สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่1527 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่1367
เธอคิดมาตลอดว่า แม้เธอจะไม่ชอบตนเองก็ไม่เป็นไร ในเมื่อการมาที่โลกใบนี้ของเธอมันเป็นอุบัติเหตุ แต่ทำไมเธอถึงทำลายชีวิตคนได้ถึงขนาดนี้ ถึงขั้นไม่สนใจไม่ถามไม่ไถ่คนที่ได้รับเจ็บเลย!
ซือซือตอบไม่ได้ จู่ๆติงยียีที่อยู่ตรงหน้าก็ก้าวมาอีกก้าว อยู่ห่างจากเธอไม่กี่เมตร เธอได้แต่รีบถอยหลัง
รองเท้าส้นสูงของเธอเหยียบเข้าไปในดินโคลนอ่อนๆ บางส่วนติดที่ขากางเกงของเธอ เธอรีบสะบัดขาอยากจะให้ดินโคลนสีแดงพวกนี้หลุดออก
“เฮ้!”จู่ๆก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นข้างๆ ซือซือเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเธอถอดแว่นกันแดดของเธอออกอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นแสงแดดก็แยงเข้ามาทำให้เธอค่อยๆหยีตา กรีดร้องอย่างไม่พอใจว่า “เด็กคนนี้รู้จักมารยาทมั้ยเนี่ย”
พอสิ้นเสียง ติงยียีดึงผ้าพันคอเธอเอาไว้ เข้าใกล้ผู้หญิงคนที่ตนเองเคยอยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากจะสนิทสนม อยากจะให้อภัย ติงยียีพูดช้าๆว่า “พวกไร้มนุษยธรรมอย่างคุณนี้ไม่คู่ควรที่ฉันต้องมีมารยาทด้วย!”
ซือซือหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สีหน้าท่าทางบนใบหน้าติงยียีน่ากลัวมากเหลือเกิน เธอถอยหลังไปสองก้าว น้ำเสียงดุร้าย “ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันก็เป็นแม่เธอ! เธอทำแบบนี้ไม่กลัวฟ้าผ่าเลยเหรอ!”
ราวกับเป็นการพิสูจน์คำพูดเธอ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นในท้องฟ้า ฝนก็ตกหนักทันที ข้างทางมีเสียงกรีดร้องดังมาไม่หยุดและเสียงน้ำกระเซ็นจากการวิ่ง
ติงยียีกะพริบตา น้ำฝนไหลลงมาจากขนตางอนของเธอ มารวมกันเป็นแอ่งน้ำเล็กที่ใต้คาง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง จู่ๆเธอก็หัวเราะร่าเสียงดัง ซือซือมองเธอทั้งโกรธทั้งร้อนใจ “เธอบ้าไปแล้ว!”
เธอรีบไปเปิดประตูรถ มือคู่หนึ่งยื่นมาปิดประตูรถที่เปิดอยู่อย่างแรง ติงยียีปาดน้ำฝนบนใบหน้า ยิ้มพลางเดินมาตรงกลางทาง
“เมื่อกี้คุณพูดว่าฟ้าจะผ่าฉันใช่มั้ย ดี วันนี้ฉันจะสาบานตรงนี้ ฉันติงยียีไม่มีแม่อย่างคุณ ถ้าวันนี้ไม่ผ่าฉันให้ตาย ฉันก็จะไม่เสียใจไปตลอด!”
ฝนยิ่งตกยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ทิวทัศน์ทั้งหมดส่องประกายท่ามกลางสายฝน ติงยียีแหงนหน้ากางแขนสองข้าง ให้ฝนตกบนหน้าตนเองแรงๆ
ไม่ไกลนักเสียงฟ้าร้องดังน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล นำมาซึ่งความบ้าคลั่งที่น่าสะพรึง
ซือซือใจเต้นโครมคราม ก่นด่าเบาๆว่า “โรคจิต!” เธอดึงประตูรถเปิด ราวกับกลัวว่าติงยียีจะมาหาเรื่องอีก พอเข้าไปนั่งในรถก็ล็อคประตูทันที
ติงยียีมองรถยนต์ติดเครื่อง ขับผ่านตนเองไปอย่างรวดเร็ว น้ำขี้โคลนบนพื้นถูกล้อรถเหยียบจนซ่านกระเซ็นใส่กระโปรงสีขาวของเธอ
เธอมองรถปอร์เช่สีน้ำเงินค่อยๆหายลับไปท่ามกลางสายฝน ถอนหายใจยาว ในที่สุดก็จบสิ้นลงแล้ว เธอตัดขาดความสัมพันธ์อันแสนเปราะบาง จนถึงขั้นเลวร้ายกับแม่ด้วยมือของตนเอง
รถยนต์คันหนึ่งขับผ่านด้านหลังเธอช้าๆ เธอถอยหลังไปข้างๆอย่างใจลอย ไม่ระวังชนเข้ากับจักรยานที่อยู่ข้างๆล้มลง รถจักรยานที่ถูกชนล้มชนกระแทกเข้ากับจักรยานอีกคัน ในเวลาชั่วครู่รถจักรยานหลายสิบคันล้มลงไปกองรวมกันเป็นโดมิโน
สวีเห้าเซิงจ้องมองผ่านกระจกมองหลังอยู่ตลอด เขารู้สึกว่าคนที่ประคองรถจักรยานท่ามกลางสายฝนเมื่อครู่คล้ายกับติงยียี
รถยนต์คันหนึ่งขับผ่านหน้าพวกเขาไป เขารีบตั้งสติหลบให้ เกรงว่าอ้าวเสว่จะถูกฝนสาด หลังจากลงรถแล้วเขาก็เอาร่มกางไปทางเธอ อ้าวเสว่เหล่มองไหล่ที่เปียกชุ่มของเขา แล้วค่อยๆเบนสายตาไปทางอื่น
ภายในห้องผู้ป่วย ติงต้าเฉินดูรูปติงยียีในวัยเด็กทีละรูป มองเห็นสวีเห้าเซิงและอ้าวเสว่ปรากฏตัวที่นอกประตูก็ตกใจก่อน หลังจากนั้นน้ำเสียงก็เริ่มเคร่งขรึม
“คือเธอเหรอ!”
สวีเห้าเซิงมองอ้าวเสว่อย่างแปลกใจ “พวกคุณรู้จักกันเหรอ”
อ้าวเสว่ค่อยๆเดินไปตรงหน้าติงต้าเฉิน ยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณลุงติง” น้ำเสียงเธอตะกุกตะกัก จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกันอีกเร็วขนาดนั้น”
สวีเห้าเซิงมองเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของติงต้าเฉิน ก็รีบเอาของขวัญในมือส่งให้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผมชื่อสวีเห้าเซิง หลายปีมานี้ต้องขอบคุณมากๆที่ช่วยดูแลลูกสาวของผม”
“สวีเห้าเซิงเหรอ” ในมีสุดติงต้าเฉินก็ละสายตามาจากอ้าวเสว่ พูดอย่างลังเลว่า “คุณคือนักวิทยาศาสตร์คนนั้นเหรอครับ”
สวีเห้าเซิงพยักหน้า “ผมก็แค่พ่อธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ” พอสิ้นเสียงเขา อ้าวเสว่ก็พูดต่อว่า “คุณลุงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บครั้งก่อนก็เป็นคุณพ่อฉันที่ให้เงินคุณลุงเนี่ยแหละค่ะ!”
“อ้าวเสว่!” สวีเห้าเซิงปรามเธอด้วยเสียงแข็ง หันหน้าไปพูดด้วยเสียงอ่อนลงว่า “พี่ติง อย่าไปฟังเด็กพูดจาไร้สาระ ยียีเด็กคนนั้นเก่งมาก ตอนนี้เห็นเธอบนหน้าจอโทรทัศน์อยู่ตลอด”
ในใจติงต้าเฉินยิ่งรู้สึกผิดต่อยียี เขาฝืนใช้ไม้เท้าพยุงตัวลุกขึ้น สวีเห้าเซิงรีบไปประคอง เขาส่ายหน้า “ผมไม่ได้มีความสามารถอะไร การงานของยียีก็คงต้องขอให้คุณช่วยสนับสนุนเธอมากๆนะครับ”
สวีเห้าเซิงยังไม่ได้พูดอะไร อ้าวเสว่ก็พูดต่อว่า “เธอดังขนาดนั้นครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะพ่อฉัน ไม่อย่างนั้นเครื่องดื่มที่เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ยังจะมีใครไปซื้อ”
“อ้าวเสว่!” สวีเห้าเซิงโกรธจนเงื้อมือขึ้นมา อ้าวเสว่ตกใจจนหดศีรษะลงไป เธอไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน ก็แค่พูดสองสามประโยคเองนะ!
เธอยิ่งคิดยิ่งโมโห มองสวีเห้าเซิงอย่างดื้อรั้น “พ่อตีเลยสิค่ะ หนูจะพูดบ้างไม่ได้เลยเหรอคะ ติงยียีแย่งแฟนของหนูไป หนูเป็นพี่สาวเขานะ เธอเห็นหนูเป็นพี่สาวมั้ย ตอนที่หนูคุกเข่าขอร้องเธอบนพื้นเธอทำอะไร”
“แล้วคุณด้วย!” เธอหันไปชี้ติงต้าเฉิน “ฉันเคยบอกคุณนานแล้วเรื่องที่เธอแย่งแฟนฉัน แต่คุณกลับยอมปล่อยให้เขาอยู่ด้วยกัน นี่คุณเป็นพ่อภาษาอะไร”
“พอแล้ว!” ติงยียีตะคอกอยู่ที่ประตู เธอมองพ่อแท้ๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอคิดว่าอย่างน้อยเขาน่าจะช่วยตนเองพูดบ้าง แต่ว่า! เขากลับรวมหัวกับอ้าวเสว่รังแกพ่อของตนเอง
“ยียี ลูกฟังพ่อนะ!” สวีเห้าเซิงก้าวมาอยากจะอธิบาย ติงยียีเมินใส่เขา เดินตรงไปตรงหน้าพ่อ “พ่อ พ่อไม่เป็นไรนะคะ”
“ผัวะ!” เสียงฝ่ามือดังชัดอยู่กลางอากาศ ติงยียีกุมหน้าถอยหลังไปสองสามก้าว สวีเห้าเซิงคิดจะไปขวาง แต่กลับช้าไปก้าวเดียว
ติงต้าเฉินมองใบหน้าติงยียีที่บวมขึ้นมาทันที ในใจทั้งเจ็บทั้งโมโห หันไปมองอ้าวเสว่พูดด้วยเสียงขรึมว่า “เมื่อก่อนผมตามใจเธอมากเกินไป ดังนั้นจึงปล่อยให้เธอมีพฤติกรรมแบบนี้ แต่พวกเราตระกูลติงจะไม่มีทางทำเรื่องที่ผิดต่อบรรพบุรุษเด็ดขาดแย่งผู้ชายของพี่สาวเรื่องแบบนี้ ที่เธอทำออกมาตอนนี้ เป็นเพราะผมสอนไม่ดีเอง!”
“ผัวะ!” ฝ่ามือหนักหน่วงฟาดลงมาอีกครั้ง ติงยียีร้องไห้พลางพุ่งเข้าไป เข้าไปขวางมือที่ยังไม่ได้ฟาดลงมาสุดชีวิต พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “พ่อ พ่ออย่าทำแบบนี้”
สวีเห้าเซิงรีบก้าวมาด้านหน้า “พี่ติง เรื่องของลูกๆก็ให้พวกเขาไปจัดการแก้ไขกันเอง คุณยังป่วยอยู่ อย่าโมโหเลยนะครับ”
ติงต้าเฉินหันไป มือหนึ่งเกาะขอบโต๊ะไว้ อีกมือหนึ่งยกขึ้นโบกเบาๆอย่างไร้เรี่ยวแรง “ขอโทษครับ ครั้งนี้รบกวนให้พวกคุณมา ผมไม่ค่อยสบายเล็กน้อย พวกคุณได้โปรดกลับไปก่อนเถอะ”
สวีเห้าเซิงมองไปยังติงยียี มองเธอเบนหน้าหนีไม่อยากมองตนเอง ได้แต่ถอนหายใจหมุนตัวจากไปอ้าวเสว่ตามหลังไป
“อ้าวเสว่” เสียงฝนตกนอกหน้าต่างค่อยไปเบาลงแล้ว เสียงของติงยียีชัดเจนและแฝงด้วยความเย็นชา
ติงยียีลุกขึ้นยืนตัวตรง สายตาจ้องมองไปยังอ้าวเสว่ ที่หันมา “นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอทำร้ายพ่อของฉัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะไม่ยอมยอมให้เธออีกแล้ว”
อ้าวเสว่อึ้ง จากนั้นก็หัวเราะเยาะ กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แขนก็ถูกสวีเห้าเซิงจับเอาไว้แน่น สวีเห้าเซิงมองเธออย่างดุดัน จากนั้นจึงมองไปที่ติงยียีอย่างรู้สึกผิด แต่เธอหันหน้าไปไม่พูดอะไรอีกตั้งนานแล้ว
เสียงฝนพรำๆนอกหน้าต่าง ทำให้อุณหภูมิภายในห้องยิ่งลดต่ำลง คนเฝ้าไข้ที่นั่งอยู่ข้างๆไม่กล้าพูดอะไรมาตลอดนั่งอยู่บนเก้าอี้มองติงยียีที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย
ติงต้าเฉินหน้าเครียดดึงลิ้นชักเปิด อยากจะหาบุหรี่สักมวน แต่กลับหาเจอเพียงไฟแช็ก เขาปิดลิ้นชักเสียงดังปัง เสียงดังทำให้ติงยียีที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างตกใจจนหันหน้ามา
พอเธอหันกลับมา ติงต้าเฉินก็มองเห็นใบหน้าครึ่งซีกของเธอบวมแดงอย่างชัดเจน เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง กำหมัดขึ้นมาก็ทุบไปที่หน้าอกตัวเอง
“พ่อ!” ติงยียีตกใจหน้าถอดสี พุ่งเข้าไปกอดแขนเขาเอาไว้ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้มาตลอดก็ไหลพรากออกมา ใบหน้าที่บวมแดงก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น
ติงต้าเฉินเองก็ร้องไห้แล้ว สองมือที่สั่นเทาของเขาคลำบนใบหน้าที่บวมแดงของเธอ “พ่อไม่ดีเอง คนที่ควรถูกตีคือพ่อ พ่อไม่ได้สอนลูกให้ดี”
ติงยียีส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาร้องไห้โฮระบายความคับข้องใจของตนเอง
ในยามค่ำ ติงยียีนอนอยู่บนเตียงคนเฝ้าไข้ภายในห้องไม่ขยับเขยื้อน รอยบวมแดงบนใบหน้าค่อยๆจางหายไปแล้ว เธอเอาแก้มข้างที่บาดเจ็บกดลงบนหมอน ความเจ็บปวดเล็กน้อยทำให้เธอตื่นขึ้น
ไม่ไกลนักเตียงของพ่อขยับ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเปิดตู้เบาๆ ติงต้าเฉินกดโทรศัพท์มือถือจนมีแสงสว่าง ส่องรูปถ่ายในมือ พักใหญ่จึงค่อยๆถอนหายใจ
“แม่ของลูก ผมไม่ดีเอง ไม่ได้สอนเธอให้ดี ปล่อยให้เธอไปแย่งแฟนของพี่สาว แต่ผมก็รู้ว่ายียีชอบไอ้หมอนั่นจริงๆ ให้ผมขัดขวางพวกเขาต่อไปผมก็ทำไม่ได้จริงๆ”
เงาของต้นไม้ที่อยู่นอกหน้าต่างพลิ้วไหว ผสมกับเสียงกระซิบกระซาบเบาๆในห้อง ติงยียีนอนตะแคงอยู่ น้ำตาไหลออกมาจากขอบตาอย่างเงียบๆ ไหลลงมาที่จมูกเข้าไปในปาก ขมขื่นเช่นเดียวกับอารมณ์ของเธอ
ดูเหมือนว่าค่ำคืนจะสั้นมาก ชั่วเวลาเพียงหลับตาแล้วลืมตาเท่านั้น ติงยียีหมอบอยู่บนหน้าต่างมองโลกของเกล็ดหิมะนอกหน้าต่าง
ลมหายใจของเธอรดลงบนกระจกที่เย็นจนมีน้ำค้างแข็งจับตัวเป็นรูปภาพลางๆ คนเฝ้าไข้เดินเข้ามา “คุณติง ถึงเวลาทำกายภาพบำบัดแล้วค่ะ”
ติงต้าเฉินส่ายหน้าเบาๆ ผ่านเรื่องเมื่อวาน เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับลูกสาวตัวเองอย่างไร
“พ่อ” ติงยียีใช้มือเย็นจนแดงเช็ดน้ำค้างแข็งบนหน้าต่าง หันกลับมายิ้มพลางพูดว่า “อีกเดี๋ยวหนูกลับไปที่บ้านเอาเสื้อผ้าที่อุ่นๆหน่อยมาให้พ่อนะคะ”
ติงต้าเฉินพยักหน้า ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้พูดว่า “จำไว้ด้วยว่าหยิบถุงมือตัวเองด้วย วางไว้ตรงด้านบนสุดของตู้เสื้อผ้าทางซ้ายมือ”
ติงยียีพยักหน้า แล้วทั้งสองก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ติงต้าเฉินผลักรถเข็นหมุนตัวไป หลีกเลี่ยงบรรยากาศที่อึดอัด
เย่เนี่ยนโม่รออยู่ที่ใต้รูปปั้นขนาดใหญ่มหึมาที่ไทม์สแควร์ รูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นที่ได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัทเย่ซื่อในการซ่อมแซม และไม่ไกลจากไทม์สแควร์ เครนก่อสร้างของศูนย์การค้าสากลเปิดไฟสีแดง