หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - ตอนที่ 613
บทที่ 613 ไสหัวไปเจอปัญหาใหญ่!
เสียงหายใจน่าสะพรึงที่ดูเหมือนมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ในเวลาเดียวกัน ไหนจะรัศมีที่เหมือนจะเป็นรัศมีจากอาวุธเวทอีก…หลุมฝังศพแห่งนี้น่าสนใจเสียจริง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาจ้องไปยังประตูที่ส่องสว่างที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าคำสาปแต่ตอนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับหลุมฝังศพที่ดูเหมือนจะกลับสู่สภาวะปกติ หลังจากที่เงียบอยู่นาน ชายหนุ่มก็ทอดถอนใจยาว
“มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับหลุมฝังศพนี้ ด้วยระดับปราณของพวกเราในตอนนี้คงจะเป็นการยากที่จะหาความจริงได้ อาจจะต้องรอเมื่อพวกเราไปถึงขึ้นจุติวิญญาณ…พวกเราจึงค่อยกลับมาลองดูใหม่อีกครั้ง” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองไปยังหลุมฝังศพเบื้องหลังคำสาปเหล่านั้น นางนึกไปถึงลมหายใจจากสุสานและแรงกระแทกอันใหญ่หลวงที่นางเพิ่งประสบมาก่อนจะพูดอย่างหม่นหมอง
กงเต๋าเองก็คล้ายกัน ทั้งสามได้แต่จ้องมองกันอยู่ไปมาก่อนจะตัดสินใจยอมแพ้ พวกเขามุ่งหน้าตรงกลับตำหนักวังบูชาด้วยความตั้งใจจะเคลื่อนย้ายกลับบ้านจากที่นั่น แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่อาจจะเคลื่อนย้ายตรงกลับสำนักวังเต๋าไพศาลได้ การเคลื่อนย้ายจะส่งพวกเขาออกไปถึงขอบของตัวกระบี่เท่านั้น จากนั้นพวกเขาจึงจะข้ามเขตพรมแดนออกไปยังด้ามกระบี่ได้
ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนย้ายนี้ก็ยังช่วยประหยัดเวลาได้มาก พวกเขานิ่งเงียบขณะที่เดินทางกลับตำหนักวังบูชา สิ่งที่เกิดขึ้นที่สุสานนั้นยังชัดเจนอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเขาอาจจะพลาดบางอย่างไป ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใดกระทั่งเดินทางกลับมาถึงตำหนักวังบูชา และเมื่อเริ่มใช้คาถาเคลื่อนย้าย เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้น
“อาจจะมีอีกวิธีที่จะช่วยเราไขความลับของหลุมฝังศพนั้นได้…วิธีนี้เกี่ยวกับไม้ หากเราสามารถพาผู้ฝึกตนที่มีรากฐานปราณเป็นไม้ พวกเราอาจจะสามารถต้านทานหมอกสีเขียวและเข้าไปในหลุมฝังศพนั้นได้…แต่ผู้ฝึกตนประเภทนี้มีน้อยนิด แถมยังมีความเสี่ยงสูง ผู้ฝึกตนคนนั้นต้องเป็นไม้ทั้งตัวเท่านั้นจึงจะมีโอกาสสำเร็จ” เจ้าเยี่ยเหมิงพูด แล้วก็ถอนใจ นางเพิ่งคิดเรื่องนี้ออกเมื่อมาถึงตำหนักนี่เอง
ไม้ทั้งตัวหรือ เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูด หวังเป่าเล่อก็ชูคอขึ้นมาทันที ในศีรษะโปร่งโล่งขึ้น ราวกับรอยแยกระหว่างหมู่เมฆฝน ความคิดของชายหนุ่มชัดเจน และเขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพลาดไปเมื่อครู่นั้นคืออะไร มีแสงประหลาดส่องประกายอยู่ในดวงตา
สิ่งนั้นนั่นเองที่ข้ามองข้ามไป ผู้ฝึกตนรากฐานไม้…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่นั้น คาถาเคลื่อนย้ายก็เปล่งแสงขึ้นห้อมล้อมกายพวกเขา ทั้งสามค่อยๆ จากหายไปจากภายในตำหนักวังบูชา
แสงจากคาถานั้นอ่อนจางลงเมื่อพวกเขาจาก ในไม่ช้าทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงแต่หลุมฝังศพ ที่ยังมีเสียงหายใจแผ่วจากดังมาให้ได้ยิน ท่ามกลางการเคลื่อนไหวขึ้นลงของหมอกสีเขียว
ในบริเวณเส้นเขตแดนของตัวกระบี่ ไม่ไกลจากอาณาเขตของด้ามกระบี่นัก คลื่นพลังของการเคลื่อนย้ายแหวกอากาศออกมา ตามมาด้วยการปรากฏตัวขึ้นของหวังเป่าเล่อและเพื่อน หลังจากที่มองดูว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง พวกเขาก็เริ่มวิ่งทันที ไม่นานนักก็ออกมาพ้นเขตของตัวกระบี่และก้าวเข้าสู่ทะเลเพลิงในอาณาเขตของด้ามกระบี่
ความร้อนผะผ่าวพวยพุ่งเข้าใส่หน้าของทั้งสาม แต่ทว่าเพราะอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างตัวกระบี่และด้ามกระบี่ ลมร้อนนั้นก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นอย่างประหลาด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอื้อมแตะกำไลคลังเก็บ ไม่เพียงแต่สมบัติจำนวนมหาศาลเท่านั้น ในนั้นยังมีตราประจำตัวสีม่วงอยู่อีกด้วย
เป็นสิ่งเลอค่าสูงสุดที่เขาได้มาในการเดินทางครั้งนี้!
ข้าเป็นศิษย์อุปถัมภ์แล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแวววาวไปด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักในหรือศิษย์สำนักนอก ทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนดังที่สุดของที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลยุคปัจจุบัน พวกเขาทั้งสามจะต้องได้รับการนับหน้าถือตาอย่างสูงในสำนักวังเต๋าไพศาลต่อจากนี้
แทบจะจินตนการถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับไปถึงได้เลยทีเดียว
“กลับมาอีกครั้งกันเถอะ ครั้งหน้า ชวนจั่วอี้ฟานมาด้วย พวกเราจะได้มีกระเป๋าคลังเก็บเพิ่มอีกสักใบสองใบ แล้วไปล่าสมบัติกันอีก!” หวังเป่าเล่อวางความโลภที่เขามีต่อสิ่งที่อยู่ภายใต้หลุมฝังศพลงและพูดออกมา ชายหนุ่มดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์รื่นเริงถึงขีดสุด กงเต๋าเองก็ดูเหมือนจะปลดปล่อยตนเองออกจากอารมณ์หวาดกลัวที่เขามีต่อหลุมฝังศพได้สำเร็จ เขาคิดถึงสิ่งของที่เก็บมาได้และอนาคตอันสดใสเบื้องหน้าแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้
เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มบางๆ นางจับปอยผมปอยหนึ่งที่ถูกลมกวาดกระจายไปทัดไว้หลังหู นัยน์ตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังต่ออนาคต ทั้งสามแปรสภาพเป็นสายรุ้งและพุ่งทะยานข้ามท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล
ระยะทางที่พวกเขาต้องเดินทางนั้นต้องใช้การเคลื่อนย้ายหลายครั้งหลายครา และยังต้องใช้เวลาร่วมสองสัปดาห์ พวกเขาไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างได้ ต่างพากันพูดคุยและหัวเราะระหว่างเดินทางกลับ ช่างผ่อนคลายยิ่ง พวกเขาเคลื่อนย้ายอีกหลายครั้งจนอีกสามวันจะถึงสำนักวังเต๋าไพศาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน!
พวกเขาไม่ได้พบเจออันตรายแต่อย่างใด แต่ว่า…หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดและหวาดกลัวอยู่ในศีรษะ!
เสียงร้องนั้นไม่ใช่ของมนุษย์ แต่เป็นของลา!
“ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า!”
เจ้าลาไม่มีแหวนสื่อสาร แต่ทว่ามันก็มีจิตเชื่อมโยงกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่สามารถสัมผัสถึงเจ้าลาได้อย่างชัดเจนเพราะระยะทาง แต่ทว่าเมื่อใกล้เข้า เขาก็เริ่มได้ยินมันชัดขึ้น
ขณะนี้ เจ้าลากำลังพยายามใช้จิตเชื่อมโยงกับหวังเป่าเล่อในการขอความช่วยเหลือ!
ไม่มีใครอื่นจะได้ยินเสียงร้องไห้นี้ได้ หรือหากได้ยิน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่ลากำลังจะพูด คงจะสัมผัสได้เพียงแค่ความวิตกกังวลและความกลัวอันใหญ่หลวงในน้ำเสียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อสนิทกับเจ้าลาเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าสิ่งที่เจ้าลาพยายามจะสื่อคือสิ่งใด เสียงร้องไห้ยาวนานนั้นแปลว่ามาเป็นภาษามนุษย์ได้คำเดียวว่า
“ช่วยด้วย!”
หวังเป่าเล่อชะงักทันที ชายหนุ่มเริ่มหายใจแรงและสีหน้าหมอง เขากำลังจะฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลาแต่จิตเชื่อมต่อกลับถูกตัดไปเสียกอ่น!
เหมือนกับว่ามีพลังบางอย่างขวางระหว่างหวังเป่าเล่อและเจ้าลาอยู่เพื่อคอยขัดขวางการเชื่อมต่อนั้น!
หวังเป่าเล่อแอบตัวสั่นอยู่เงียบๆ ความวิตกกังวลก่อตัวในใจ ชายหนุ่มอาจจะเลี้ยงดูเจ้าลาอย่างโหดร้าย ด้วยทั้งการลงโทษและทุบตี แต่เขาก็ยังถือว่ามันเป็นลูกชาย เขาตีได้คนเดียวเท่านั้น ไม่ยอมให้ใครอื่นมารังแกมันได้
เสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าลานั้นช่างน่าสงสาร ราวกับมาดึงหัวใจของหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเขร่งขรึม
แม้ว่าจิตเชื่อมต่อของพวกเขาจะถูกสะบั้นลง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสามารถหาตำแหน่งของลาได้จากที่เขาได้สัมผัสเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันอยู่ที่…สำนักวังเต๋าไพศาล!
เกิดอะไรขึ้นนะกันนะ…หวังเป่าเล่อแทบไม่อาจจะควบคุมแววตาเย็นชาในดวงตาตนเองได้ ขณะที่เขาวิ่งจ้ำออกไปทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็สัมผัสได้ถึงรีศมีเย็บเยียบจากการของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองจึงขนลุกและรีบเร่งฝีเท้าตาม
“เป่าเล่อ เกิดอะไรขึ้นหรือ” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องถาม
“ไสหัวไปส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างยากเย็น เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋ารู้จักชื่อเจ้าลาดี ความตกใจพาดผ่านนัยน์ตาของทั้งครู่เมื่อได้ยิน หวังเป่าเล่อหยิบเอาแหวนสื่อสารออกมาและติดต่อประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ผู้ที่ขณะนี้อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที!
ประมุขสำนักสวีไม่ทราบเรื่อง เขาเองก็ตกใจเมื่อได้ยินข้อความเสียงของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนบอกหวังเป่าเล่อให้ไม่ต้องกังวล เขาจะช่วยตามเรื่องให้ หวังเป่าเล่อยังคงเคลื่อนที่ต่อไปด้วยความเร็วเท่าเก่า มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล พลางส่งข้อความเสียงไปหาทุกๆ คน เพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
ไม่นานนักทุกๆ คนก็รายงานเขาและชายหนุ่มก็ได้ล่วงรู้เหตุฉุกเฉินของเจ้าลา ลาดำไปกัดเอาหม้อหลอมโอสถของผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณไปคำใหญ่ ผู้อาวุโสท่านนั้นมีชื่อว่าซุนไห่ เป็นลูกน้องของเมี่ยเลี่ยจื่อ หม้อหลอมโอสถนั้นหลอมขึ้นมาจากวัตถุดิบหายากราคาแพงมากมาย แต่กลับถูกทำลายไปจนเกือบหมดเพราะถูกลากัดเพียงครั้งเดียว
ซุนไห่จับเจ้าลาได้ด้วยความโกรธเคือง และวางแผนจะสังหารมันเสีย!
“เป่าเล่อ ข้าไปหารายชื่อคนที่รู้จักเขามาแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก ซุนไห่บอกว่าเขาจะไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาตั้งใจจะใช้เจ้าลาเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถเลือดเนื้อ!
หวังเป่าเล่อเริ่มปวดหัวหนึบขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ชายรู้จักลาของเขาดี มันทำอะไรแบบนี้อยู่เป็นประจำ ความตะกละทำให้มันตกที่นั่งลำบาก แต่มันก็ยังเป็นลูกชายเขา ชายหนุ่มหันหน้ามองกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงทันทีที่ได้ยิน
“ข้าต้องไปแล้ว!” เมื่อพูดจบ เขาก็ปล่อยความเร็วสูงสุดออกมา เร็วเกือบจะเทียบเท่าการเคลื่อนย้ายทีเดียว ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นสายรุ้งและพุ่งทะยานข้ามท้องฟ้าไป ความเร็วของเขาทำให้การเดินนั้นเร็วขึ้นเกือบสามเท่า หวังเป่าเล่อจะสามารถไปถึงตำหนักวังบูชาได้ภายในวันเดียวเท่านั้น
“ประมุขสำนักสวี ไม่ว่าท่านต้องทำอย่างไรก็ตามแต่ โปรดช่วยซื้อเวลาให้ข้าสักวันหนึ่งเถิด!”
“เป่าเล่อ ข้าจะพยายาม อย่าทำอะไรหุนหันเล่า ข้าเชื่อว่าหากเจ้ายอมจ่ายค่าชดเชยให้ก็น่าจะสะสางปัญหาได้ อีกอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา สถานะของเจ้าตอนนี้ก็ยังไม่มั่นคง เราไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่าพวกตั้งใจจะให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ระวังตัวด้วยเล่า!”