สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1616 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1456
เขายืนอยู่ตรงทางเข้าซอย มองไปที่สุนัขทิเบตันมาสทิฟตัวใหญ่ประมาณ 80 เซ็นที่กำลังเดินท่ามกลางแสงแดดออกมาหาเขา ทุกครั้งที่มันเห่า แขนของเขาก็สั่นอย่างไม่รู้ตัว
เขามองดูทิเบตันมาสทิฟที่แยกเขี้ยวแล้วเดินมาทางเขาช้าๆ เขามองเห็นถึงขนาดน้ำลายที่หยดลงมาจากเขี้ยวของมัน “แม่งเอ้ย!”ชายหนุ่มโยนกระเป๋าทิ้ง ปีนกำแพงขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
เสียงสุนัขเห่าดังขึ้น เขาตกใจมาก รู้สึกได้ถึงแรงดึงที่ก้น เขาหันกลับไปมองอย่างกล้าๆกลัวๆ สบตาเข้ากับแววตาของสุนัขที่ซ่อนอยู่ในเส้นขน
“อย่ากัดฉันนะ!”เขาดึงกางเกงขึ้นอย่างสุดชีวิต ปีนขึ้นกำแพงอย่างเอาเป็นเอาตาย “แขวก” เสียงของผ้าที่ขาดออกจากกันดังอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างเร่งรีบ มองไปยังสุนัขที่กัดกางเกงของเขาอย่างใจสั่นระรัว ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ ทิเบตันมาสทิฟตัวนั้นก็คำรามขึ้นมาอีกครั้ง เสียงดังไปถึงแก้วหู เขากระโดดลงกำแพงมาด้วยความตกใจ
แพนด้าก็ไม่ได้ไล่ตามไป สะบัดหัวแล้วคาบกระเป๋าที่อยู่บนพื้นเดินออกจากซอยไป ในที่สุดโจรก็หนีพ้นจากทิเบตันมาสทิฟตัวนั้นแล้ว เขาจับกางเกงตัวเองอย่างลุกลน
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”มีเสียงตะโกนอย่างไม่พอใจมาจากข้างหลัง เขาหันไปด้วยความตกใจ ผู้หญิงคนที่ตามเขามาตลอดก่อนหน้านี้กำลังวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยเท้าเปล่า
กระเป๋าของหญิงสาวห้อยอยู่ที่แขนของเธอ ถ้าจะชิงมาก็ทำได้อย่างง่ายดาย เขาคิดชั่วขึ้นมาอีกครั้ง วันนี้โชคร้ายมาทั้งวันแล้ว ถ้าไม่ได้อะไรกลับไปหน่อยต้องไม่ดีแน่
ติงยียีเห็นว่าเขาไม่ได้หนี ถึงแม้ว่าจะแปลก แต่ก็รีบวิ่งเข้าไปที่ข้างๆเขา “นายเอากระเป๋าคืนมานะ”
“ถ้าฉันคืนให้เธอ เธอจะปล่อยฉันไปไหม?” ชายหนุ่มค่อยๆเข้าใกล้เธอ พูดกับเธอพลางเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ
ติงยียีพูดอย่างจริงจัง “ไม่ได้สิ ปล่อยเธอนายไปแล้วถ้าคนอื่นโดนเธอนายขโมยของอีกจะทำไงล่ะ?”
ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นเสียใจคอตก จากนั้นก็เอื้อมมือไปจับที่แขนของติงยียีอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะคว้ากระเป๋าได้ ก็มีเสียงคำรามดังมา
เขาสะดุ้งและปล่อยมือ มองไปที่ทิเบตันมาสทิฟที่กำลังวิ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ ถ้าจะบอกว่าเมื่อกี้เป็นการเล่นกัน ครั้งนี้มันคงโกรธแล้วจริงๆ มันเห่าและวิ่งไปหาเขา
“แม่งเอ้ย !”ชายหนุ่มมุ่งวิ่งไปที่ถนนใหญ่อีกทางหนึ่ง แพนด้าก็ยังตามไป ติงยียีก็รีบหยุดมันไว้ ข้างหน้าเป็นโรงเรียนประถม ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนเลิกงานที่คนเยอะ สุนัขแบบแพนด้าทำให้คนตกใจได้ง่าย
แพนด้าหยุดลงอย่างว่าง่าย หันกลับมาวิ่งรอบๆตัวเธอ ติงยียีก็ลูบขนของมันอย่างอบอุ่น ปริ่มล้นในใจ เธอต้องเลวร้ายขนาดไหนถึงทิ้งแพนด้าไปได้
ติงยียีลุกขึ้นหยิบกระเป๋าที่แพนด้าทิ้งไว้บนพื้น พูดอย่างเสียใจว่า “ขอโทษนะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ทิ้งแกไปไหนแล้ว”
ติงยียีเอากระเป๋าที่แย่งกลับมาได้ไปที่เดิม ผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่ทำกระเป๋าหายได้หายไปแล้ว เธอเดินไปรอบๆ แล้วก็มีตำรวจสองคนเดินเข้ามา
ตำรวจมองไปที่เธอ แล้วก็มองไปที่กระเป๋าในมือของเธอ หนึ่งในชายวัยกลางคนนั้นก็แสดงบัตรกับเธอ “สวัสดีครับ กระเป๋าที่อยู่ในมือของคุณได้ถูกแจ้งความว่าโดนวิ่งราวไป ขอให้คุณให้ความร่วมมือไปให้ปากคำที่สถานีด้วยครับ”
ในสถานีตำรวจ ติงยียีนั่งอยู่ ตำรวจรอบๆก็ล้อมกันดูแพนด้า พูดกันถึงลักษณะของมัน “เจ้าหนูนี่ ขนแววดีจริงๆ ไม่ด้อยไปกว่าสุนัขตำรวจเลย! ”
นายตำรวจคนนึงมองไปที่ติงยียี แล้วก็พูดมาทันทีว่า “คุณรู้จักกับหัวหน้า Baker ใช่ไหม?”
ยังไม่ทันรอให้ติงยียีได้สติตอบ นายตำรวจก็ตบเข่าฉาด “เป็นคุณไม่ผิดแน่ คุณรอแปปนึงนะ ผมไปเรียกเขาให้”
พูดจบนายตำรวจก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก เสียงของ Bakerก็ดังออกมาจากประตู “นายพูดถึงใครห้ะ ทำไมฉันจำไม่ได้เลยสักนิด!”
ติงยียีรีบลุกขึ้นมา พะหงกหัวไปทางเขา “สวัสดีค่ะ”
Baker คาบบุหรี่พลางขมวดคิ้ว “เจอกันอีกแล้ว คนตระกูลเย่นี่มีลักษณะเด่นอยู่อย่าง ชอบมาสถานีตำรวจกันซะจริง”
ติงยียียิ้มแห้งๆแต่ไม่ได้พูดอะไร Bakerหันกลับไปถามตำรวจที่อยู่ข้างๆ “มีเรื่องอะไร?”
“ไม่มีอะไรมากครับ สุนัขของคุณผู้หญิงคนนี้ช่วยแย่งกระเป๋ากลับมาได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องรอให้ผู้เสียหายมายืนยันตัวถึงจะกลับได้ ”นายตำรวจคนเมื่อกี้รายงานด้วยรอยยิ้ม
Baker พยักหน้า “ไปบอกคนตระกูลเย่ให้มารับกลับได้แล้ว”
“ไม่ต้องบอกแล้ว ผมมาแล้ว” เย่ป๋อเดินปรากฏตัวออกมาจากทางประตูอย่างรีบร้อน ในมือของเขายังถือกระเป๋าเอกสาร สวมเสื้อชุดสูทรองเท้าหนังอย่างเนี้ยบ เห็นได้ชัดว่ารีบมาที่นี่จริงๆ
หลังจากบอกลา Baker เย่ป๋อกับติงยียีก็เดินออกมาจากสถานีตำรวจ ติงยียีถามอย่างส่งเดชว่า“เย่เหนียนโม่ล่ะ?”
เย่ป๋อลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบว่า “คุณอ้าวเสว่ปวดท้องนิดหน่อย ท่านนายให้คุณชายอยู่ดูแลด้วย ”
อย่างนี้นี่เอง ใจของเธอยังเจ็บปวดไหมนะ ?ติงยียีทดลองรับความเจ็บปวดที่มาจากหัวใจดู แต่กลับพบว่าความเจ็บปวดที่ปะปนกันนั้น ทำให้เธอพูดไม่ออก
รถวิ่งไปที่บ้านตระกูลเย่ เย่ป๋อช่วยติงยียีเปิดประตู เธอเดินลงออกมา ทันใดนั้นก็หันกลับไป “ถ้านายคิดว่าเธอคือคนที่ใช่ของนายในชีวิตนี้แล้วล่ะก็ ดูแลเธอให้ดีๆ อย่าเดินซ้ำรอยฉันกับเขา”
สีหน้าเคร่งขรึมของเย่ป๋อเงยขึ้นมา “แน่นอนครับ”
ติงยียีเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นคนรับใช้ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้าต้าเดินเข้ามา เมื่อเธอเห็นติงยียีก็รีบก้มหัวแล้วเดินอ้อมหายไป
แพนด้าวิ่งไปนั่งที่ลานด้านนอกไม่เข้ามาอย่างแสนรู้ ติงยียีเดินขึ้นไปตามทางบันไดช้าๆ อยู่ข้างๆระเบียงก็ยิ่งได้ยินเสียงในห้องชัดเจนยิ่งขึ้น
“คุณย่าคะ ดูสิ ของเล่นลายวัวอันนี้น่ารักมากเลย”
“หลานชายฉันต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดสิ นี่เป็นห้องเลี้ยงเชินหลินตอนเล็กๆ เชื่อฉันสิว่าลูกหลานตระกูลเย่ได้อยู่ที่นี่ก็จะมีวาสนาดี เหนียนโม่ เธอก็พูดบ้างสิ”
ติงยียีอยู่ข้างกำแพง เธอหลับตาลง ในหัวยังจินตนาการภาพในห้องนั้นได้ เหมือนกับครอบครัวที่สมบูรณ์จริงๆ
“ผมตัดสินใจว่าจะรอไปอเมริกาตอนอ้าวเสว่ท้องได้ 28 สัปดาห์ ที่นั่นอุปกรณ์การแพทย์ดีกว่า”
ติงยียีได้ยินเสียงของเย่แหนียนโม่ เธอลืมตาขึ้นมองเพดาน ดวงตาแห้งเหือด เธอพยายามกะพริบตาแต่น้ำตาสักหยดก็ไม่มีให้ไหล
“เหมือนว่าตอนนี้ถ้าคลอดที่อมเริกาก็จะได้สัญชาติเลย งั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน” อ้าวเสว่พูดอย่างมีความสุข
ในห้องยังคงพูดคุยกัน ติงยียีหลับตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้น ถ้าจะผ่านบันไดนี้ไปเธอจำเป็นต้องเดินผ่านห้องนั้น นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากจะทำมากที่สุด
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เธอรู้ว่าเธอไม่อาจจะหนีต่อไปได้แล้ว ขาข้างนึงก้าวออกไปที่บันไดขั้นแรก
เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินตรงไป แต่ต้องมาเจอกับเย่เหนียนโม่ที่จะออกไปข้างนอกพอดี เธอเหลือบไปมองในห้องเลี้ยงเด็กอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างมีครบครันในนั้น อีกไม่นานก็จะมีเจ้าตัวน้อยมาอยู่สินะ
เย่เหนียนโม่พูดเอ่ยปากก่อน “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
คำธรรมดาไม่กี่คำ ทำให้เธอเกือบจะน้ำตาไหล เธอเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ เธอส่ายหน้าอยากจะเดินออกมา เสียงของฝู้เฟิงหยีดังออกมาจากในห้อง “พรุ่งนี้จะมีแขกมาทานข้าว เธอก็มากินด้วยกันสิ”
ติงยียีกับอ้าวเสว่ก็ตะลึง ทั้งสองทายใจของท่านนายไม่ถูกเลยจริงๆ ได้แต่ตอบรับไป “คุณย่าครับ เดี๋ยวผมมา”เย่เหนียนโม่จับมือของติงยียีออกไปข้างนอก
สายตาของอ้าวเสว่ที่ไล่มองดูพวกเขา ฝู้เฟิงหยีรู้จึงพูดว่า “รอให้เธอคลอดลูกเสร็จ ฉันจะให้เหนียนโม่แต่งงานกับเธอ พวกผู้หญิงเล็กน้อยพวกนั้นน่ะ ถึงเขาจะอะไรด้วยก็เป็นได้แค่อากาศ”
อ้าวเสว่ได้ยินแบบนั้นก็ก้มลงมองท้องของตัวเอง ในใจกลับอดกระวนกระวายไม่ได้ ถ้าเธอคลอดลูกออกมาแล้ว ก็หมายความว่าแผนการนั้นกำลังดำเนินการแล้ว
ติงยียีโดนเย่เหนียนโม่จับมือให้เดินตามเขาออกมา ทันทีที่เข้ามาถึงห้องหนังสือเย่เหนียนโม่ก็หันมาดันเธอไว้ที่บานประตู “ยียี คุณอดทนอีกนิดนะ แค่รอให้เธอคลอดเด็กออกมาก็จบแล้ว ”
เธอตกใจ จากนั้นก็หลบตาลง “ฉันก็เหมือนกับเมียน้อยที่รอวันโดนเขี่ยทิ้ง”
“มองมาที่ผม”เขาจับคางของเธอขึ้นมาไม่ให้เธอหลบหน้า “ชาตินี้ผมอยากมีคุณคนเดียว ความผิดที่ผมได้ทำไป ผมจะใช้ทั้งชีวิตนี้ชดเชยให้คุณ”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?”ในที่สุดติงยียีก็ถามคำถามนี้ออกมา ถ้าอ้าวเสว่ไปแล้ว งั้นเด็กคนนั้นจะเป็นยังไง ?อยู่กับเย่เหนียนโม่หรอ?
เย่เหนียนโม่พูดอย่างนุ่มนวล “ต่อไปพวกเราก็จะมีลูกเอง เด็กคนนี้ก็ถือซะว่าซ้อมมือรอวันนั้นไม่ดีหรอ ? ”
ติงยียีมองไปที่เขาอย่างเคร่งขรึม “คุณคิดว่าฉันจะยอมรับเด็กคนนึงอย่างไม่มีเงื่อนไขหรอ?เพียงเพราะความเหลวไหลของคุณในตอนแรกน่ะนะ ถ้าต่อไปจะมีอ้าวเสว่คนที่สอง คนที่สามขึ้นมาอีก งั้นฉันก็ต้องยอมรับเด็กพวกนั้นหมดเลยหรอ? ”
เย่เหนียนโม่มองเธอที่แทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณใจเย็นๆก่อน”
ติงยียีสูดหายใจเข้าลึกๆครั้งนึง “ฉันใจกว้างไม่พอที่จะยอมรับเด็กคนนึง”
เธอผลักแขนของเขาออกแล้วเดินออกไป เธอพิงประตูสูดหายใจลึกๆอยู่ จะให้เธอกลายเป็นแม่ของลูกของพี่สาวแท้ๆหรอ ? ถ้าเด็กโตขึ้นจะบอกเขายังไงดีล่ะ?
จบเห่หมดทุกทางแน่ มองดูอ้าวเสว่ถูกไล่ออกจากตระกูลเย่ จากนั้นก็รับเด็กคนนั้นมา สิบกว่าปีให้หลังค่อยบอกเธอตอนโต มองดูเธอเจ็บปวด มองดูเธอเกลียดตัวเอง
ตอนฟ้ารุ้ง ติงยียีอยากจะออกจากบ้านด้วยความเหนื่อยล้า แพนด้าตามเธอไปแบบผิดปกติ แววตามองไปที่เธอตรงๆ ท่าทีที่ผิดปกติของมันทำให้ติงยียีกังวลใจ
คิดว่าตอนเช้าตรู่คงไม่มีคน เธอเปิดประตูใหญ่ แพนด้ารีบวิ่งออกไป วิ่งออกไปตามทางบันไดไปถึงสวนดอกไม้ ติงยียียังไม่ทันได้ใส่สายจูงให้มัน ทำได้แค่รีบวิ่งตามไป
แพนด้าวิ่งเข้าไปในสวน วิ่งไปรอบๆสนามหญ้า ติงยียีลงมาก็เห็นว่ามันทำดอกไม้ที่อ้าวเสว่ปลูกไว้เละเทะไปหมด
“แพนด้า!”ติงยียีตะโกนอย่างรีบร้อนใจ แพนด้ามองมาที่เธอแปปนึงแล้วก็วิ่งเล่นอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม ราวกับม้าหลุดคอก
“พวกเธอทำอะไรน่ะ!”เสียงแหลมของอ้าวเสว่ดังขึ้นจากด้านหลัง เธอมองดูที่ดอกไม้ที่ปลูกเองพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ดอกไม้ของฉัน! พวกเธอตั้งใจทำ!”
“แพนด้าไม่ได้ตั้งใจนะ มันน่าจะเป็นอะไรสักอย่าง !”เธอรีบพูด ติงยียีรู้ว่าเรื่องนี้ตัวเองมีความผิด