สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่1484 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1384
ยามค่ำคืน ลานด้านหน้าประตู ติงยียีนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย มองออกไปบนท้องฟ้าอย่างใจลอย ใบหน้าเย็นเยือก เธอดึงสติกลับมา เย่เนี่ยนโม่เอากระป๋องเบียร์ยัดใส่ในมือเธอ พูดเบาๆว่า “เฉพาะวันนี้เท่านั้น”
เธอยิ้มพลางเปิดฝากระป๋องเบียร์ จิบหนึ่งอึก ให้ของเหลวเย็นเฉียบไหลผ่านต่อมรับรส “อากจะไปหาพ่อแม่แท้ๆมั้ย” เย่เนี่ยนโม่ถามอย่างเรียบเฉย
ติงยียีหยิบกำไลมาแกว่งไปมาตรงหน้า อารมณ์ความรู้สึกสับสนพลุ่งพล่านในใจ จะเป็นเธอเหรอ แม่ของอ้าวเสว่ตกลงมีความสัมพันธ์อะไรกับตนเอง
หลังจากกลับมาจากเมืองเหยาหนาน ชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร ติงยียีดูทีวีเย่เนี่ยนโม่ถูกสัมภาษณ์ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักของศูนย์การค้าระหว่างประเทศ รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตรงเวลา เธอรับสายอย่างมีความสุข “เนี่ยนโม่!”
“ทานข้าวแล้วหรือยัง” เสียงเย่เนี่ยนโม่แฝงด้วยความรักใคร่เอ็นดู เธอพยักหน้า พักหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น รีบส่งเสียงตอบ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยทางโทรศัพท์กันอีกครู่หนึ่งจึงวางสาย
หลังจากวางสายเธอก็รีบเก็บของเตรียมออกจากบ้าน เธอขอลางานครึ่งเดือน ในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ เธออยากจะทำให้กระจ่างว่าตกลงเธอคือใคร และคนที่จะสร้างความกระจ่างได้มีเพียงคนเดียวก็คือแม่ของอ้าวเสว่
มาถึงคฤหาสน์ คฤหาสน์ยังเงียบเชียบเหมือนเดิม ติงยียีนั่งอยู่ข้างทาง แบบนี้แค่เพียงมีคนอื่นผ่านมาก็จะมองเห็น
รอนานมาก ก็มีรถสปอร์ตสีแดงคันหนึ่งค่อยขับมา เธอเห็นผู้หญิงที่อยู่ในรถก็ชะงักไปทันที
ซือซือรู้สึกว่ามีคนมองตนเองอยู่ พอมองจากกระจกมองหลัง ในใจไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่ติงยียีมาหาตนเอง
รถยนต์จอดลงหน้าคฤหาสน์ ซือซือเพิ่งลงจากรถก็ถูกติงยียีขวางเอาไว้ “เธอจะทำอะไร!” เธอถามอย่างไม่เกรงใจ
ติงยียีควักกำไลออกมา พร้อมถามว่า “คุณจำกำไลอันนี้ได้มั้ยคะ”
ในใจซือซือเต้นตึกตัก มือซ้ายคลำกำไลบนข้อมือขวาโดยไม่รู้ตัว กำไลในมือติงยียีเธอรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ถ้าเธอเดาไม่ผิด ด้านในกำไลน่าจะมีชื่อของเธอเขียนอยู่ด้วย
“ทำไมเธอถึงมีของชิ้นนี้ เธอเอามาจากไหน! ” ซือซือถามเสียงดุ
ติงยียีจ้องมองแขนของเธอ มองเธอพยายามที่จะปกปิดกำไลบนแขนของตนเอง ในใจก็ตกใจตาไปด้วย “พ่อของฉันให้มาค่ะ เมื่อ24ปีก่อนคุณเคยคลอดลูกที่โรงพยาบาลเจตนินหรือเปล่าคะ”
“เป็นไปไม่ได้ เด็กคนนั้นพอคลอดออกมาก็ตายแล้ว พยาบาลเป็นคนบอก!” ซือซือมองเธออย่างแปลกประหลาดใจ เธอไม่เชื่อ ผ่านไปหลายปีขนาดนั้นแล้วจู่ๆก็มีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งมาบอกกับตนว่า ลูกที่เธอคลอดตอนนั้นอาจจะไม่ได้ตาย เธอไม่เชื่อเลยสักนิด!
ติงยียีบีบเข้าใกล้กัน พูดทีละคำทีละประโยค “ตอนนั้นเด็กคนนั้นไม่ได้ตาย แม่แท้ๆของเธอบอกกับพยาบาลว่าไม่ต้องการลูกคนนี้ หลังจากเด็กคนนี้คลอดออกมาพยาบาลก็อุ้มเด็กหนีไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แม่เปลี่ยนใจภายหลัง เธอโกหกแม่คนนั้นว่าลูกตายแล้ว
ซือซือมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอรู้เหตุการณ์ในคืนวันนั้นได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นลูกของเธอจริงๆ ไม่ ต้องเป็นแบบนี้แน่ มิน่าเล่าครั้งแรกที่เธอเห็นเด็กคนนี้ถึงมีความรู้สึกแปลกๆ!
“ต่อให้เป็นความจริง ฉันก็ไม่ยอมรับเธอ เธอไปเถอะ!” ซือซือทิ้งท้ายอย่างร้ายกาจ เห็นติงยียีมองด้านหลังของตนเองด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เธอหันไปมอง สวีเห้าเซิง อ้าวเสว่กำลังยืนมองเธออย่างตกตะลึงอยู่ด้านหลังของเธอ
สวีเห้าเซิงมองติงยียีอย่างเหลือเชื่อ “ลูก เมื่อกี้ที่พูดเป็นความจริงเหรอ”
ติงยียีพยักหน้า เธอรู้ว่าสวีเห้าเซิงน่าจะเป็นพ่อแท้ๆของตนเอง อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆมองภาพนี้อย่างเย็นเยือก ทันใดนั้นก็ร้องคร่ำครวญ ทรุดตัวลงดึงผมตัวเองอย่างเจ็บปวด
“เสี่ยวเสว่!” ซือซือและสวีเห้าเซิงรีบประคองเธอขึ้นมา หมอพาพยาบาลพุ่งออกมาจากในห้อง ทุกคนประคองอ้าวเสว่เข้าไปในบ้านอย่างร้อนใจ
ติงยียีมองพ่อแม่ๆของตนเองมองอ้าวเสว่ด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย แต่ตัวเองยืนอยู่ด้านนอก ไม่มีใครสนใจ เธอหัวเราะเยาะตัวเอง หมุนตัวเดินจากไป
บริษัทเย่ซื่อ
ประตูกระจกเปิดทั้งสองด้าน ชายหนุ่มผู้เป็นผู้นำในชุดสูท ใบหน้าหล่อเหลา ชายศีรษะแบนข้างๆ เขากำลังพูดพลางพลิกดูแฟ้มเอกสาร ผู้บริหารระดับสูงเจ็ดแปดคนตามมาข้างหลัง
ชายหนุ่มถูกเชื้อเชิญเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัวราวกับเป็นดวงจันทร์ที่มีหมู่ดาวล้อมรอบเขาก้มหน้ามองดูนาฬิกาข้อมือครู่หนึ่ง คิ้วค่อยๆขมวด ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“ผู้จัดการใหญ่คะ” หญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ข่มความตื่นเต้นที่อยากจะมองเขาให้นานมากอีกหน่อย รีบพูดว่า “มีคุณผู้หญิงคนหนึ่งต้องการพบคุณค่ะ”
“ไม่พบ” เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วคำถามแบบนี้ก็ยังมาถามตนเอง หญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์รีบพยักหน้าถอยออกไป เมื่อก่อนมีเซเลบสาวคนดังบางคนเข้าไปนัดผู้จัดการใหญ่โดยพลการ ต่อมาบริษัทเย่ซื่อจึงมีกฎที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาข้อหนึ่ง นั่นก็คือหากไม่ได้ทำการนัดหมายล่วงหน้าจะไม่พบใครทั้งนั้น แต่ว่าคุณผู้หญิงคนเมื่อครู่นั้นเรียกผู้จัดการใหญ่ว่า ‘เนี่ยนโม่’ เธอคิดว่าผู้จัดการใหญ่รู้จักกับอีกฝ่าย
สาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์มองประตูลิฟต์ปิดเข้าหากัน จึงได้หมุนตัวไปที่พื้นที่รับรองแขก “ขอโทษด้วยนะคะคุณผู้หญิง ผู้จัดการบอกว่าไม่พบค่ะ”
“ไม่ให้พบเหรอ” ติงยียีบ่นพึมพำเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณนะคะ ฉันรู้แล้ว”
พนักงานประชาสัมพันธ์สาวมองด้านหลังของเธอเดินจากไป ถอนหายใจ คนอย่างผู้จัดการใหญ่นั้น ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอื้อมขึ้นมาหาได้
ภายในลิฟต์ เย่เนี่ยนโม่มองนาฬิกาข้อมือ เขาไม่ชอบการมาสาย ยังมีเวลาก่อนที่จะเริ่มประชุมยี่สิบนาที
“คุณชาย คุณชายว่าคนที่มาหาคุณเมื่อกี้นี้จะเป็นคุณยียีหรือเปล่าครับ” จู่ๆเย่ป๋อก็พูดขึ้น
ยียีเหรอ จะเป็นเธอเหรอ เย่เนี่ยนโม่เดินออกจากลิฟต์ ทันใดนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปอีก
“ผู้จัดการใหญ่ไปไหนครับ” ผู้บริหารระดับสูงที่อยู่รอบๆเลิกลั่ก เย่ป๋อยิ้มแล้วพูดว่า “ใครจะไปรู้ล่ะครับ”
หญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์กำลังแอบทาลิปสติก หางตามองเห็นผู้จัดการใหญ่ที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ด้วยท่าทางรีบร้อน วิ่งออกไปทางประตูใหญ่
ในมือเธอจับลิปสติก สายตามองตามผู้จัดการไปอย่างแปลกใจ พักหนึ่งจึงตั้งสติกลับมาได้ กำลังจะเอาลิปสติกวางบนริมฝีปาก พอประตูใหญ่เปิด ผู้จัดการใหญ่ก็จูงมือหญิงสาวที่มาหาเขาก่อนหน้านี้เดินเข้ามา
ติงยียีถูกเย่เนี่ยนโม่จูงมือ ยิ้มให้กับหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อย่างเป็นมิตร มองเห็นอีกฝ่ายทาลิปสติกเลยออกมานอกริมฝีปากเพราะความตกใจที่มากเกินไป ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
เย่เนี่ยนโม่หันกลับไป มองไปที่ตำแหน่งเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ตามสายตาของเธอ ละสายตาอย่างรวดเร็ว ลูบศีรษะเธออย่างรักใคร่เอ็นดู พาเธอขึ้นลิฟต์
จนกระทั่งมานั่งในห้องทำงานที่กว้างใหญ่ ติงยียีจึงรู้สึกได้ว่าการที่ตนมาหาเย่เนี่ยนโม่โดยไม่บอกสักคำอาจจะเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดอย่างหนึ่ง
เธอนั่งอย่างไม่สบายใจ เย่ป๋อเดินเข้ามาส่งเค้กนมสดให้เธอ “ผู้จัดการใหญ่ให้คุณทานรองท้องก่อนครับ เขาประชุมเสร็จแล้วจะพาคุณไปทานข้าวครับ”
“ฉันมารบกวนเขาหรือเปล่า” ติงยียีถามอย่างไม่สบายใจ เย่ป๋อตกใจ “จะเป็นไปได้ยังไงครับ เห็นคุณคุณชายดีใจอย่างมาก เมื่อครู่ประชุมไม่ได้ดุด่าว่าใครเลยครับ!”
แม้เย่ป๋อจะพูดแบบนี้ แต่เธอก็ยังกังวลใจเล็กน้อย ทันใดนั้นเลขาก็เคาะประตู พูดว่า “คุณสวีมาขอพบค่ะ”
เย่ป๋อพยักหน้าให้เลขาพาคนเข้ามาในห้องทำงานได้เลย เขาอยู่ข้างกายเย่เนี่ยนโม่มาระยะหนึ่งแล้ว รู้ดีว่าคุณชายให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มาก
ติงยียีที่อยู่ข้างๆนั่งไม่ติดแล้ว รีบหยิบกระเป๋าบนโซฟาขึ้นมา พูดว่า “ขอโทษด้วยนะคะฉันขอตัวก่อน”
เธอเพิ่งจะออกจากประตู ก็ชนเข้ากับสวีเห้าเซิงที่ผลักประตูเปิดเข้ามาพอดี บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย ติงยียีพยักหน้าให้เขา เบี่ยงตัวคิดจะเดินออกไป
“ยียี!” สวีเห้าเซิงเอ่ยเรียกด้านหลังเธอ ติงยียีชะงักฝีเท้าทันที เสียงเรียกนั้นช่างอ่อนโยนเหลือเกินทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า
ภายในร้านกาแฟสวีเห้าเซิงดันแก้วน้ำพีชให้เธอแก้วหนึ่ง ติงยียีผลักแก้วน้ำผลไม้ออกเบาๆ “ขอโทษนะคะ ฉันแพ้ลูกพีชค่ะ”
“จริงเหรอ” สวีเห้าเซิงรีบตอบทันควัน บรรยากาศของทั้งสองคนอึดอัดเล็กน้อย ติงยียีเห็นท่าทางเขานั่งอย่างกระสับกระส่าย ก็อยากหัวเราะขึ้นมาทันที “ตอนคุณอยู่กับอ้าวเสว่ก็เป็นเหมือนอย่างนี้เหรอคะ”
สวีเห้าเซิงส่ายหน้า อาจจะเป็นเพราะพรหมลิขิตที่ได้เจอกับอ้าวเสว่ หลายครั้งในตอนเด็ก เขายิ่งเพิ่มความสงสารต่อเด็กคนนั้นมากขึ้น
เขามองติงยียี พูดว่า “อ้าวเสว่เป็นพี่สาวของลูก”
ติงยียียักคิ้วอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ใจของเธอกลับเศร้าเสียใจ สองพี่น้องชอบผู้ชายคนเดียวกัน พล็อตเรื่องน้ำเน่าแบบนี้ก็ยังได้พบเจอจริงๆ
สวีเห้าเซิงเอาเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่พกติดตัว เขาเอาเอกสารมาวางบนโต๊ะ พูดว่า “ความจริงแล้วพ่อก็อยากมาหาลูกตั้งนานแล้ว ช่วงนี้มัวแต่จัดการเรื่องพวกนี้อยู่”
ติงยียีพลิกเปิดเอกสารอย่างรีบๆ ด้านในคืออสังหาริมทรัพย์หลายชุดของสวีเห้าเซิงที่เมืองตงเจียง ทั้งหมดโอนเป็นชื่อของเธอ สุดท้ายยังแนบเช็คเงินสดหนึ่งล้านมาด้วย
“ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของพ่อทั้งหมดอยู่ที่นี่” สวีเห้าเซิงแกล้งทำเป็นจิบกาแฟ มองเธออย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ติงยียีปิดเอกสาร ผลักคืนให้เขา “ที่ฉันมาหาพวกคุณ ก็แค่อยากรู้ว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน ไม่ได้อยากได้ผลประโยชน์อะไรของพวกคุณทั้งนั้น”
“ยียี! พ่อกับแม่ผิดต่อลูก!” สวีเห้าเซิงผลักเอกสารกลับคืนมาตรงหน้าเธอโดยไม่ได้ดูเลยสักนิด
ติงยียีมองเขา ในดวงตาของเขามีความสำนึกผิด ความสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอถอนหายใจ “ตั้งแต่เด็กจนโต แม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ฉันก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก”
สวีเห้าเซิงเห็นท่าทางเธอไม่เหมือนกำลังพูดโกหก ก็รีบพูดว่า “นี่ก็ดีแล้ว ๆ!”
ติงยียีลุกขึ้นยืนโค้งคำนับให้เขา เตรียมจะหมุนตัวเดินไปแต่ถูกเขาเรียกเอาไว้ เขามองเธออย่างรู้สึกผิด พูดว่า “พี่สาวลูกป่วยแล้ว จะเห็นแก่เธอในฐานะที่เป็นพี่สาวแท้ๆยกเนี่ยนโม่ให้เธอได้มั้ย”
ติงยียีอึ้งอยู่ตรงนั้น เธอรู้สึกว่าเลือดทั่วทั้งร่างกายตนเองเย็นเยียบแต่กลับแข็งตัว พ่อแท้ๆที่ยืนตรงหน้าตนเอง ให้ตนเองยกคนรักให้กับพี่สาวของตัวเอง!
สิ่งที่สวีเห้าเซิงทำได้ก็มีแค่เอาเอกสารในมือส่งให้เธออีกครั้ง น้ำเสียงเกือบจะเป็นการขอร้อง “ลูก พ่อรู้ทำแบบนี้ผิดต่อลูก แต่พี่สาวของลูกถ้าไม่มีเนี่ยนโม่จะต้องตายจริง!”
“คุณไม่ต้องมาขอร้องฉัน ฉันมันก็เป็นส่วนเกินมาตั้งแต่แรก” ติงยียีพูดอย่างเย้ยหยัน สวีเห้าเซิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลังจากที่เขารับสายสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “อ้าวเสว่ฆ่าตัวตาย ตอนนี้กำลังอยู่ในโรงพยาบาล!”
ติงยียีมองเขาเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตามไป ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ แต่อ้าวเสว่ก็คือพี่สาวเธอ
ภายในโรงพยาบาล ซือซือมองเห็นสวีเห้าเซิงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ สายตาไม่ได้เหลียวมองติงยียีเลยแม้แต่น้อย
“ใครเป็นญาติของคนไข้คะ จำเป็นต้องให้เลือดค่ะ!” คุณหมอเดินมาถาม สวีเห้าเซิงเอามือข้างหนึ่งลากหมอมา ยื่นแขนตัวเองออกมา “ผมให้เลือดเองครับ!”
ห้านาทีถัดมา คุณหมอส่ายหน้า “กรุ๊ปเลือดของคุณเข้ากับคนไข้ไม่ได้ค่ะ” สวีเห้าเซิงมองไปที่ซือซือ
ซือซือกัดฟันลุกขึ้น ครั้งนี้แม่เธอจะเป็นคนยุให้อ้าวเสว่ทำแบบนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าอ้าวเสว่จะทำให้แผลลึกมากขนาดนั้น