สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 34 เรียกพ่อมาแล้วไง
ย่านมหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดยใช้พื้นที่เพาะปลูกของหมู่บ้านต้าหม่า หมู่บ้านหมิงเฉียน หมู่บ้านเซียงลี่ หมู่บ้านเอ่อร์ย่า หมู่บ้านหวัง ซึ่งมหาวิทยาลัยก็ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจรอบๆ ไปในเวลาเดียวกันด้วย
จากการพัฒนาตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ที่นี่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก แต่เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากเขตเมืองนัก หมู่บ้านเหล่านี้จึงยังไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในโครงการปรับปรุงหมู่บ้านในเมือง
ทว่าหลายปีมานี้ก็มีการดึงดูดการลงทุนจากภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ รอบๆ ย่านมหาวิทยาลัยจึงเริ่มมีการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก่อตั้งขึ้นในเขตหมู่บ้านหวัง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีบริเวณค่อนข้างกว้าง
หวังเหมิ่งยืนตะโกนเสียงดังโหวกเหวกอยู่บนที่สูง “วันนี้พวกแกคิดจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว ฉันจะบอกให้ ไอ้หัวหน้าอะไรนั่นน่ะ! ต้องขอโทษฉันด้วยเงิน ห้ามขาดไปสักหยวนเดียวด้วย! ฉันจะคอยดูว่าวันนี้คำพูดของฉันจะมีประโยชน์ไหม!”
พ่างจื่อและไป๋เยี่ยฝ่าเข้าไปในฝูงชน
ตอนนี้สวี่จงเหล่ยกำลังขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว!
ถูกชาวบ้านล้อมไว้เยอะขนาดนี้ แถมบนรถยังมีใครอีกบ้างก็ไม่รู้ แต่ละคนต่างชูพลั่วขึ้นมาอีก เขาจะกล้าปริปากพูดอะไรเสียที่ไหนเล่า!
แจ้งตำรวจ!
ต้องแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!
ทว่าเขากลับต้องชะงักไปเมื่อพบว่าโทรศัพท์ของเขาไม่มีอินเทอร์เน็ต! ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณด้วยซ้ำ!
เกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าฝูงชนที่ล้อมเขาไว้กำลังปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณโทรศัพท์อยู่!
สวี่จงเหล่ยตะลึกไปชั่วครู่ นักเลงพวกนี้มันหัดใช้เทคโนโลยีกันแล้วเหรอวะ ใช้ได้นี่! นี่มันอาชญากรรมหรือเปล่า
และขณะนี้เอง พลันมีคุณตาคุณยายสามสี่คนมานอนขวางหน้ารถของสวี่จงเหล่ย
“โอ๊ย เอวฉัน!”
“โอ๊ย ขาฉัน!”
“โอ๊ย แขนฉัน!”
“โอ๊ย ม…เมียฉัน!”
คนพวกนี้แต่ละคนนี่นะ!
สวี่จงเหล่ยรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ถ้ารู้ว่าเจ้าเฮยพ่างจื่อจะสร้างเรื่องได้ใหญ่โตขนาดนี้ เขาก็คงขอโทษไปแล้ว!
พ่างจื่อหันไปถามคนข้างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
คนคนนั้นเอ่ยปากตอบช้าๆ “คนขับรถพวกนี้ไม่หัดลดความเร็วลงบ้างเลย ชนคนเฒ่าคนแก่ล้มหมด”
“ตอนนั้นเจ๊ใหญ่โทรมาหาพอดี พอมาถึงก็เจอรถจอดขวางเต็มไปหมดไม่ให้คนขับหนีออกไปไหน แถมยังเรียกค่าเสียหายจากคนขับอีกด้วย”
พ่างจื่อและไป๋เยี่ยชะงักพลางมองไปที่สวี่จงเหล่ยด้วยสายตาสงสาร แค่เจ๊ใหญ่คนเดียวยังทำคนเสียทรัพย์ได้ ตอนนี้มาตั้งเจ็ดคน ต่อให้ขายไตไปกี่อันก็ไม่พอชดใช้หรอก!
นึกไม่ถึงเลยว่าพ่างจื่อจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้!
สวี่จงเหล่ยไม่กล้าลงจากรถ เสื้อผ้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ จนแม้แต่เบาะที่นั่งยังเริ่มแฉะขึ้นมาเล็กน้อย
หวังเหมิ่งตะโกนเสียงดังลั่น “นายแซ่สวี่น่ะ เก่งนักไม่ใช่เหรอ ออกมาเจอกันหน่อยสิ กร่างต่ออีกสิ! จะไม่ขอโทษใช่ไหม ถ้าไม่ขอโทษฉันจะพังรถแกทิ้งซะ เชื่อไหมล่ะ”
รถขุดดินขนาดใหญ่คันนั้นตรงมาที่สวี่จงเหล่ย พอสวี่จงเหล่ยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งออกมาจากรถพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “นี่มันผิดกฎหมายนะโว้ย! มันผิดกฎหมาย! พวกแกได้มีโทษแน่!”
หวังเหมิ่งหัวเราะลั่น “แกขับรถชนญาติๆ ฉัน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าฉันทำผิดกฎหมายอีก แน่จริงก็ไปแจ้งตำรวจสิ!”
สวี่จงเหล่ยโกรธจนควันออกหู “แก…แก…แกบล็อกสัญญาณโทรศัพท์ด้วย!”
ทุกคนได้ยินก็พากันหัวเราะใหญ่
หวังเหมิ่งพูดขึ้น “หึ ขับรถเร็วขนาดนี้ จะรีบกลับบ้านไปเผากระดาษหรือไง รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน ลิ่วจื่อ เมื่อกี้หมอนี่ขับรถเร็วเท่าไหร่”
ชายคนหนึ่งถือเครื่องวัดออกมา “ลูกพี่เหมิ่ง เมื่อกี้เขาขับหกสิบเก้ากิโลเมตรต่อชั่วโมง”
หวังเหมิ่งได้ฟังก็แสยะยิ้ม “ได้ยินใช่ไหม เตรียมค่าเสียหายไว้เลย หนึ่งล้านแปดแสนหยวนคงไม่พอหรอกนะ เตรียมตัวขายบ้านเถอะ!”
สวี่จงเหล่ยเอ่ย “แก! นี่มันข่มขู่กันชัดๆ ฉันจะแจ้งตำรวจ! แก…ไอ้นักเลง!”
หวังเหมิ่งหัวเราะลั่น “เป็นนักเลงแล้วไงวะ! ยังไงวันนี้แกก็ไม่ได้กลับบ้านหรอก”
“จะฟ้องตำรวจ จะแจ้งความใช่ไหม ได้สิ! เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน แต่แกเชื่อไหมว่าฉันทำแกล้มละลายได้นะ”
หวังเหมิ่งพูดต่อ “พี่หู ไหนบอกมาซิว่าเขาจะชนะคดีไหม”
ชายหนุ่มหน้าตาสุขุมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีทางหรอก ขับรถเร็วหกสิบเก้ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่ออุบัติเหตุใหญ่ แล้วยังบ่ายเบี่ยงอีก อีกอย่าง…! หลักฐานก็มีครบขนาดนี้ เขาไม่รอดหรอก”
“โทษสูงสุดกี่ปีเหรอ” หวังเหมิ่งถาม
ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “ไม่แน่ใจ แต่ว่าถ้านายขายรถเบนซ์ที่บ้านทิ้งสักสิบคัน แล้วค่อยๆ รีดเงินเขาแทนค่าชดใช้ไปเรื่อยๆ เขาก็คงล้มละลายเข้าสักวัน อย่างน้อยๆ เขาก็มีโทษห้าปีขึ้นไปแหละ!”
หวังเหมิ่งหันมาพูด “ได้ยินไหม ยังมีหน้ามาขู่ฉันอีกเหรอ!”
“ฉันมีทั้งคน ทั้งเงิน ทั้งทนาย ทั้งคนคอยวัดความเร็วรถแก มีทั้งกล้องคอยบันทึกว่าช่วงปีที่ผ่านมาแกขับรถเร็วเกินกำหนดทั้งหมดกี่ครั้ง มีทั้งคนบล็อกสัญญาณโทรศัพท์ แกยังจะกล้าไม่ขอโทษฉันอีกเหรอ เราสนิทกันมากมั้ง คิดเหรอว่าจะไล่ฉันไปได้ เชื่อไหมล่ะว่าวันนี้ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยแกไปแน่!”
สวี่จงเหล่ยกลัวสุดๆ
ขาของเขาสั่นระริก ถ้าไม่มีแรงฮึดเฮือกสุดท้าย เขาต้องเข่าทรุดแน่ๆ!
จู่ๆ เสียงรถตำรวจก็ดังขึ้น ทำเอาสวี่จงเหล่ยตาเป็นประกาย เขาไม่เคยคิดถึงลุงตำรวจมากขนาดนี้มาก่อน
ไม่นานนัก หลิวเจิ้นซีก็พาเจ้าหน้าที่เข้ามา
“ทุกท่านครับ โปรดอยู่ในความสงบก่อน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนจัดการกับเรื่องนี้ก่อนนะครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น
“วางใจได้ครับทุกท่าน พวกเราจะรับใช้ทุกท่านอย่างดีเอง! เราจะไม่ปล่อยคนชั่วลอยนวลหรือจับแพะผู้บริสุทธิ์!”
“ทุกท่านต้องอยู่ในความสงบนะครับ ใจร้อนไปก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาครับ!”
หวังเหมิ่งตะโกนแทรกขึ้นมา “มาเถอะ พี่น้อง พวกเราจะสอนบทเรียนให้พวกตำรวจเอง พวกเราเชื่อมั่นในตำรวจของประชาชน!”
ฝูงชนหันไปตามเสียง และพบกับเฮยพ่างจื่อซึ่งยืนเด่นอยู่บนแบคโฮ
ตำรวจคนหนึ่งมองขึ้นไปที่เฮยพ่างจื่อพลางเอ่ยเสียงสั่น “ลงมาก่อนเจ้าหนู บนนั้นมันอันตราย!”
ทันใดนั้นผู้คนก็หลีกทางออกเป็นสองฝั่ง โดยมีตำรวจห้าคนเดินฝ่าเข้ามาจ้องหน้าสวี่จงเหล่ยและถามขึ้น “คุณมีอะไรจะพูดไหมครับว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
คนบางส่วนเดินมาบริเวณที่โล่ง ตำรวจกำลังเรียกคนเฒ่าคนแก่มาเริ่มสอบสวนคดี
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแว่วมา
รถคันใหญ่สองคันกำลังเริ่มบดขยี้รถเก๋งโตโยต้าคัมรี่ทิ้ง!
โครม! โครม! โครม!
สวี่จงเหล่ยแผดเสียงลั่น “รถฉัน! รถฉัน! อย่า! พวกแก…พวกแกมัน…โจรโสโครก!”
หวังเหมิ่งลงจากรถขุดดินแล้วเดินตรงไปข้างหน้าโดยมีคนเดินตามห้าถึงหกคน “อยากให้ฉันชดใช้รถแกไหม ลิ่วจื่อ เอาเงินมาสามแสนหยวนซิ”
เด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้เดินมาพร้อมกับกระเป๋า “พี่เหมิ่ง ในนี้มีอยู่สามแสน”
หวังเหมิ่งเขวี้ยงกระเป๋าใบนั้นใส่สวี่จงเหล่ย “ถุย! ที่ฉันกล้าทุบรถแกก็เพราะฉันมีปัญญาชดใช้ยังไงล่ะ! เงินสามแสนพอไหม พอหรือยัง! ต่อไปก็มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า!”
“คุณตำรวจ นี่คือทนายของผม ส่วนนี่คือพนักงานจดทะเบียน แล้วก็เมมโมรี่การ์ดของกล้องตรงนั้น มีบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้แล้ว แล้วก็นี่…อ้อ ลิ่วจื่อ ขายรถเบนซ์ที่บ้านฉันไปสักหนึ่งคันด้วย ฉันจะได้ทำตามแผนต่อไป! แล้วก็พาทวดๆ กับพี่สะใภ้ฉันไปโรงพยาบาลด้วย จากนั้นก็จัดการฟ้องศาลได้!”
สวี่จงเหล่ยได้ยินดังนั้นก็ถึงกับทรุดลงไปกับพื้น “ฉันผิดไปแล้วพี่เหมิ่ง ผิดไปแล้วจริงๆ ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันก็แค่คนคนหนึ่ง ต่อไปจะไม่ทำตัวเหิมเกริมแล้ว เงินนี่ฉันก็ไม่เอาแล้ว ถือว่าเป็นค่าชดใช้ให้ลุงๆ ป้าๆ เถอะ ฉันไม่เอาอะไรแล้ว คุณตำรวจครับ ผมไม่แจ้งความแล้ว พวกเราตกลงกันได้แล้ว…”
หวังเหมิ่งแค่นหัวเราะก่อนจะเรียกพ่างจื่อและไป๋เยี่ยมาด้วย “ขอโทษเพื่อนฉันด้วยล่ะ…”