูรถ ถนนทั้งหน้าและหลังล้วนเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกการค้าตึกหนึ่ง และเป็นเวลาเลิกงานพอดี พนักงานออฟฟิศที่แต่งตัวสะอาดสะอ้านทยอยเดินออกมาจากในตึก
รอบด้านมีผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง ผู้คนบ้างยิ้มแย้ม บ้างอภิปราย เงาร่างในมุมหนึ่งนั้นดูโดดเดี่ยวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ติงยียีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรศัพท์หาคนขับรถ “สวัสดีค่ะ ฉันคือติงยียี มารับฉันหน่อยได้ไหมคะ”
เสียงของคนขับรถในสายโทรศัพท์เจือไปด้วยแววขอโทษ “ขออภัยด้วยครับ คุณหนูอ้าวเสว่ต้องการใช้รถขึ้นมากะทันหัน”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ติงยียีวางสายโทรศัพท์ รถตระกูลเย่มีเยอะขนาดนั้น อ้าวเสว่กลับจะนั่งรถคันเดียวกับที่ตัวเองนั่ง เจตนานั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก
เธอถอนหายใจ แยกจากกับแพนด้าทำให้เธอหมดหนทางที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ เธอเดินไปยังรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ริมถนน ตั้งใจจะเรียกรถกลับไป
เพิ่งจะเปิดประตูรถ กระเป๋าที่ห้อยอยู่ตรงข้อมือก็ถูกคนที่วิ่งผ่านมาอย่างกะทันหันกระชากไปอย่างแรง ติงยียีโงนเงนไปหลายก้าวและล้มลงบนพื้น
ชายสวมแจ็คเก็ตคนหนึ่งคว้ากระเป๋าของติงยียีเอาไว้ เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จ ก็วิ่งไปทางหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว กระชากกระเป๋าของผู้หญิงคนนั้นและวิ่งไปบนถนนอีกด้านหนึ่ง
หญิงสาวตกตะลึง จากนั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง “มีขโมย ช่วยจับขโมยหน่อยค่ะ!”
ผู้คนรอบด้านเดินผ่านข้างกายเธอไปอย่างเมินเฉย มีคนที่หวังดีแนะนำให้เธอรีบไปแจ้งตำรวจ หญิงสาวร้อนใจจนร้องไห้ออกมา “ในนั้นมีค่ายาที่ฉันจะให้คุณแม่ของฉัน พวกคุณช่วยฉันหน่อยนะคะ!”
ติงยียีเห็นเธอร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง หัวใจก็กระตุก ปิดประตูรถแล้ววิ่งไปทางที่ขโมยวิ่งไป “ไอ้คนเลว! จับขโมยเร็วเข้า!” เธอสูดลมหายใจลึกวิ่งไปด้านหน้า และตัดสินใจถอดรองเท้าออกมากอดไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งตามไป เธอวิ่งตามไปพลาง ตะโกนไปพลาง แต่คนรอบด้านเพียงแค่มองอย่างสนุกสนาน คนที่จะก้าวเข้ามาช่วยเหลือนั้นไม่มีสักคน
ชายหนุ่มเห็นติงยียีตามตนเองไม่หยุด จึงตัดสินใจวิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ติงยียีหอบหายใจวิ่งตามอยู่ด้านหลัง แต่รู้สึกว่าเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปไม่หยุด ดูท่าจะหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว
“ว้าว! สุนัขตัวใหญ่มาก!”
คนที่อยู่ด้านหลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ สุนัขพันธุ์ทิเบตันมาสทิฟขนสีเข้มตัวหนึ่งวิ่งตรงมาจากหัวมุมถนนอย่างรวดเร็ว บนหัวยังใช้โบว์สีแดงมัดจุกเอาไว้
คนที่อยู่บนถนนพากันหลบ ติงยียีหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ ก็เห็นแพนด้าหยุดอยู่ข้างกายตัวเอง หอบหายใจวิ่งวนรอบตัวเองไปมาด้วยท่าทางดีอกดีใจ
ดูเหมือนมันจะวิ่งมานานมาก เส้นขนบนร่างสกปรกและพันกันยุ่งเหยิง ติงยียีหน่วยตาแสบร้อน แต่กลับพบว่า หลังจากที่แพนด้าวิ่งวนรอบตัวเองไปสองรอบแล้วก็วิ่งไปตามทางที่ติงยียีชี้ไปเมื่อครู่นี้
มันกำลังไล่ตามขโมยหรือ ติงยียีสูดลมใจลึกแล้ววิ่งตามไป ภายในตรอกเล็ก หัวขโมยหอบหายใจพยุงร่างเข้ากับกำแพง เพิ่งจะเปิดกระเป๋าออก ปากทางก็มีเสียงร้องกังวานของสุนัขดังลอยมา