สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) - บทที่ 20 ถูกจู่โจม
บทที่ 20 ถูกจู่โจม
ฉู่เหินใช้เวลาสามชั่วโมงกว่าในการนั่งรถประจำทางจากในเมืองเพื่อกลับบ้าน ดังนั้นกว่าจะมาถึงก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะแวะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ร้านค้าในหมู่บ้านทันหรือไม่ เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่ด้านหน้า
“เสี่ยวชิง ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ฉู่เหินคิดไม่ถึงว่าจะเห็นเสี่ยวชิงทันทีที่กลับมาถึงหมู่บ้าน เรื่องนี้ทำให้สภาพจิตที่หดหู่อยู่เล็กน้อยของเขาดีขึ้นในทันที
“พี่เหิน วันนี้ฉันเพิ่งเรียนทำอาหารมาอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่ามันจะอร่อยรึเปล่า ที่บ้านไม่มีใครยอมชิมมันเลยอ่ะค่ะ ฉันก็เลยมาหาพี่ พี่ช่วยลองชิมมันหน่อยได้ไหมคะ?” เสี่ยวชิงพูดพลางกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยท่าทางน่ารัก
หลังจากที่ได้ยินฉู่เหินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ข้อแก้ตัวนี้ของหญิงสาวทำให้ฉู่เหินรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก! แต่ในเวลาเดียวกันหลาย ๆ อารมณ์ก็เกิดขึ้นในใจของเขา “ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นมื้อเย็นแล้วล่ะนะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว ได้กินอาหารที่เธอทำ สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในอนาคตถ้าไม่มีใครช่วยเธอชิมละก็มาหาฉันได้ตลอดเวลาเลย” ฉู่เหินพูดด้วยรอยยิ้มแล้วขึ้นรถยนต์ของหญิงสาวเพื่อกลับไปบ้านของเขา บ้านของฉู่เหินเป็นหลังแรกในทิศตะวันออกของหมู่บ้านชาวประมงไหก่าง ดังนั้นใช้เวลาไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงบ้านของเขา หลังจากขับรถเข้าไปในลานบ้าน ฉู่เหินก็ลงไปปิดประตูแล้วพาเสี่ยวชิงเข้าไปในบ้านของเขา
เมื่อมองดูอาหารทั้งสองจานที่เสี่ยวชิงนำมา ฉู่เหินก็อดยิ้มไม่ได้ ปลาต้มและเนื้อกระต่ายตุ๋นสองจานนี้เป็นอาหารที่ฉู่เหินชอบกินที่สุด เขาไม่คิดว่าอาหารที่หญิงสาวนำมาจะเป็นสองจานนี้ นี่ทำให้ฉู่เหินรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา สองจานนี้ดีกว่าซุปไก่คราวก่อนมาก ซึ่งความจริงแล้วฉู่เหินไม่รู้เลยว่าทั้เป็นแบบนี้ก็เพราะเสี่ยวชิงขอให้พี่สาวสอนทำอาหารสองจานนี้ให้นั่นเอง และถึงแม้ว่าอารมณ์ของเสี่ยวเฟิงจะค่อนข้างรุนแรง แต่อาหารที่เธอทำนั้นกลับมีรสชาติดีมาก ดังนั้นภายใต้การสอนของเสี่ยวเฟิง เสี่ยวชิงจึงทำอาหารสองจานนี้ออกมาได้ค่อนข้างอร่อย
“พี่เหิน ฉันขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ?” ขณะที่มองฉู่เหินกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เสี่ยวชิงก็ถามออกมาคำหนึ่ง
“เอ๊ะ! อะไรเหรอ?” ฉู่เหินที่กำลังกินเนื้อกระต่ายอยู่พูดออกมาด้วยเสียงอู้อี้
“พี่เหิน พี่ค่อย ๆ กินก็ได้ค่ะ ยังมีอีกเยอะค่ะ” สภาพการกินของฉู่เหินดูไม่จืดเลยจริง ๆ แต่ในสายตาของเสี่ยวชิงแล้วมันกลับน่าประทับใจมาก! อาจเป็นเพราะมันเป็นอาหารที่เธอทำมาด้วยตัวเองนั่นเอง
“กินช้า ๆ ไม่ได้หรอก พอถึงวันที่เธอต้องไปเรียน ฉันก็จะไม่มีอาหารอร่อย ๆ อย่างนี้กินแล้ว ดังนั้นตอนนี้ต้องรีบกินให้เต็มที่!” ฉู่เหินยิ้ม พลางทำท่าตลกใส่หลิวเสี่ยวชิง
“พี่เหิน ถ้าพี่ต้องการ ฉันจะทำอาหารให้พี่ตลอดชีวิตของฉันเลยดีไหมคะ?”
“เอาสิ!” ทันทีที่หลิวเสี่ยวชิงพูดจบ ฉู่เหินก็ตอบตกลงโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามหลังจากพูดจบเขาก็รู้สึกผิดปกติทันที สุดท้ายแล้วเสี่ยวชิงก็ยังเป็นนักเรียนอยู่ แม้ว่าจะใช้เวลาอีกไม่นานก็จะเรียนจบ แต่อนาคตของนักศึกษามหาลัยกับชาวประมงธรรมดาอย่างเขาจะมาบรรจบกันได้ยังไง?
เมื่อเห็นฉู่เหินที่หยุดชะงักไป เสี่ยวชิงก็อดเขินไม่ได้ เธอลุกไปจุ๊บแก้มของฉู่เหินเบา ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง ฉู่เหินปล่อยมือที่กำลังจับเนื้อกระต่ายอยู่แล้วปล่อยให้มันหล่นลงบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว เขานั่งนิ่งงันเหมือนกับคนโง่ ในเวลานี้เขารู้สึกราวกับว่าลอยอยู่บนเมฆ
แม้เขาและเจี่ยถงถงจะคบกันมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ จูบนี้ทำให้ฉู่เหินเข้าใจเหตุผลที่ทำให้เขาและเจี่ยถงถงไม่สามารถไปด้วยกันได้มากขึ้น นั่นเพราะสามปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยเป็นแฟนกันจริง ๆ เลย ในใจของเขา เจี่ยถงถงถือเป็นแฟนของเขาเสมอ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปอย่างละเอียด ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยสารภาพอะไรกับอีกฝ่าย ในสามปีนั่น เขาไม่ได้จับมือกันหรือจูบเธอเลยสักครั้ง
จนกระทั่งจูบของเสี่ยวชิงที่บอกให้เขารู้ว่าแฟนที่แท้จริงคืออะไร ถ้ารักใครสักคน คุณก็ต้องบอกเธอ ต้องดูแลเธอด้วยหัวใจทั้งหมดของคุณ ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ยังจะสามารถเรียกมันว่าความรักอีกเหรอ?
เมื่อคิดถึงตอนนี้ ปัญหาที่รบกวนจิตใจเขามาทั้งวันก็หายไปทันที แต่เดิมเขาคิดว่าเจี่ยถงถงมาหาเขาวันนี้ เพียงเพื่ออวดแฟนของเธอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขามองเธอเป็นแฟน! ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากคิดถึงตอนนี้ เขารู้สึกราวกับว่าในสมองของเขาถูกเปิดออก
หลังจากฝึกวิชาพลังดวงดาวมาสองวัน เขาก็เข้าสู่ขั้นแรกเริ่มของการผสานกันระหว่างพลังแสงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นพลังมหาศาลผลักดันให้เขาเข้าสู่ขั้นแรกเริ่มได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเขาต้องการไปให้ถึงขั้นก่อกำเนิด เกรงว่าเขาคงต้องฝึกซ้อมอีกเป็นเวลาหลายเดือน สำหรับความเร็วในการฝึกของเขาตอนนี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะมากแล้ว อย่างไรก็ตามเนื่องจากความเข้าใจในชีวิตของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทำให้ฉู่เหินเข้าสู่ระดับขั้นก่อกำเนิดในทันที
นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “วาสนา” เวลาสั้น ๆ ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มการฝึกตนได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มความคิดของเขานับครั้งไม่ถ้วน สำหรับทักษะยุทธ์แล้ว สภาพจิตใจเป็นเรื่องสำคัญมาก หากสภาพจิตใจไม่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพลังภายนอกหรือว่าภายในก็ย่อมเกิดโอกาสให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้ ดังนั้นในการฝึกทักษะยุทธ์จึงให้ความสนใจกับการฝึกจิตใจเป็นพิเศษ
มีเพียงคนที่ฝึกฝนจิตใจตัวเองอย่างต่อเนื่องเท่านั้น จึงจะสามารถฝึกวิชาขั้นสูงได้สำเร็จ ฉู่เหินไม่คิดว่าเพราะจูบครั้งเดียวของเสี่ยวชิงจะทำให้เขาได้เลื่อนระดับการฝึกฝนไปอีกขั้น น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังไม่มีวิชาสำหรับฝึกท่าร่าง ไม่เช่นนั้นอาจถือว่าเขาเป็นยอดฝีมือได้แล้ว
แต่เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวชิงขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอีกครั้ง พลางคิดในใจว่า “ไม่คิดว่าวันนี้จะถูกเด็กคนนั้นจู่โจม ก่อน เห็นที่ฉันจะต้องหาโอกาสจู่โจมกลับบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ขาดทุนแย่เลยน่ะสิ!”
ถ้าคนอื่นรู้ถึงความคิดของฉู่เหิน พวกเขาคงจะถ่มน้ำลายลงบนหน้าของเขาเป็นแน่ ” ทำพูดว่าถูกเด็กผู้หญิงขโมยจูบเป็นเรื่องขาดทุน ถ้ามีคนมาจู่โจมจูบพวกเราแบบนี้บ้างละก็ คงดีใจแทบบ้าไปแล้ว” เมื่อฉู่เหินได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าโต๊ะนั้นได้รับการทำความสะอาดแล้ว และเสี่ยวชิงกำลังนั่งโดยใช้มือทั้งสองข้างของเธอเท้าคางไว้กับโต๊ะ ดวงตาของเธอมองเขาอย่างพิจารณา และคิ้วโค้งดังใบหลิวของเธอกำลังขมวดเล็กน้อย
หญิงสาวกำลังคิดในใจว่า พี่เหินโดนจูบจนเอ๋อไปแล้วรึเปล่า? ไม่มั้ง! จูบของฉันมีเสน่ห์ขนาดนั้นเชียวเหรอ? ถ้าฉู่เหินรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่ เขาคงจะตะโกนออกมาแล้วว่า “ฉันเอ๋อไปซะที่ไหนเล่า มันเป็นการเข้าสู่สมาธิเนื่องจากการเข้าถึงพลังระดับใหม่ต่างหากเล่า!”
ฉู่เหินที่สติเพิ่งกลับมา เขาเปิดกระเป๋าและหยิบจี้ขึ้นมาช้า ๆ ในใจของเขาคิดว่าพระที่มอบจี้นี้ให้แก่เขาต้องเป็นพระที่มีญาณแก่กล้าอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดไปโดยไม่รู้ตัวว่าจี้นี้อาจจะไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
“เสี่ยวชิง นี่เป็นของที่พระท่านหนึ่งมอบให้ฉัน เขาบอกให้ฉันมอบมันให้แก่…ให้แก่…ให้เธอ ฉันคิดว่ามันสวยดี เธอเอาไปไว้สวมไหม?” จี้ถูกส่งไปยังมือของเสี่ยวชิง หลังจากสบตากัน พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ฉู่เหินได้แต่ลุกขึ้นมาช่วยสวมให้เธออย่างประหม่า
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในบ้านอันอบอุ่นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ในเวลานี้เอง ที่หมู่บ้านชาวประมงไหก่างกำลังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนมาเยือน ทั้งคู่สวมแจ็คเก็ตสีดำและสวมหมวกกันน็อกอยู่บนหัวของพวกเขา? พวกเขาขี่รถจักรยานยนต์เก่า ๆ คันหนึ่งเข้ามา เมื่อมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านพวกเขาก็หยุดรถลง
“เจ้ารอง แกจำบ้านหลังที่ลูกพี่บอกหลังนั้นได้ใช่ไหม?” ชายคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้าพูดกับคนที่ซ้อนหลังอยู่