สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 79 เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
ตอนที่ 79 เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
ต้วนอวิ๋นหลางถลึงตาจ้องใส่ทันที
คนผู้นี้คิดทำอันใด
“คุณหนูโค่วมาจากบ้านตระกูลโจวหรือ” เฮ่อชิงเซียวมองซินโย่วพลางเอ่ยถามขึ้น
ซินโย่วหลุบตาลง “ได้ยินว่าบิดาสหายจากไป จึงได้มาเยี่ยมเยือนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็บังเอิญแล้ว คุณหนูโค่วค่อยๆ เดินนะ” เฮ่อชิงเซียวพูดจบก็ก้าวไปทางตระกูลโจว
ซินโย่วพยายามฝืนที่จะไม่หันไปมอง เดินตรงต่อไป
“น้องชิง ไม่ซื้อขนมหรือ” ต้วนอวิ๋นหลางมองออกว่าซินโย่วอารมณ์ไม่ดี จึงหยั่งเชิงถามดู
ซินโย่วยิ้มตอบ “ซื้อสิเจ้าคะ มาถึงที่นี่แล้ว”
“ก็ว่าอย่างนั้น ไหน ๆ ก็มาแล้ว”
ทั้งสองคนซื้อขนมไม่น้อยกลับจวนรองเจ้ากรม
เรือนหรูอี้ถัง
บรรดาหลานหลายคนกำลังคุยเป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่า ได้ยินสาวใช้รายงานว่าคุณชายรองกับคุณหนูนอกมาแล้ว ก็หันไปมองทางประตูพร้อมกัน
“ท่านย่า ข้ากลับมาแล้วขอรับ” ต้วนอวิ๋นหลางเดินนำพร้อมกับถือขนม “ข้ากับน้องชิงซื้อขนมมาให้ท่านย่าด้วย”
ซินโย่วตามหลังเล็กน้อย ย่อกายคำนับนายหญิงผู้เฒ่า “ท่านยาย”
นายหญิงผู้เฒ่ามองทั้งสองคน เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนกลับมาสายเพราะไปซื้อขนมมาหรือ”
“ขอรับ น้องชิงบอกว่าขนมหวานนุ่ม เหมาะให้ท่านย่าได้รับประทาน”
มองดูรอยยิ้มเปิดเผยของต้วนอวิ๋นหลาง ต้วนอวิ๋นเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
น้องรองใกล้ชิดกับน้องชิงมากเกินไปหรือไม่
ซินโย่วรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองนาง ก็กวาดตามองไป เห็นสายตาคมกริบของต้วนอวิ๋นหวาชัดเจน
เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง นายหญิงผู้เฒ่ายกเลิกคำสั่งกักบริเวณต้วนอวิ๋นหวา
ในห้องรุ่นหลานต่างความคิด นายหญิงผู้เฒ่ากลับไม่รู้สึกถึงความคิดของแต่ละคนแม้แต่น้อย เห็นสองพี่น้องมาก็ดีใจ
อาหารเที่ยงจะตั้งที่เรือนหรูอี้ถัง ซินโย่วกลับไปที่เรือนหว่านฉิงก่อน สั่งให้เสี่ยวเหลียนเตรียมของบางอย่าง
คืนนี้นางนัดแนะเวลากับมารดาโจวหนิงเยวี่ยไว้แล้ว
ผ่านไปไม่นาน คุณหนูสามต้วนอวิ๋นหลิงก็มา
“ไม่ได้รบกวนพี่ชิงพักผ่อนกระมัง”
“น้องหลิงนั่งสิ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ไม่มีของดีอันใด น้องชิงอย่าได้รังเกียจที่ต้อนรับไม่ดี”
หลังทักทายถามไถ่กันแล้ว ต้วนอวิ๋นหลิงก็เอ่ยถึงต้วนอวิ๋นหวา “พี่หวาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อวาน วาจาน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก”
เดือนหนึ่งซินโย่กลับมาไม่กี่ครั้ง ไม่ได้รู้สึกสนใจต้วนอวิ๋นหวาสักเท่าไร ได้ยินก็เพียงแค่ยิ้ม
“แล้วก็ท่านย่าคล้ายว่าคิดให้ท่านพ่อแต่งภรรยาเอกใหม่” นี่คือเรื่องที่ต้วนอวิ๋นหลิงอยากจะบอกซินโย่ว
หลังจากไม่มีแม่ใหญ่คอยข่มนางไว้ ชีวิตระยะนี้ของต้วนอวิ๋นหลิงก็ผ่อนคลายอย่างมาก พอคิดว่าวันหน้าจะมีมารดาเลี้ยงที่ไม่รู้นิสัยเช่นไรมาแทน ก็ยากจะไม่รู้สึกกังวลใจ
สำหรับซินโย่วแล้ว นับว่าเป็นข่าวที่มีประโยชน์
ต่างจากต้วนอวิ๋นหวา ภรรยาของรองเจ้ากรมต้วนย่อมส่งผลกระทบต่อซินโย่วไม่น้อย นางรับปากเสี่ยวเหลียนว่าจะชิงทรัพย์สมบัติโค่วชิงชิงกลับคืนมาครึ่งหนึ่ง ตัวแปรยิ่งน้อยยิ่งดี ดีที่ครอบครัวเช่นจวนรองเจ้ากรม ตั้งแต่แสดงความประสงค์ไปจนหมั้นหมายถึงขั้นตอนสุดท้าย หากราบรื่นดีก็ต้องปีหน้าถึงจะได้แต่งจริง
“น้องหลิงไม่ต้องกังวลไป อยู่เป็นเพื่อนท่านยายให้มากๆ”
สี่คุณหนูจวนรองเจ้ากรม คุณหนูใหญ่ต้วนอวิ๋นหว่านถูกส่งออกไป คุณหนูสี่ต้วนอวิ๋นเยี่ยนอายุยังน้อย คนที่นายหญิงผู้เฒ่าต้องคิดไตร่ตรองในระยะนี้ก็มีเพียงเรื่องออกเรือนของต้วนอวิ๋นหวากับต้วนอวิ๋นหลิง
แม้ต้วนอวิ๋นหวามีสถานะบุตรสาวภรรยาเอก แต่นิสัยวู่วามเอาแต่ใจกลับอยู่ในสายตานายหญิงผู้เฒ่ามาตลอด ต้วนอวิ๋นหลิงใกล้ชิดนายหญิงผู้เฒ่าให้มากอีกหน่อย ย่อมมีแต่ได้ไม่มีเสีย
“อืม ข้าทราบแล้ว”
หลังคุยกับซินโย่ว ต้วนอวิ๋นหลิงก็สบายใจขึ้นมาก จึงกลับไปอย่างผ่อนคลาย
เฮ่อชิงเซียวออกจากตระกูลโจวกลับถึงที่ทำการ ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่งก็ถามลูกน้องว่า “ข้าจำได้ว่านาย กองร้อยโจวเพิ่งเข้ามาเมืองหลวงเมื่อต้นปี”
ลูกน้องคิดถึงว่าตอนนั้นเฮ่อชิงเซียวยังไม่ได้มาดำรงตำแหน่งเป่ยเจิ้นฝู่ซือ ก็ตอบอย่างระมัดระวังท่าที “ใช่ขอรับ เมื่อก่อนนายกองร้อยโจวประจำอยู่หว่านหยาง ต้นปีได้เลื่อนตำแหน่งย้ายมาเมืองหลวง…”
ได้ยินคำว่า ‘หว่านหยาง’ แววตาเฮ่อชิงเซียวก็เข้มขึ้นมาทันที พลันนึกถึงตอนไปตระกูลโจวได้พบกับซินโย่ว
หว่านหยางอีกแล้ว
เกรงว่าการที่คุณหนูโค่วเป็นสหายกับบุตรสาวโจวทงที่มาจากหว่านหยางคงไม่ใช่เหตุบังเอิญเสียแล้ว
เช่นนั้นการตายของโจวทงจะมีเหตุอื่นใดแฝงอยู่หรือไม่
เฮ่อชิงเซียวคิดถึงเย็นวันนั้นที่มีอาวุธลับยิงใส่เขาอย่างไม่ออมมือ ความสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้นมา หากเป็นฝีมือคุณหนูโค่ว ภรรยาโจวทงไม่รู้เรื่องด้วยหรือว่าให้ความร่วมด้วย
“ไปตรวจสอบว่าหลังจากโจวทงเข้ามาเมืองหลวง ใกล้ชิดกับผู้ใดบ้าง แล้วก็ประวัติภรรยาโจวทงด้วย”
รับประทานอาหารพร้อมหน้าจัดที่เรือนหรูอี้ถัง ซินโย่วมองแต่จมูกตนเองไม่ว่อกแว่กไปที่ใด นายหญิงผู้เฒ่าถามคำนางก็ตอบคำ ไม่มีคนถามก็นิ่งเงียบกินข้าว
คนที่วาจาน้อยเหมือนซินโย่วอีกคนก็คือรองเจ้ากรมต้วน ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าอดเหลือบตามองบุตรชายอยู่หลายครั้งไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าบุตรชายประสบปัญหายุ่งยากอันใด
พอเห็นสายตาสงสัยของมารดาตน รองเจ้ากรมต้วนพุ้ยข้าวเข้าปากคำหนึ่งเงียบๆ
ไม่ใช่เขาพูดน้อย แต่ต่อหน้าหลานสาว พูดมากไปจะตกหลุมพรางได้ง่าย เสียเงินเสียทองอีก
หลังอาหาร ซินโย่วปฏิเสธกิจกรรมชมจันทร์ ขอตัวกลับเรือนหว่านฉิง
“คุณหนูจะออกไปหรือ” พอเห็นซินโย่วเปลี่ยนเสื้อผ้ารัดผม เสี่ยวเหลียนถามอย่างมีประสบการณ์มาแล้ว
“ใช่ ออกไปทำธุระสักหน่อย ช่วยข้าเฝ้าเรือนหว่านฉิงให้ดี”
“แต่ที่นี่ไม่เหมือนร้านหนังสือ ท่านไม่มีกุญแจนะเจ้าคะ”
ซินโย่วยิ้ม “ข้าคิดหาทางอื่น”
เสี่ยวเหลียนลังเลเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบายิ่งว่า “บ่าวรู้ว่ามีที่หนึ่งออกไปได้ เกรงแต่ว่าท่านจะรังเกียจ…”
“ออกไปทางไหนได้”
“ช่องสุนัขลอด บ่าวบังเอิญไปพบเข้า”
จวนตระกูลใหญ่พวกนี้กำแพงจะสูงมาก หากไม่ต้องปีนกำแพงได้ย่อมดีกว่า ซินโย่วมุดช่องสุนัขลอดออกไปอย่างไม่ลังเล ออกไปบนท้องถนนได้อย่างราบรื่น
ดวงจันทร์ดังหยกกระจ่างกลางนภา แสงจันทร์นวลผ่อง คืนวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงสว่างครึกครื้นกว่าปกติ ซินโย่วเดินมาตามทาง ได้ยินเสียงคุยเสียงหัวเราะดังตลอดเส้นทาง
ผ่านพ้นเส้นทางบรรยากาศเฉลิมฉลองเทศกาล เข้าไปในชุมชนที่อยู่ของบ้านตระกูลโจว จึงกลายเป็นความมืดเงียบสงัดเจ้ามาแทนที่
ซินโย่วเดินเข้าไปร้องเสียงแมวสามทีดังที่นัดแนะไว้
ตามธรรมเนียมงานศพ ต้องอยู่เฝ้าหน้าป้ายวิญญาณผู้วายชนม์ทั้งคืน โจวทงมีบุตรสาวเพียงคนเดียว เมื่อคืนวานนี้มีพี่ชายทั้งสองของจี้ไฉ่หลันมาช่วยเฝ้า การที่ซินโย่วไม่ได้ตรงเข้าไปเคาะประตู ก็เพราะเกรงว่ามารดาโจวหนิงเยวี่ยยังไม่ได้ให้คนตระกูลจี้กลับไป หากถูกตระกูลจี้เห็นนางมาเยือนในยามค่ำคืน ก็คงเอ่ยอธิบายยาก
ไม่นานประตูก็ค่อยๆ แง้มออก มารดาโจวหนิงเยวี่ยโผล่หน้าออกมามองซินโย่ว รีบดึงประตูเปิดให้นางเข้ามา
มารดาโจวหนิงเยวี่ยเดินเคียงซินโย่วมาพลางกระซิบว่า “คนเฝ้าประตูหลับลึกมาก ชุนหยาอยู่ที่เรือนตะวันตก เยวี่ยเอ๋อร์คอยเฝ้าไว้ นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว”
กลางวันคนตระกูลจี้จะอยู่กันที่นี่ เดิมกลางคืนก็ต้องมีคนคอยเฝ้า แต่ถูกมารดาโจวหนิงเยวี่ยอ้างเหตุเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงให้กลับไป แม่ครัวกับบ่าวใช้แรงงานถูกยกเลิกวันลาเพราะตระกูลโจวเกิดเรื่อง แต่พอตกค่ำก็ต้องกลับไปนอนบ้าน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เลือกลงมือในค่ำคืนเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
ในโถงตั้งพิธีศพจุดตะกียงฉางหมิงนำทางคนตายตามธรรมเนียม ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นธูป โลงศพสีดำเงาตั้งอยู่ตรงกลาง ทำให้คนขี้ขลาดมองแล้วอดหนาวสั่นไม่ได้
ดีที่ซินโย่วกับมารดาโจวหนิงเยวี่ยล้วนไม่ใช่คนขี้ขลาด ทั้งสองคนช่วยกันออกแรงกันเลื่อนฝาโลงออก เผยให้เห็นร่างที่นอนอยู่ด้านใน
มารดาโจวหนิงเยวี่ยมองซินโย่วหยิบขวดที่พกติดตัวออกมาพร้อมแปรงแล้วก็เริ่มลงมือ รอยคมมีดสั้นน่าตกใจที่ทิ้งไว้บนร่างค่อยๆ ถูกตกแต่ง เริ่มเหมือนกับผิวโดยรอบ
“ท่านน้าต้องระวัง อย่าให้ผู้อื่นได้สัมผัสตรงนี้”
มารดาโจวหนิงเยวี่ยพยักหน้าเต็มแรง
เรื่องนี้นางมั่นใจว่าตนเองทำได้ แม้พี่สาวสามีเกิดความสงสัย อย่างมากก็เลิกเสื้อออกดู เป็นไปไม่ได้ที่จะสัมผัสด้วยมือ
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคุยละเอียด รอให้คลื่นลมนี้ผ่านพ้นไปก่อน หวังว่าจะได้ฟังความลับนั้น”
มารดาโจวหนิงเยวี่ยได้เห็นฝีมือและความกล้าของสาวน้อยตรงหน้าแล้วก็ได้แต่เอ่ยรับคำเบาๆ ส่งซินโย่วออกจากประตูใหญ่