หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - ตอนที่ 630
บทที่ 630 ปรากฏตัวครั้งแรก!
หลี่อู๋เฉินตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้ยินประโยคนั้น ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขณะมองหน้าหวังเป่าเล่อเหมือนโดนสะกดจิต ก่อนจะหันไปมองโจวเหมยและเห็นว่านางยังถูกผนึกอยู่จึงตอบกลับไม่ได้
ชายหนุ่มไร้ผมนิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน หวังเป่าเล่อมองสีหน้าตกใจของเขาอย่างสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนเลวที่กระทำผิดต่อเนื้อคู่แห่งเต๋าของตน วันรุ่งขึ้นเขาก็ได้รับผลกรรมเป็นความตาย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่อู๋เฉินก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับคำเสนอนี้ เพราะอาการตื่นเต้นเมื่อก่อนหน้าก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มคิดอย่างไร แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนไม่ทันตั้งตัว เมื่อกลายเป็นรูปนี้ไปแล้ว เขาก็จะไม่รีรออีกต่อไป หลี่อู๋เฉินทำมือคารวะพร้อมโค้งตัวลงต่ำให้หวังเป่าเล่อ
“ศิษย์คนนี้ขอรับข้อเสนอ!”
หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอันมากที่หลี่อู๋เฉินแทนตนเองว่าเป็นศิษย์เขา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังโจวเหมยเพื่อปล่อยนางออกจากผนึก ก่อนถามลูกศิษย์หญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหมยเอ๋อร์ เจ้าก็ตกลงเช่นกันหรือไม่”
โจวเหมยอายหน้าแดง นางก้มหน้าลงตอบด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจน
“ข้ายินดีรับบัญชาของท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ”
หวังเป่าเล่อส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะได้ประโยชน์จากการจับคู่นี้ แต่ความสุขที่เกิดขึ้นในใจจากการเห็นลูกศิษย์ของตนเองเป็นฝั่งเป็นฝานั้น ยิ่งใหญ่กว่าความรู้สึกพอใจจากการได้รับประโยชน์ส่วนตนมากนัก
“เช่นนั้นก็ตกลง พวกเจ้าทั้งสองกลับไปได้ ข้าขอให้พวกเจ้ารอรับข่าวสารจากข้า ในฐานะศิษย์พี่ ข้าจะจัดการเรื่องพิธีให้เจ้าทั้งสองเอง” หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนโบกมือเชิญให้คู่หมั้นทั้งสองจากไป
หลี่อู๋เฉินเริ่มตระหนักแล้วว่าอนาคตของเขากำลังจะเปลี่ยนไป และกำลังตื่นเต้นดีใจกับชีวิตใหม่นี้เป็นอันมาก เขาหันไปมองโจวเหมยที่แก้มแดงปลั่งและมองกลับมาที่ขา ทั้งสองมองตากัน รู้สึกได้ชัดถึงความสุขที่เอ่อล้นในดวงตาของอีกฝ่าย
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุด!” ชายหนุ่มไร้ผมหายใจเข้าลึกก่อนโค้งคำนับต่ำด้วยความสุขที่มากล้นและความเคารพสูงสุด ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อเป็นอันมาก เรียกได้ว่าหวังเป่าเล่อได้ชนะใจเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โจวเหมยเองก็เตรียมตัวจากไปพร้อมกัน หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจขณะมองทั้งสองที่กำลังเดินจากไป
ถึงหลี่อู๋เฉินจะเป็นไอ้งี่เง่าที่ทำข้าปวดหัวมาหลายรอบ แต่ก็ยังเป็นคนจิตใจดี ข้าหวังว่าทั้งสองจะครองคู่กันไปชั่วชีวิต ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนหันไปส่งสัญญาณให้ต้นไม้ยักษ์จากไปเช่นกัน
บัดนี้ในโถงไม่เหลือผู้ใดอยู่แล้วนอกจากเขา หวังเป่าเล่อนั่งลงอีกครั้ง และเริ่มคิดถึงงานแต่งงานของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมย สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือปฏิกิริยาของเฟิ่งชิวหรันเมื่อนางทราบข่าว
แต่เฟิ่งชิวหรันก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเข้ามายุ่งได้… นอกเสียจากว่านางจะประกาศตัวตนที่แท้จริงของหลี่อู๋เฉินให้ทุกคนทราบ เมื่อตระหนักว่าตนเองต้องเป็นคนจัดงานแต่งงาน เขาก็ยกแหวนสื่อสารขึ้นออกคำสั่งในทันที นอกจากนี้ยังใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อถามความคิดเห็นของหลี่ซิงเหวินอีกด้วย
สหพันธรัฐตอบรับข้อความของหวังเป่าเล่อด้วยความสำคัญสูงสุด และมีการพูดคุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง หลี่ซิงเหวินยังติดต่อบิดามารดาของโจวเหมยเองอีกด้วย!
นอกจากนี้สหพันธรัฐยังส่งแผนการถัดไปโดยละเอียดในการควบรวมสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาล สหพันธรัฐอนุญาตให้สำนักวังเต๋าไพศาลส่งผู้ฝึกตนจำนวนสามสิบคนมายังโลกเพื่อแลกเปลี่ยนการฝึกปราณ ระดับพลังปราณของกลุ่มแรกนี้ต้องอยู่ต่ำกว่าระดับจุติวิญญาณ และหลี่ซิงเหวินจะเป็นผู้นำของกลุ่มนี้ สหพันธรัฐยังหวังว่าสำนักวังเต๋าไพศาลจะนำเมล็ดต้นไฮยาซินติดมาด้วย เมล็ดนี้จะถูกปลูกบนโลกเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธมิตรที่สมบูรณ์แข็งแรง
หลังจากที่ได้รับแผนจากบ้านเกิด หวังเป่าเล่อก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และเจ้าเยี่ยเหมิงในทันที เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อทราบว่าหวังเป่าเล่อทำตัวเป็นพ่อสื่อ แต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากมายนักเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งสี่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเรื่องแผนการของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเองก็เสนอความคิดตนเองเช่นกัน
“ในช่วงแรกของปฏิบัติการ เราอาจตั้งกลุ่มพันธมิตรชื่อเครือจักรภพแห่งเต๋า โดยมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง โลกจะมีชื่อว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสหพันธรัฐ ส่วนแห่งที่สองคือกระบี่สำริดเขียวโบราณ อันจะมีชื่อเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เต๋าไพศาล ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นั้นเราจะเรียกว่าแคว้น โดยอยู่ในการควบคุมของเครือจักรภพแห่งเต๋า”
ข้อเสนอนี้เป็นเพียงความคิดคร่าวๆ เท่านั้น และเป็นผลของการกรั่นกรองจากประสบการณ์การเป็นผู้อาวุโสสูงสุด หลังจากที่ปรึกษาหารือกันเรียบร้อย พวกเขาก็ตัดสินใจส่งแผนการนี้กลับไปให้สหพันธรัฐ เพื่อให้มันสมองของสหพันธรัฐช่วยประเมินความเป็นไปได้
เนื่องจากส่งข้อความกลับไปไม่ได้ การสื่อสารเดียวที่พวกเขาทำได้คือการส่งแผ่นหยกผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย จึงต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวัน
ข้อเสนอนี้เตะตาสหพันธรัฐเป็นอันมาก เนื่องจากทางสหพันธรัฐเองก็คิดเอาไว้เช่นกัน เพียงแต่ยังไม่พร้อมตั้งเครือจักรภพเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ความคิดนี้จึงยังเป็นได้แค่ความคิดต่อไป แต่ส่วนของงานแต่งงานระหว่างหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยนั้น หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉือยินดีให้เดินหน้าต่อไปได้!
ข่าวการสมรสระหว่างเนื้อคู่แห่งเต๋าจากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ค่อยๆ แพร่กระจายไปในสำนักในหลายวันต่อมา เฟิ่งชิวหรันตกใจในตอนแรกเมื่อทราบข่าว แต่หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก นางก็เลือกยอมรับสายสัมพันธ์นี้
ความเงียบอันหมายถึงการยินยอมของนาง แปลว่าแผนการนี้ไร้อุปสรรคอีกต่อไป ประมุขสำนักสวีทราบดีว่างานสมรสจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง ในการกระชับสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลให้แน่นแฟ้นขึ้น นอกจากนี้ด้วยความที่โจวเหมยเป็นศิษย์ของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงเข้ามายุ่งเกี่ยวในการเตรียมงานด้วย
อีกหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป งานแต่งงานจัดในวังเต๋าไพศาล โดยมีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนเป็นสักขีพยาน รวมถึงผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ ด้วย โดยมีประธานฝังสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเฟิ่งชิวหรัน!
นี่เป็นวันสำคัญของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมย รวมถึงยังเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล จิตใจของเฟิ่งชิวหรันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย นางรู้ดีว่าแท้จริงแล้วหลี่อู๋เฉินเป็นใคร และเป็นนางเองที่เลือกส่งเขาไปยังสหพันธรัฐเพื่อความปลอดภัย ในตอนนี้นางกำลังมองดูเขาเข้าพิธีสมรสกับเนื้อคู่แห่งเต๋าของตน เฟิ่งชิวหรันรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเป็นพ่อสื่อให้ทั้งสอง แต่หลังจากที่คิดดูถี่ถ้วนแล้วนางก็เลือกปล่อยให้มันเกิดขึ้น และเลือกมายืนอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่อในพิธี เพื่อเป็นพยานในการเริ่มต้นชีวิตคู่ของทั้งสอง!
ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลอู๋เฉิน ข้าหวังว่าชาตินี้ของท่านจะมีความสุขมากกว่าชาติที่ผ่านมานะ เฟิ่งชิวหรันมองผ่านฝูงชนไปยังหลี่อู๋เฉินในชุดสีแดง ผู้ที่กำลังกุมมือโจวเหมยเอาไว้ ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใสด้วยความตื่นเต้นและความสุขที่เอ่อล้นจนปิดไม่มิด นางมองทั้งสองเดินมาหานางและหวังเป่าเล่อ เพื่อหยุดทำความเคารพพวกเขา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียบางสิ่งไป
ความทรงจำจากสมรภูมิรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผุดขึ้นในใจนาง สงครามที่อุบัติขึ้นในครั้งที่กระบี่สำริดโบราณหลบหนีออกจากระบบจักรพิภพไพศาล ขณะถูกไล่ล่าโดยตระกูลไม่รู้สิ้น อันทำให้ทิศทางการท่องอวกาศของกระบี่เปลี่ยนไป
แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะชนะในศึกนั้น แต่ก็ยังมาพร้อมราคาแสนแพงที่ต้องจ่าย ตัวกระบี่เสียหายเป็นอย่างมาก เหล่าผู้อาวุโสก็บาดเจ็บสาหัสจนเข้าสภาวะนิทรา ส่วนศิษย์แห่งเต๋าไพศาลอู๋เฉินนั้นต่อสู้อย่างไม่ลดละ ปราศจากซึ่งความกลัวใดๆ จนบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นชีวิต ทางเดียวที่จะเยียวยาตนเองได้ คือต้องเกิดใหม่และใช้พลังแห่งการกลับชาติมาเกิด ในการรักษาตนเองให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง
ความทรงจำที่ปรากฏขึ้นนี้ซ้อนทับกับภาพในปัจจุบัน ที่ผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่รักทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความสูญเสียที่ยังคงรุนแรงอยู่ในใจนาง จนหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยเดินมาทำความเคารพตน
หลี่อู๋เฉินกระวนกระวายขึ้นมาทันที โจวเหมยเองก็เช่นกัน ฝูงชนรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของเฟิ่งชิวหรัน ทุกคนต่างจ้องไปที่นางอย่างไม่วางตา
แม้จะเห็นสีหน้าประหลาดของเฟิ่งชิวหรันแต่ก็ไม่มีใครอ่านใจนางออก มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่เดาได้จากสีหน้าสับสนของนาง ชายหนุ่มกระแอมก่อนสะกิดเฟิ่งชิวหรัน และจะยื่นมือออกไปเพื่อฉุดให้หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยลุกขึ้นยืน
“ข้าขอให้เจ้าทั้งสองมีความสุข”
เฟิ่งชิวหรันเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้งเมื่อหวังเป่าเล่อสะกิดให้นางกลับมาอยู่กับปัจจุบัน นางยิ้มออกมาทันทีเมื่อมองไปยังคู่ข้าวใหม่ปลามันที่อยู่ตรงหน้า พร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“ข้าขอให้เจ้าทั้งสองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”
หลังจากที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันให้พรคู่สมรสใหม่เรียบร้อย ผู้ฝึกตนทุกคนในวังเต๋าไพศาลระเบิดเสียงยินดีกึกก้อง เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเองก็เช่นกัน หลี่อู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ทราบว่าตนเองมีสัมพันธ์ใดกับเฟิ่งชิวหรัน แต่รู้ดีว่านางเป็นผู้ฝากเขาครั้งที่ยังเป็นทารกให้ท่านอาจารย์ของเขาดูแล
หลี่อู๋เฉินเคารพเฟิ่งชิวหรันเช่นเดียวกับที่เขาเคารพหลี่ซิงเหวิน หัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวังเมื่อได้รับพรจากนาง เขากุมมือโจวเหมยเอาไว้แน่น
ไม่มีผู้ร่วมงานมงคลสมรสคนใดล่วงรู้ ว่าในตอนนั้นเองที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมงานและกำลังนั่งอยู่ในโถงที่พักของตนเอง ลืมตาขึ้นมาโดยฉับพลัน พร้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าที่โชติช่วงในนัยน์ตาทั้งสองข้าง
“ในที่สุด… การซ่อมแซมก็เสร็จสิ้นเสียที!”
เขาพึมพำ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมผุดลุกขึ้นยืน โยวหรันเงยหน้าขึ้นมองไปทางตัวดาบ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังลั่นมาจากทางตัวดาบ พุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้สวรรค์และผืนดินสั่นไหว
ทะเลเพลิงเริ่มเดือดคลั่ง บริเวณต้องคำสาปมากมายยุบตัวลง ทำให้ฝูงอสูรเริ่มหนีตายจ้าละหวั่น ขณะที่ทะเลเพลิงกำลังพัดโหมขึ้นลงอยู่นั้น เรือรบหน้าตาประหลาดอันมีแผ่นวงแหวนสามแผ่นที่ปลายแตะกันเป็นสามเหลี่ยม ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากทะเลเพลิงที่โกรธเกรี้ยว!
เรือรบลำมหึมานี้เปรียบราวกับสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ ที่ใหญ่มหึมาเสียจนมองไม่ออกว่าท้ายเรืออยู่ที่ใด เมื่อยืนอยู่บนเรือนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นจุดสิ้นสุดของขอบเขตเรือ ทะเลเพลิงที่รายล้อมเรือยักษ์เผาไหม้ทุกสิ่งให้วอดวายกลายเป็นธุลี!
แผ่นวงแหวนที่เป็นรากฐานของเรือนั้น แต่ละอันมีขนาดเท่าดวงจันทร์ เป็นโลกสามใบที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ต่างหมุนรอบตนเองและส่องแสงสว่างจ้า พร้อมด้วยบรรยากาศความพิศวงที่แผ่ออกมา พื้นผิวของเรือเป็นสีดำสลักด้วยอักขระโบราณเรียงกันเป็นแถว พลังอำนาจมหาศาลแผ่กระจายออกจากเรือยักษ์พุ่งขึ้นไปในอากาศ
เรือยักษ์ลึกลับพุ่งขึ้นจากทะเลเพลิง ตรงเข้าหาเขตแดนที่คั่นกลางระหว่างตัวดาบและด้ามดาบในทันที!
คำสาปมากมายระเบิดสลายกลายเป็นธุลีทันทีที่เข้าปะทะกับเรือรบยักษ์ ขุนเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เรือยักษ์สีดำอัดแน่นด้วยอักขระโบราณแสนขลัง ปล่อยพลังอำนาจรุนแรงทำลายทุกอย่างที่ขวางทางราบเป็นหน้ากลอง!