สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 241-2 มรดกตกทอด (2)
บทที่ 241 มรดกตกทอด (2)
หลิวเสี่ยวกังกำลังจะทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยรายอื่น แต่เมื่อเขาเห็นไป๋เยี่ยทำมันได้อย่างคล่องแคล่ว เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เก่งจริงๆ!
ไป๋เยี่ยช่วยทำกายภาพบำบัดให้ชายที่เจ็บไหล่ ชายคนนั้นส่งเสียงออกมาเล็กน้อย “เจ็บชะมัด…”
หลิวเสี่ยวกังเดินเข้าไปหาไป๋เยี่ย “คุณเรียนมาเหรอ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “เป็นมรดกตกทอดจากที่บ้านครับ!”
หลิวเสี่ยวกังรู้สึกทึ่ง “ถ้างั้นที่คุณบอกว่าจะรักษาจ้าวปัวก็จริงจังเหรอ”
ไป๋เยี่ยเหลือบมองเขาเล็กน้อย “ผมไม่ได้โม้นะครับ”
หลิวเสี่ยวกังดูลังเลเล็กน้อย “คุณไปทำกายภาพบำบัดให้คนอื่นๆ ก่อน ผมจะลองไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าและเริ่มทำงานใหม่ของเขา…
ในช่วงแรกอาจจะติดขัดเล็กน้อย แต่ต่อไปก็จะเชี่ยวชาญขึ้นมาเอง
เคสเหล่านี้ล้วนเป็นเคสกระดูกเคลื่อนง่ายๆ มีข้อสังเหตที่เห็นได้ชัด จึงรักษาได้ง่ายและสะดวก
ตำรวจที่ดุไป๋เยี่ยเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คาดคิดเลยว่าไป๋เยี่ยจะเก่งขนาดนี้
ส่วนจ้าวปัวก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เขาเพิ่งเจาะเลือดเสร็จและได้มาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มตา
จ้าวปัวจึงหันไปพูดกับคนรอบข้างว่า “ถ้างั้นก็เชิญหมอคนนั้นมาเถอะ”
ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาทำทีจะโน้มน้าวหัวหน้าของตนแต่ก็ยังคงเดินไปหาไป๋เยี่ย “หมอครับ เอ่อ…พอดีหัวหน้าพวกผมเรียกน่ะ”
ไป๋เยี่ยไม่ได้มีท่าทีเคืองขุ่นใดๆ เขาพยักหน้าแล้วเดินไปหาจ้าวปัวทันที
จ้าวปัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “หมอครับ ผมคิดว่าคุณเก่งมาก คุณช่วยทำกายภาพบำบัดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ได้ครับ”
แววตาของจ้าวปัวเป็นประกาย อันที่จริงแล้วเขาไม่อยากผ่าตัด ถึงอย่างไรการผ่าตัดก็ใช้เวลาดูอาการค่อนข้างนาน เขามีงานต้องทำอีกเป็นกอง อีกทั้งเขายังอยู่ในช่วงปฏิบัติภารกิจสำคัญ จะเกิดปัญหาในช่วงนี้ไม่ได้เด็ดขาด
จ้าวปัวครุ่นคิด “หมออยากลองทำดูไหม ช่วยทำให้ผมที!”
ไป๋เยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมเป็นนักศึกษาแพทย์นะครับ”
จ้าวปัวค้าง “ผมเชื่อใจคุณ ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ให้เป็นความผิดของผมเถอะ!”
ไป๋เยี่ยลุกขึ้นและเดินจากไป
จ้าวปัวนิ่งงันไป เราพูดอะไรผิดหรือเปล่านะ ก็แค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเอง
ไม่นานนัก ไป๋เยี่ยก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษสองแผ่น “ลงชื่อให้ผมทีครับ ผมจะทำกายภาพบำบัดให้คุณ”
‘หนังสือแจ้งอาการเจ็บป่วย’
‘หนังสือแสดงความรับผิดชอบ’
จ้าวปัวมองไป๋เยี่ยอย่างประหม่า ไป๋เยี่ยจึงส่งยิ้มให้เขา “เพื่อความปลอดภัยครับ”
จ้าวปัวกัดฟันแน่น “ได้สิ เซ็นก็เซ็น! ถ้ากายภาพบำบัดแล้วไม่หายก็แค่ไปผ่าตัด จะกลัวอะไร ยังไงก็ต้องผ่าอยู่แล้ว”
ตอนนี้หลิวเสี่ยวกังกำลังพูดคุยกับหัวหน้าอยู่ด้านนอกพลางเตรียมการผ่าตัดไปด้วย
จ้าวปัวหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อด้วยมือซ้ายอย่างทุลักทุเล ไป๋เยี่ยรับปากกามาด้วยรอยยิ้มก่อนจะอ่านอย่างรอบคอบแล้วเอ่ยถามอย่างลังเล “ใช้มือซ้ายเซ็นก็คงถือว่าเซ็นชื่อแล้วใช่ไหมครับ”
จ้าวปัวนิ่งงันไป เขาประหม่าเกินกว่าจะตอบคำถามนั้นได้
ตำรวจที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “ในหน่วยงานของเรา การใช้มือซ้ายเซ็นชื่อก็ถือเป็นการเซ็นชื่อเหมือนกัน”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เตรียมพร้อมให้ดีครับ”
อันที่จริงแล้ว ไป๋เยี่ยก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ราวกับเขาได้เห็นอาหารอันโอชะตรงหน้า
ตอนนี้ทุกครั้งที่ไป๋เยี่ยทำกายภาพบำบัด เขาก็สังเกตเห็นว่าความคืบหน้าของภารกิจค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละหนึ่งแต้ม นอกจากนี้ การทำกายภาพบำบัดยังช่วยปรับปรุงทักษะเลเวลห้าของเขาอีกด้วย ต่อไปถ้าเขาอัปถึงเลเวลเจ็ดหรือแปดก็ต้องเก่งขึ้นมากอย่างแน่นอน
ถ้าเขาสร้างคำภีร์ลึกลับอย่างเช่น…คำภีร์ย้ายกระดูกเคลื่อนเส้นเอ็นอะไรทำนองนั้นขึ้นมาได้จริงๆ จะเป็นอย่างไรนะ
เนื่องจากเคสของจ้าวปัวเป็นเคสพิเศษ ไป๋เยี่ยจึงเรียกลิฟต์ทันที ไม่นานนักลิฟต์ก็มาจอดตรงหน้า ไป๋เยี่ยขอให้ตำรวจช่วยเข็นรถเข็นของจ้าวปัวเข้ามาในลิฟต์ เตรียมไปที่ห้องตรวจเพื่อทำกายภาพบำบัดต่อไป
ขณะที่กำลังจะเดินออกไป แพทย์หญิงคนหนึ่งก็บังเอิญมาเจอ เธอจึงถามอย่างสงสัย “จะไปไหนกัน เรากำลังจะเตรียมตัวผ่าตัด อย่าพาไปไหนมัวสิ”
ไป๋เยี่ยที่กำลังจะเดินออกมาถึงกับชะงักไปชั่วครู่ เสียงนี้…
เสียงคุ้นเคยมาก เขารีบหันกลับไป และพบว่าแพทย์หญิงที่สวมหน้ากากมีดวงตาและท่าทางที่คุ้นเคยมาก ‘เธอ’ นั่นเอง!
ที่แท้เธอก็เป็นหมอแผนกฉุกเฉิน!
ไป๋เยี่ยจำข้อมูลไว้ ตอนที่เขาทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยเสร็จจะต้องแอบไปตามสืบว่าหญิงสาวผู้นี้คือใคร ชื่ออะไร มีแฟนหรือยัง…
หลังจากมาถึงแผนกศัลยกรรมกระดูก ไป๋เยี่ยก็คุ้นเคยกับบรรยากาศเป็นอย่างมาก พยาบาลในแผนกต่างก็ให้ความเคารพแก่ไป๋เยี่ยเช่นกัน
ไป๋เยี่ยพูดขึ้น “ผู้ป่วยจำเป็นต้องจัดกระดูกและทำกายภาพบำบัด พวกคุณช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
หลังจากมาถึงห้องผ่าตัดและเตรียมตัวพร้อมแล้ว ไป๋เยี่ยก็มองจ้าวปัวผู้มีท่าทีวิตกกังวลและพูดขึ้น “ผมจะเริ่มแล้วนะ มันจะเจ็บนิดหน่อย อดทนหน่อยนะครับ”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยจับข้อศอกเขาไว้ จ้าวปัวก็แทบหยุดหายใจด้วยความเจ็บปวด แต่หลังจากหายใจเข้าลึกๆ แล้วเขาก็พูดว่า “เอาเลยหมอ ไม่เป็นไร!”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า ใช้มือขวากดข้อศอกลงพร้อมกับพูดจ้าวปัวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าขยับ!”
จากนั้นเขาก็ดึงออกอย่างแรง แรงมหาศาลถูกส่งออกมาจากฝ่ามือเขา บนศีรษะที่ปวดหนึบของจ้าวปัวเริ่มมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาจางๆ หยาดเหงื่อค่อยๆ ไหลลงมาทีละหยด
ไป๋เยี่ยหันไปพูดกับพยาบาลที่อยู่ด้านข้าง “จับเขาไว้!”
พยาบาลพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แพทย์กระดูกมักเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่บ่อยครั้ง พยาบาลจึงค่อนข้างชิน
ไป๋เยี่ยปล่อยมือขวาและใช้อีกมือบีบข้อศอกแน่น ช่วงข้อต่อที่บวมเป่งเดิมทีก็เจ็บปวดทรมานอยู่แล้ว บัดนี้กลับสาหัสจนทำให้จ้าวปัวน้ำตาไหล
ไป๋เยี่ยมือนิ่งมาก เขารู้ว่าการรักษาใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วก็ขยับมือและจัดให้กระดูกอัลนาและเรเดียสกลับสู่ตำแหน่งเดิม ขั้นตอนต่อไปก็คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด กายภาพบำบัด!
ฮิวเมอรัสโทรเคลียร์และรอยเว้าเซมิลูนาร์…ไป๋เยี่ยครุ่นคิดพลางคลำหาตำแหน่งของรอยเว้าเซมิลูนาร์
เจอแล้ว!
ไป๋เยี่ยออกแรงกดอย่างเต็มแรงและดึงกระดูกต้นแขนลงเพื่อยกกระดูกเรเดียสขึ้น!
กร๊อบ!
มีเสียง กร๊อบ กระดูกเข้าที่แล้ว!
ขั้นตอนที่สองซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เสร็จสิ้นแล้ว
เรียกได้ว่าการศัลยกรรมกระดูกเป็นงานที่ต้องอาศัยแรง แม้แต่กายภาพบำบัดยังกินแรงขนาดนี้เลย
จ้าวปัวมีร่างกายแข็งแรง แต่เมื่อถูกไป๋เยี่ยดึงแบบนี้ก็รับรู้ถึงพละกำลังของไป๋เยี่ย
ส่วนปลายของกระดูกต้นแขนที่เคยอยู่ระหว่างกระดูกเรเดียสและอัลนากลับสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว คราวนี้การรักษาก็จะง่ายขึ้นแล้ว
ต่อไป ไป๋เยี่ยจะจัดกระดูกอัลนาและกระดูกเรเดียส…
ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดก็เสร็จ!
พยาบาลยื่นทิชชู่มาเช็ดเหงื่อไป๋เย่อ ไป๋เยี่ยยิ้มและกล่าวขอบคุณ
พยาบาลก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
จ้าวปัวค่อยผ่อนคลายลง เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลันรู้สึกว่ากระดูกของเขาเข้าที่เข้าทางแล้ว…
จ้าวปัวมองไป๋เยี่ยก่อนจะหันไปมองลูกน้องที่อยู่ข้างๆ “เช็ดน้ำตาให้ที!”
ชายคนนั้นนิ่งไป “ว่าไงนะครับ”
จ้าวปัวจ้องตาเขม็ง “ว่าไงอะไรล่ะ เร็วเข้า มีทิชชู่ไหม ขอซับเหงื่อหน่อย!”
ชายคนนั้นมีท่าทีลังเล “หัวหน้าครับ ผมไม่มีทิชชู่…ใช้แชนเสื้อผมแทนได้ไหม”
จ้าวปัวจ้องมองชายคนนั้นด้วยท่าทางรังเกียจ…
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก พบว่าเป็นหลิวเสี่ยวกังที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“เสี่ยวเยี่ย คุณ…คุณ…ทำเสร็จแล้วเหรอ”
ทันทีที่หลิวเสี่ยวกังเข้ามาและพบกับเหตุการณ์ตรงหน้า เขาก็ตะลึงงันไป…
ทำเสร็จแล้วนี่เอง!
ไป๋เยี่ยกล่าวช้าๆ “ใช่ครับ…เสร็จแล้ว การรักษาประสบความสำเร็จดี แต่ผมแนะนำให้ถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์เก็บไว้นะครับ”
หลิวเสี่ยวกังนั่งผ่อนคลายชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ “หัวหน้าแผนกบอกให้ผมมาดูคุณ พร้อมกับเตรียมตัวผ่าตัด…ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะทำเสร็จแล้ว”
“ไปเถอะ ไปเอ็กซ์เรย์”
พูดจบหลิวเสี่ยวกังก็หันไปมองจ้าวปัวด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงๆ แล้วคุณควรทำใจไว้สักหน่อย เคสของคุณซับซ้อนเกินไป ผมส่งฟิล์มทั้งหมดไปให้หัวหน้าแล้ว พอหัวหน้าเห็นก็ยังบอกเลยว่าต่อให้เขาทำกายภาพบำบัดให้ก็ใช่ว่าจะหายดี เพราะฉะนั้นก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ถ้าระหว่างการรักษาเกิดปัญหาขึ้นเราก็ต้องผ่าตัดต่อไป”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา ที่แท้หลิวเสี่ยวกังก็กำลังปกป้องเขานี่เอง
หมายความว่าหากเอ็กซ์เรย์แล้วพบปัญหา นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของไป๋เยี่ยแล้ว แต่เป็นเพราะอาการของผู้ป่วยซับซ้อนเกินไป
ทว่าจ้าวปัวกลับยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรครับหมอ ผมรู้สึกดีขึ้นมาก”
หลิวเสี่ยวกังพยักหน้า “ไปเอ็กซ์เรย์กัน เสี่ยวเยี่ย ตามไปด้วยนะ”
เมื่อออกมาจากแผนกฉายรังสีแล้ว ไป๋เยี่ยก็พิจารณาฟิล์มเอ็กซ์เรย์ดูและพบว่าผลการรักษาออกมาดีมากทีเดียว
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ก่อนหน้านี้หลิวเสี่ยวกังระงับอารมณ์ตนเองอยู่ เขาเครียดจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะเกรงว่าไป๋เยี่ยจะมีปัญหา จึงเตรียมคำพูดช่วยไป๋เยี่ยไว้หมดแล้ว
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก หลิวเสี่ยวกังก็รีบเดินนำหน้าไปคว้าฟิล์มเอ็กซ์เรย์มาดู
หลิวเสี่ยวกังรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นโครงสร้างข้อต่อที่สมบูรณ์แบบ
“ดีมาก!”
“เพอร์เฟกต์!”
“ปาฏิหาริย์ชัดๆ!”
“เก่งมาก!”
“ดีมาก!”
หลิวเสี่ยวกังอุทานจนพอใจก็หันไปมองไป๋เยี่ยด้วยความภูมิใจ จากนั้นก็หันไปพูดกับจ้าวปัว “ผมจะพาคุณไปใส่เฝือกที่ห้องตรวจ ห้ามใช้มือข้างนี้เป็นเวลาสองสัปดาห์…คุณก็ไปซื้อยาให้เขาด้วยล่ะ ผมจะสั่งยาแก้อักเสบและยาแก้ปวดไปให้…”
หลังจากจัดการผู้ป่วยแล้ว หลิวเสี่ยวกังก็จ้องมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น “คุณทำได้ไง”
ไป๋เยี่ยเงยหน้าขึ้นพลางบีบจมูกแก้เขิน “คือว่ามันเป็นมรดกตกทอดมาจากที่บ้านอย่างที่บอกไปน่ะครับ”
หลิวเสี่ยวกังฟังแล้วก็ถอนหายใจ “ไปเถอะ ไปดูว่าคนไข้คนอื่นที่ห้องฉุกเฉินเป็นยังไงบ้าง ยังไงก็รอให้ห้องฉุกเฉินเรียกเก็บเงินพวกเขาด้วย…เราจะได้ไม่เหนื่อยฟรี”
อย่างไรนี่ก็เป็นทักษะที่สืบทอดต่อกันมาในครอบครัว จะไปว่าอะไรได้…
แววตาของไป๋เยี่ยเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินคำว่าแผนกฉุกเฉิน
เขายังจำหญิงสาวในคืนหิมะตกได้ เธอสวยงามชดช้อย ดวงตาของเธอใสราวกับว่าในนั้นมีหยาดน้ำค้างนับไม่ถ้วน…
ไป๋เยี่ยรีบขานรับ “ผมไปด้วยครับ”