หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - ตอนที่ 704
บทที่ 704 จื่อเยว่!
ไม่มีเสียงร้องคำราม ไม่มีการตอบกลับใดๆ มีเพียง…แสงสีแดงสองดวงที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดในถ้ำ แสงนั้นคือ…ดวงตาของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
ดวงตามีสีแดงหม่นๆ ไม่มีสีม่วงช่วยขับ มีเพียงความมืดมน ปราศจากแววฉลาด แววตาดุดันของอสูรแสนดุร้ายจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ ราวกับว่ากำลังสนใจอะไรบางอย่างจนละสายตาออกไปไม่ได้
ดวงตาของชายหนุ่มนั้นสงบนิ่ง เขาลดสายตามองจ้องเข้าไปในดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อสูรอมตะราตรี มนุษย์และศพมองประสานสายตา ผู้หนึ่งอยู่ด้านนอกถ้ำ ส่วนอีกฝ่ายถูกขังอยู่ภายใต้ความมืดมิดในถ้ำ
มองดูแล้วช่างเป็นเหมือนภาพวาดแสนประหลาด!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สามสิบนาทีล่วงเลยไป เครื่องยนต์ดวงจันทร์ที่เริ่มทำงานและแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มมากขึ้นปลุกราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขึ้นมา การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะไปกระตุ้นอีกฝ่ายหนักขึ้น ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะจ้องประสานสายตา เสียงคำรามขู่เริ่มดังออกมาจากในถ้ำ
หวังเป่าเล่อจ้องเข้าไปในตาราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขณะฟังเสียงขู่คำราม สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เคยเป็นของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเมื่อครั้งยังมีชีวิตคุกรุ่นอยู่ภายใน ประเมินดูแล้ว…น่าจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ
แม้จะตื่นขึ้นก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณที่เคยมีได้ เพราะมีแค่สัญชาตญาณที่หลงเหลืออยู่ ไร้ซึ่งเชาวน์ปัญญา การตื่นขึ้นสองครั้งก่อนหน้านั้นทำให้เกิดความโกลาหล แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่สหพันธรัฐควบคุมได้จึงเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะโซ่ที่ล่ามอยู่ช่วยผนึกพลังที่แท้จริงเอาไว้ก็เป็นได้
“น่าผิดหวังเสียจริง” ชายหนุ่มถอนใจ อาจเป็นเพราะตนมีพลังล้นเหลือ หลายปีก่อนเขาเคยกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกเมื่อได้เห็นราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าสามารถเอาชนะได้
น่าจะเอาไปใช้ในศึกครั้งนี้ได้ หวังเป่าเล่อส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความผิดหวังขณะก้าวเข้าไปในถ้ำ พริบตาต่อมาก็ออกพุ่งทะยานลึกเข้าไป ดวงตาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฉายแสงดุดันทันใดที่ชายหนุ่มเข้ามาใน เขาเงยหน้าขึ้นร้องคำรามจนเกิดลมกรรโชก จากนั้นก็ยกมือขวาฟาดเข้าใส่หวังเป่าเล่อ
ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นตัวใหญ่ยักษ์ นิ้วมือของเขามีขนาดเท่าหวังเป่าเล่อ มือของเขาพุ่งเข้าหาเป้าหมาย ชายหนุ่มหายวับไปด้วยพลังเคลื่อนย้ายหลบการโจมตีได้ทันท่วงที ก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งตรงบริเวณที่ลึกที่สุดเข้าถ้ำ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นร่างมหึมาของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี
ผนึกสีเขียวมากมายแต้มอยู่ตามร่างกายของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ภาพเบื้องหน้าอาจทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนสั่นกลัว แต่ชายหนุ่มไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาทั่วไป
เกราะจักรพรรดิ ความสามารถพิเศษของวิญญาณจุติดวงดารา และพลังประหลาดของดวงตาปีศาจทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังขนาดปลิดชีพผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณลงได้อย่างง่ายดาย ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเบื้องหน้าก็เป็นแค่ศพธรรมดา
หวังเป่าเล่อหลบการโจมตีและไปปรากฏตัวอีกครั้งใกล้ๆ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาไม่ได้สนใจอสูรตรงหน้าแต่เป็นโซ่ตรวนเก้าเส้นที่ล่ามอยู่ ที่มาของโซ่นั้นยังเป็นปริศนา บันทึกของสหพันธรัฐบอกไว้ว่าโซ่เหล่านี้มีมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว โซ่ทั้งเก้านั้นล่ามราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไว้กับแก่นของดวงจันทร์
โซ่ที่สามารถผสานรวมกับดาวบริวารได้ต้องสร้างจากวัตถุดิบพิเศษที่มีพลังล้นเหลือ หวังเป่าเล่อไตร่ตรองในใจว่าตนจะสามารถหลอมโซ่นี้ขึ้นได้หรือไม่ เพราะมันอาจกลายเป็นวัตถุมีค่าที่นำไปใช้ต่อกรกับโยวหรันได้
ชายหนุ่มก้าวหลบการโจมตีรุนแรงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้งและไปปรากฏตัวด้านหลังอีกฝ่าย เขาอยู่ห่างจากโซ่ไม่ถึงสามสิบเมตรและเริ่มตรวจดูโซ่อย่างละเอียด
ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงด้วยความตื่นตะลึงกับการค้นพบของตนเอง ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ร่างของเขาพลันเลือนรางขณะร่างอวตารปรากฏขึ้นมาอยู่เคียงข้าง มันพุ่งไปหาโซ่ สายฟ้าชั่วร้ายปรากฏขึ้นรอบร่างอวตารทันทีก่อนจะระเบิดออกมา แม้ร่างอวตารจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถทนแรงระเบิดได้ มันสั่นเทิ้ม เริ่มเสื่อมสภาพลง
แม้จะหลบหนีออกมาอยู่ข้างชายหนุ่มแล้ว ร่างอวตารก็ยังเสื่อมอายุลงเรื่อยๆ ผมของมันขาวโพลน ร่างกายผุดรอยเหี่ยวย่น ราวกับว่าถูกดึงพลังชีวิตไปและแก่ตัวลงในทันที
หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ โซ่พวกนี้…ไม่เพียงมีพลังแข็งแกร่ง แต่ยังแสนจะคุ้นตา!
เหมือนโซ่บนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นที่ล่ามเหล่าอสูรร้ายไว้กับท่อนไม้เพื่อหมุนโม่หินไม่มีผิด! เขาหรี่ตามองโซ่ตรงหน้า จากนั้นก็หันไปมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงเคร่งขรึม
เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ถูกล่ามด้วยโซ่พวกนี้จะมีพลังแค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ต้องมีบางอย่างที่ข้ามองข้ามไป! หวังเป่าเล่อหรี่ตาและเดินวนรอบราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจดูอย่างละเอียด ไม่นานเขาก็พบแผลสามรอยที่ฟื้นฟูสภาพแล้วบนร่างของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตเห็นได้จากเลือดเนื้อที่ฟื้นฟูสมบูรณ์
แผลแรกอยู่บริเวณด้านหลังศีรษะของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แผลที่สองอยู่ตรงหัวใจ และแผลสุดท้ายอยู่ตรงจุดตันเถียน!
ยังมีรอยแผลคล้ายๆ กันนี้อีกมากมายตรงบริเวณอื่น แต่รอยทั้งสามนั้นทำให้หวังเป่าเล่อนึกสนใจที่สุดหลังจากตรวจดูใกล้ๆ
ไม่เหมือนรอยแผลที่เกิดจากการต่อสู้…เหมือนจะเป็นรอยที่เกิดจากการฉีกกระชากเนื้อด้วยมือเปล่าในขณะที่เขาไร้ทางสู้! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียด หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถตระหนักได้รวดเร็วเพียงนี้ แต่ชายหนุ่มต่างออกไป แผลทั้งสามทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองบนดวงจันทร์ ตอนที่ถูกกระชากรากฐานตั้งมั่นออกจากร่าง
แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอาจจะต่างออกไป ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ทั้งสองก็เคยโดนกระชากบางสิ่งออกไปจากร่างเหมือนกัน! บาดแผลเหล่านี้เกิดจากการกระทำดังกล่าวนั่นเอง!
“ดึงสมอง กระชากหัวใจ แถมยังทำลายเต๋าทิ้ง ช่างเลือดเย็นเสียงจริง! ต้องเกลียดชังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีขนาดไหนกันถึงทำลงไปได้ขนาดนี้” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ สังหรณ์ใจว่าน่าจะต้องใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดสักอย่างช่วงชิงพลังไป ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยอารมณ์หลายหลากขณะมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีด้วยความสงสาร ตอนที่ชายผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องมีพลังอันไร้เทียมทานเป็นแน่ ขนาดโดนชิงสมอง หัวใจ และเต๋าไปก็ยังมีพลังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ!
แค่นั้นยังไม่พอ หลังจากกระชากสมองกับหัวใจและทำลายเต๋าไปแล้ว ยังจับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีมาล่ามไว้เพื่อดูดเอาพลังชีวิต ตรึงโซ่ลึกเข้าไปภายในเพื่อไม่ให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฟื้นฟูตนเองได้ แปลกจริง ทำไมต้องทำเช่นนั้นกับคนที่ตายไปแล้วด้วย…หรือว่าราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะยังไม่ตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อคิดได้ดังนั้น เริ่มตรวจดูราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้งขณะหายใจถี่รัว ชายหนุ่มพบบางสิ่งไม่ชอบกล ผนึกสีเขียวบนร่างของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี…เป็นคำสาปอีกรูปแบบหนึ่ง!
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว ใครคนนั้นไม่สามารถล้มราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีลงได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นก็กลัวว่าราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้จึงใช้วิธีต่างๆ คุมขังเขาเอาไว้…แต่ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อยู่ดี… หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพัก ดวงตาของเขาก็ฉายแสงวาบ ชายหนุ่มหลบการโจมตีจากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมพึมพำกับตนเอง
“ช่างปะไร ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ข้าจะตรวจดูว่าเจ้ามีดวงวิญญาณเทพหรือเปล่า” ดวงตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เปลวไฟสีดำพวยพุ่งออกมาเมื่อเขาปลดปล่อยวิชาแห่งศาสตร์มืด ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นเมื่อพลังวิชาแห่งศาสตร์มืดพัดกระจายออกมา มันลืมตาตื่นและมองตรงไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี
ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตัวสั่นเทิ้ม ถูกเปลวไฟสีดำเข้าห้อมล้อมในทันใด หวังเป่าเล่อกลายเป็นผู้นำทางเหล่าดวงวิญญาณที่พลัดหลง ดวงตาของเขามองทะลุผ่านคำสาปที่ผนึกราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไว้ ลึกเข้าไปภายในตรงจุดที่ดวงวิญญาณสีหม่นลอยอยู่!
หวังเป่าเล่อพบดวงวิญญาณอันแสนดุร้าย ป่าเถื่อน ไร้ปัญญา เต็มไปด้วยสัญชาตญาณดิบเถื่อนของอสูรร้าย!
นี่เป็นดวงวิญญาณที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่ดวงวิญญาณที่แท้จริงของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี! คนอื่นอาจไม่สามารถรู้ได้ แต่หวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืดผู้ได้ร่ำเรียนวิชาแห่งศาสตร์มืดที่เป็นกระบวนเวทดั้งเดิมจากยุคเต๋าสวรรค์ในอดีต ทำให้มองเข้าไปในดวงวิญญาณและเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถเห็นได้
หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ เขาหลับตา กดฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ จากนั้นก็กัดปลายลิ้นพ่นเลือดออกมา ชายหนุ่มโบกมือขวา ร่ายคาถาเสริมพลังเปลวไฟแห่งความมืด ก่อนจะลืมตาขึ้น ในที่สุดก็สามารถมองเห็น…เปลวแสงที่ไม่สามารถตรวจพบได้ถ้าไม่ได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืด เปลวแสงนั้นก็คือ ดวงวิญญาณของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
เสียงพึมพำทุ้มต่ำของดวงวิญญาณดังขึ้นเมื่อเขามองตรงไปที่ดวงวิญญาณ!
“จื่อเยว่ ภรรยาผู้เป็นที่รักของข้า เหตุใด…เจ้าถึงทำเช่นนี้…”