สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 64 มรดกของครอบครัวเหล่าเหอ
ตอนที่ 64 มรดกของครอบครัวเหล่าเหอ
ป้าเหอเป็นหญิงชาวบ้านทั่วๆ ไปคนหนึ่ง เธอแต่งงานกับเหล่าเหอและมีลูกชายด้วยกันสองคน ทว่าลูกชายทั้งสองคนกลับเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งคู่จึงออกเงินรับเด็กมาเลี้ยง ซึ่งคนในหมู่บ้านก็ไม่เข้าใจพวกเขาสักเท่าไหร่ ผลปรากฎว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวมา พอตำรวจมาเจอเข้า เหล่าเหอก็ถูกปรับเงินก้อนใหญ่และถูกคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ทั้งคู่เป็นคนขยันทำมาหากิน พวกเขาไม่ใช่คนขี้เกียจ แต่กลับต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะเรื่องค้ามนุษย์และเรื่องที่ถูกคุมตัวในสถานีตำรวจเสียอย่างนั้น
ตอนเด็กๆ ไป๋เยี่ยมักจะเห็นเหล่าเหอนำของแปลกๆ จากบนภูเขามาแกล้งไป๋เยี่ย ไม่ว่าจะเป็นกระรอก เม่น นกกระจอก ฯลฯ
แม้ว่าภายหลังเขาจะย้ายออกไปแล้ว แต่ก็มักจะเก็บของป่ามาฝากบ้านไป๋อยู่เสมอ
อ้อ! ลืมบอกไปเลย ต้นตระกูลของเหล่าเหอมีอาชีพเก็บสมุนไพร พวกเขามีพรสวรรค์ในการเก็บและจดจำชื่อสมุนไพรหลากหลายชนิด
เหล่าเหอเองก็ทำอาชีพนี้เลี้ยงชีพตนเองเช่นกัน ทว่าในปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่เขตภูเขามากขึ้น ของดีๆ บนภูเขาจึงหายไปด้วย ฐานะของครอบครัวเหล่าเหอจึงแย่ลงทุกวันๆ
ป้าเหอเดินเข้าบ้านมาก็เห็นว่าภายในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยมากจึงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย จะนั่งก็ไม่กล้านั่ง จะยืนก็ไม่กล้ายืน
ไป๋ตงหลินรีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่สะใภ้”
แววตาของป้าเหอนั้นว่างเปล่า ทว่าไม่ทันไรเธอก็ส่งเสียงร้องไห้โฮ “เหล่าเหอ! เหล่าเหอ…มีเรื่องแล้ว! หลายปีมานี้ครอบครัวของเราไม่มีเงินเลย พอเห็นว่าใกล้ปีใหม่ เหล่าเหอก็รีบร้อนขึ้นภูเขาไปตั้งแต่วันก่อน ตอนนั้นก็ก็ดูปกติดี ฉันเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่วันนี้พอฉันกลับมาที่บ้านก็เจอเหล่าเหอนอนจมกองเลือดอยู่หน้าบ้าน ฉันถามเหล่าเหอว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกมาว่าเขาเจอสมุนไพรดีขึ้นอยู่ตรงหน้าผา แต่ตอนที่เขาจะไปเก็บสมุนไพรนั้นดันพลาดท่าตกลงมาแขนหักซะงั้น!”
“หมอในหมู่บ้านฉันลองตรวจดูแล้วก็บอกว่ากระดูกแขนของเหล่าเหอแตกละเอียด ต่อให้เป็นโรง’บาลในตัวอำเภอก็รักษาไม่ได้ ต้องไปหาโรง’บาลในมณฑล”
“แต่ว่า…พวกเราไม่มีเงินเลยสักหยวน ฉันเองก็หมดหนทาง เลยจะมาขอยืมเงินพวกคุณไปรักษาเหล่าเหอน่ะ ไว้เขาหายดีเมื่อไหร่ฉันจะจ่ายคืนเอง”
ป้าเหอพูดจบก็ปล่อยโฮ
ไป๋ตงหลินได้ฟังดังนั้นก็หันไปทางหูไฉ่อวิ๋น “ไฉ่อวิ๋น เอาห้าหยวนนั่นให้พี่สะใภ้ไปสิ”
จากนั้นเขาก็หันกลับมาปลอบใจป้าเหอ “ป้าเหอ วางใจเถอะ เงินนี่ผมให้! พาเหล่าเหอไปหาหมอเถอะ ผมกับเหล่าเหอโตมาด้วยกัน เรื่องนี้ผมช่วยได้อยู่แล้ว พี่สะใภ้ไม่ต้องเครียดนะ แขนหักน่ะรักษาได้อยู่แล้ว”
ป้าเหอได้ยินก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น “เถ้าแก่ไป๋เป็นคนดีจริงๆ! คุณต้องมีอายุยืนยาวแน่ๆ วางใจได้เลย เงินนี่ฉันคืนแน่นอน รอให้เหล่าเหอหายก่อน เดี๋ยวฉันจะไปทำงานเป็นแม่บ้านกับอาหลิวแล้วหาเงินมาคืนเอง”
จู่ๆ ไป๋ตงหลินก็หันมาถามไป๋เยี่ย “ลูกคิดว่าในมณฑลเรามีหมอกระดูกที่ไหนเก่งๆ บ้าง”
ไป๋เยี่ยนึกขึ้นได้ถึงหมอกระดูกทั้งสี่คนที่เขารู้จักตอนไปสอบ หนึ่งในนั้นเป็นรองหัวหน้าอาจารย์แพทย์ประจำสถาบันวิจัยกระดูกในมณฑลชื่อว่า ‘ห่าวกัง’
ไป๋เยี่ยจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาห่าวกัง ไม่นานนักก็มีเสียงตอบรับจากอีกฝั่ง
“ฮัลโหล เสี่ยวเยี่ย อารมณ์ไหนถึงโทรหากันเนี่ย” ห่าวกังกำลังว่าง อีกอย่างช่วงสิ้นปีทางโรงพยาบาลก็ไม่ค่อยอยากรับผู้ป่วยสักเท่าไหร่ เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นช่วงปีใหม่อยู่ดี
ไป๋เยี่ยไม่รีรอ รีบเอ่ยปากในทันใด “คืออย่างนี้นะพี่ห่าว ที่หมู่บ้านผมมีคุณลุงคนหนึ่งแขนหักกระดูกแตกละเอียดเลย อาการน่าจะหนักพอตัว เลยอยากส่งเขาเข้าโรง’บาลน่ะ ทางนั้นสะดวกไหมครับ”
ห่าวกังตอบกลับ “อ้อ แล้วผู้ป่วยมีอาการยังไงบ้าง บอกฉันหน่อยสิ”
ไป๋เยี่ยจึงอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ห่าวกังฟัง
ห่าวกังรับคำ “โอเค งั้นก็พาเขามาเถอะ ฉันจัดการเอง”
ทว่าจู่ๆ ไป๋เยี่ยก็นึกอะไรขึ้นได้จึงพูดเสริม “พี่ห่าว คือว่าคุณลุงคนนี้มีฐานะปานกลางน่ะครับ ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงพอจะรับเขาไปดูแลได้”
ห่าวกังครุ่นคิดก่อนจะตอบไป “เสี่ยวเยี่ย ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอาการของผู้ป่วยหรอก แต่ในเมื่อพูดมาขนาดนั้นแล้วผมก็ต้องช่วยแน่นอนแหละนะ เอาแบบนี้ไหม ให้ทางญาติเตรียมเงินมาสักห้าหมื่นหยวน…แล้วก็ให้พวกเขาส่งข้อมูลมาให้ผมด้วย”
เมื่อวางสายจากห่าวกังแล้ว ไป๋เยี่ยก็หันกลับมาทางป้าเหอ “คุณป้าไม่ต้องห่วง ผมติดต่อหมอให้แล้วครับ เขาเป็นหมอที่สถาบันวิจัยกระดูกในมณฑลน่ะ ที่นั่นเป็นโรง’บาลรักษาโรคกระดูกที่ดีที่สุดในจิ้นซี ถ้าไปที่นั่นก็ไปหาหมอห่าวกังได้เลยครับ”
พูดจบไป๋เยี่ยก็หยิบกระดาษขึ้นมาเขียนช่องทางติดต่อห่าวกังและที่อยู่โรงพยาบาล
ส่วนป้าเหอก็หอบเงินห้าหมื่นหยวนกลับไปด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
ทว่าไป๋ตงหลินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขาโทรปรึกษากับคนขับรถทางไกลในหมู่บ้านให้ช่วยพาเหล่าเหอเข้าไปในตัวมณฑล
เพราะว่าระยะทางนั้นยาวไกลมาก เหล่าเหออาจจะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ส่วนป้าเหอก็เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ก็อาจจะมีปัญหาบ้างเล็กน้อย
ไม่ถึงยี่สิบนาที คนขับรถก็ขับรถตู้มา ไป๋ตงหลินและไป๋เยี่ยต่างก็ช่วยกันพยุงเหล่าเหอขึ้นรถไป
หมอในหมู่บ้านช่วยใส่เฝือกให้แขนข้างซ้ายของเหล่าเหอเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางก็คงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
เหล่าเหอมองไปยังไป๋ตงหลินโดยไม่พูดอะไร ทว่าแววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่คิดเจ้าเล่ห์เพทุบายต่อกัน แต่กลับให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างกันและกัน
ไป๋ตงหลินตบมือเหล่าเหอเบาๆ “เหล่าเหอสบายใจได้ ไปรักษาตัวให้หายดี เดี๋ยวผมดูแลบ้านให้เอง”
เหล่าเหอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาได้แต่ข่มใจตนเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา
ทันใดนั้นเหล่าเหอก็หันไปทางป้าเหอและเอ่ยขึ้น “บนตู้หนังสือผมมีหนังสืออยู่ เอาไปให้เสี่ยวไป๋ซะสิ”
ป้าเหอได้ฟังก็รีบวิ่งกลับเข้าไปหยิบถุงผ้าถุงหนึ่งจากในบ้าน
เหล่าเหอพูดต่อ “เสี่ยวไป๋ พรสวรรค์ของลุงน่ะได้มาจากการอ่านหนังสือพวกนี้แหละ แต่ว่าตอนนี้ลุงก็ดันมาแขนหัก ต่อไปก็คงจะไม่ได้ใช้หนังสือพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว หนูเอากลับไปอ่านเถอะ นี่น่ะเป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษของลุงเชียวนะ”
ป้าเหอมองเหล่าเหอโดยที่ไม่ได้พูดอะไร หนังสือพวกนี้เป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวของเหล่าเหอมานับหลายรุ่นจนมาอยู่ในมือของเหล่าเหอ ทว่าน่าเสียดายที่เหล่าเหอไม่มีทายาทสืบทอดมันต่อ แถมตอนนี้ก็ยังแขนหักอีก
เถ้าแก่ไป๋ได้ยินดังนั้นก็รีบโบกมือไปมา “ไม่ได้! ไม่ได้! เหล่าเหอ! จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ นี่คุณล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย ผมไม่ใช่คนประเภทนั้นนะ รีบเก็บหนังสือพวกนี้กลับไปเลยครับ! เสี่ยวเยี่ย ห้ามเปิดเชียวล่ะ คืนป้าไปซะ!”
ไป๋เยี่ยผงะไป เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าจากคนในหมู่บ้านว่าต้นตระกูลของเหล่าเหอทำอาชีพเก็บสมุนไพร ซึ่งถือเป็นวิธีการเฉพาะที่ครอบครัวของเหล่าเหอสืบทอดต่อกันมาเรื่อยๆ และใช้ศาสตร์นี้ในการทำมาหากินมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
ว่ากันว่าในยุคราชวงศ์หมิงถึงราชวงศ์ชิง ครอบครัวของเหล่าเหอเป็นผู้เก็บโสมล้ำค่าบนภูเขาไปถวายแด่พระนางซูสีไทเฮา หลังจากที่พระนางซูสีไทเฮาทราบเรื่องแล้วก็ได้ประทานหยกหรูอวี้ให้ครอบครัวของเหล่าเหอ ซึ่งเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องดังในช่วงยุคนั้น
ภายหลังจึงมีคนบอกว่าครอบครัวของเหล่าเหอมีหนังสือลึกลับที่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บสมุนไพร!
ทว่าน่าเสียดายที่ไม่เคยมีใครหามันเจอ เรื่องนี้จึงค่อยๆ ซาลงไป จนกระทั่งมีคนลือกันไปเองว่าคนตระกูลเหอนั้นสอนวิชาให้กันแบบมือต่อมือ