หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1012 ธรรมเนียม
“อารยธรรมครามทองคำคงไม่กล้าที่จะมาพัวพันอี ต่อไปคงจัดส่งของขอขมามาให้ในไม่ช้า เจ้าก็แค่รับไว้ก็พอ” ปรมาจารย์แห่งไฟยิ้ม ดวงตาของเขาไม่ได้ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อหวังเป่าเล่อ และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ขอบคุณท่านอาจารย์” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขารู้สึกสำนึกในความเอาใจใส่รวมทั้งความช่วยเหลือของปรมาจารย์แห่งไฟ จึงได้กำหมัดแน่นแล้วคารวะอีกครั้ง
“ระหว่างเราศิษย์อาจารย์ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” ท่านปรมาจารย์แห่งไฟยิ้ม ยกมือขวาขึ้นสบัดเพื่อพยุงหวังเป่าเล่อให้ลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปทางศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อ
“ตงเอ๋อร์ อาจารย์มักจะถือสันโดษและออกไปภายนอกบ่อยครั้ง ดังนั้นต่อไปหากข้าไม่อยู่ เจ้าต้องช่วยสั่งสอนศิษย์น้องผู้นี้ของเจ้าให้ดี ”
ศิษย์พี่หญิงใหญ่รับฟังด้วยสีหน้าจริงใจ แล้วพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเหลือบไปมองเหวังเป่าเล่อสายตาเคร่งขรึม
“ศิษย์น้องสิบหก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกตนหรือด้านอื่นๆ หากเจ้ามีปัญหาสามารถมาหาข้าได้ทันที ”
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง” หวังเป่าเล่อมองศิษย์พี่หญิงใหญ่ตรงหน้า แววตาฝ่ายตรงข้ามดูเคร่งขรึม แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อยู่ภายใน จึงอดไม่ได้ที่จะกำหมัดขึ้นคำนับ ขณะเดียวกันที่ก้นบึ้งจิตใจก็อดที่จะสงสัยในคำพูดของแม่นางน้อยขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
ขณะที่หวังเป่าเล่อทำการคำนับอยู่นั้น อีกสิบห้าคนที่อยู่ด้านข้างก็เบะปาก พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง
“เจ้าสิบหกเจ้าโชคร้ายแล้ว…”
“เจ้าสิบห้า!” เกือบจะทันทีที่ศิษย์สิบห้าพูดจบ ศิษย์พี่หญิงสิบสองที่อยู่ข้างๆ ก็ถลึงตามองและดุเสียงเบา
ศิษย์สิบห้าหน้ามุ่ยขมวดคิ้วทันที เขาเหมือนจะอ้าปากพูด แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นท่าทีเคร่งขรึมของศิษย์พี่หญิงใหญ่ และยิ่งเห็นท่านอาจารย์ยกมือขวาขึ้นลูบเครา ก็หดหัวไม่กล้าพูดสิ่งใดแล้ว
“ท่านอาจารย์ แม้ว่าเจ้าสิบห้าจะดื้อรั้นแต่ช่วงเวลานี้ถือว่าขยันและดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก” เมื่อเห็นศิษย์สิบห้าเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่หญิงสิบสองคนก็ใจอ่อน จากนั้นจึงคำนับไปทางท่านอาจารย์แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน คำพูดที่ออกมาทำให้ศิษย์สิบห้าถึงกับเงยหน้าขึ้น พร้อมส่งสายตาขอบคุณออกไป
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ความลังเลที่อยู่ในใจก็มีไม่มากแล้ว แม้จะเป็นจริงตามที่แม่นางน้อยกล่าว แต่ตอนนี้คนทั้งหมดที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนเอง ในความเป็นจริงก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ของตน…
แต่การปฏิบัติระหว่างกันและกันของพวกเขาก็จริงจังต่อกันเหลือเกิน… ขณะที่หวังเป่าเล่อสับสนอยู่ในใจ ศิษย์พี่เจ็ดที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็หัวเราะขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ หากให้ข้าพูด น้องสิบห้านับว่าขาดการอบรมแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาพาศิษย์น้องสิบหกมาหาข้าที่นี่ ข้าได้ยินเขากล่าวถึงท่านผู้เฒ่าในทางไม่ดี ”
“ศิษย์พี่เจ็ด เจ้า!!” ศิษย์สิบห้าร้องแบบไร้น้ำตา พลันรีบเข้ามาคำนับท่านอาจารย์
“ท่านอาจารย์ข้าถูกปรักปรำแล้ว ข้า…”
“ท่านอาจารย์ ข้าก็ได้ยินเช่นกัน” ไม่รอให้ศิษย์สิบห้าพูดจบ ศิษย์พี่สามที่ดูเหมือนกระทิงน้อยก็ส่งเสียงพึมพำมาจากอีกด้านหนึ่ง
“ถูกต้อง ท่านอาจารย์ เจ้าสิบห้าพูดจริงๆ ”
“ใช่ๆ ข้าสาบานได้ ข้าก็ได้ยิน” ศิษย์พี่คนอื่นๆ เริ่มพูดต่อในตอนนี้ แต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกัน บางคนแฝงรอยยิ้ม และบางคนหลังจากกระแอมไอก็จงใจเพิ่มน้ำมันในกองเพลิง สรุปก็คือทุกคนในห้องโถงนั้นฉลาดมาก โดยเฉพาะศิษย์พี่รองที่เวลานี้ส่งเสียงไอและพูดขึ้นเบาๆ..ไอรีนโนเวล
“ท่านอาจารย์ น้องสิบห้าอาจไม่ได้ตั้งใจ”
“ศิษย์พี่รอง ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะ… เจ้าสิบหกเจ้าพูดสิ ข้าได้พูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับอาจารย์หรือ!”ศิษย์สิบห้าร้อนรนแล้ว จึงดึงตัวหวังเป่าเล่อไว้
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ เขาสับสนยิ่งกว่าเดิม ด้วยทั้งหมดนี้เขาดูอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเป็นละครฉากหนึ่ง เวลานีถูกศิษย์สิบห้าดึงทึ้ง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดเช่นไร ได้แต่ฝืนยิ้ม
“พอแล้ว” ปรมาจารย์แห่งไฟลูบคิ้ว ดูเหมือนจะปวดหัวกับสานุศิษย์เหล่านี้ หลังจากพูดเบาๆ แล้วก็จ้องไปที่เจ้าสิบห้า แสร้งทำเป็นไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับหันมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“เป่าเล่อ เจ้าเพิ่งมาถึง ส่วนเรื่องที่เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับดาราจักรไฟ ต่อไปก็ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เสีย อีกอย่างอาจารย์ออกไปข้างนอกคราวนี้ ก็พบวิชาที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว…” พูดพลาง ปรมาจารย์แห่งไฟก็ยกมือขวาขึ้นสบัด แผ่นหยกสองแผ่นบินออกมาทันที อันหนึ่งลอยไปหาหวังเป่าเล่อ อีกอันพุ่งไปที่ศิษย์สิบห้า
หวังเป่าเล่อรีบรับไว้ และยังไม่ทันจะได้ตรวจดู เขาก็เห็นศิษย์สิบห้าส่งสายตามาทางตน ความหมายในสายตานี้ง่ายมาก มันหมายถึง “เจ้าดูสิ ข้าพูดถูกหรือไม่”
“วิชานี้เรียกว่าเวทผนึกดารา ในด้านพลังนั้น…อาจารย์ดูไปแล้วก็อาจเรียกได้สี่คำว่ายากแท้หยั่งถึง เจ้าและเจ้าสิบห้าก็ฝึกวิชานี้เถอะ” ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวจบก็ลูบเคราและไม่ได้กล่าวถึงเคล็ดวิชานี้อีกต่อไป แต่กลับถามถึงความคืบหน้าในการฝึกฝนกับเหล่าสานุศิษย์
ทั้งห้องโถงค่อย ๆ กลมกลืนเข้าด้วยกัน ศิษย์แต่ละคนหลังจากถูกถาม ต่างก็พูดจาประจบประแจง ไม่ยกเว้นแม้แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ นี่เท่ากับเป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับหวังเป่าเล่อ และนี่ทำให้เขาเริ่มเข้าใจถึงบรรยากาศของดาราจักรไฟได้ลึกซึ้งขึ้น ขณะเดียวกันความลังเลสงสัยและความสับสนภายในใจก็หยั่งลึกขึ้นตามไปด้วย
“ไม่เห็นเป็นเช่นนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์หรือเหล่าศิษย์พี่ต่างก็ดูปกติดี… นอกจากนี้แม่นางน้อยยังบอกว่าท่านอาจารย์จิตใจคับแคบ จะต้องโกรธคำพูดประโยคนั้นของข้า แต่การเข้าคารวะในครั้งนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง…” หวังเป่าเล่อแอบโล่งใจ พร้อมแอบรู้สึกว่าแม่นางน้อยอาจไม่ได้บอกความจริงกับตน
“หรือว่าเรื่องที่แม่นางน้อยรู้เป็นเพียงเรื่องในอดีต ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว” ในขณะที่หวังเป่าเล่อไตร่ตรองอยู่ในใจ ปรมาจารย์แห่งไฟก็ได้เสร็จสิ้นการซักถามเหล่าสานุศิษย์แล้ว เขาสายตากวาดมองไปที่หวังเป่าเล่อ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนไว้ ก่อนจะกล่าวออกมา
“เป่าเล่อ ลูกศิษย์ที่อาจารย์รับม ไม่ต้องมีพิธีรีตรองใดๆ ทุกอย่างเป็นไปตามใจ แต่มีธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติอย่างหนึ่ง”
“เทพวัวอุปถัมภ์ของดาราจักรไฟ ครั้งหนึ่งเคยเป็นพาหนะของอาจารย์ และจงรักภักดีต่ออาจารย์ หลายปีมานี้อาจารย์ได้ถือมันเป็นเพื่อนร่วมทางนานแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องเคารพมัน”
“ศิษย์ของข้าทุกคน หลังจากที่คารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว จะต้องไปสรงน้ำให้เทพวัวเพื่อแสดงความเคารพ ศิษย์พี่ชายหญิงของเจ้าต่างก็เคยทำสิ่งนี้มาแล้ว บัดนี้ถึงคราวของเจ้าแล้ว” ปรมาจารย์แห่งไฟออกปากอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังเช่นนี้ เขาก็รีบประสานหมัดรับคำทันที
เหล่าสานุศิษย์ทางด้านข้างต่างก็เผยหลายหลากอารมณ์ เมื่อได้ฟังปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวถึงเรื่องนี้
“ท่านเทพวัวอาวุโสทุ่มเทให้ดาราจักรไฟของข้ามามาก เวลานี้พอคิดขึ้นมา ตอนนั้นที่ข้าสรงน้ำให้ผู้อาวุโสเทพวัวยังคงปรากฏร่างให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่เลย”
“จริงสิ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าตกอยู่ในอันตราย ก็ได้ท่านเทพวัวอาวุโสช่วยไว้…”
“พริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ครั้งนั้นท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าหากสรงน้ำให้ท่านเทพวัวอาวุโส ยิ่งหมดจดก็ยิ่งแสดงถึงความเคารพ ท่านอาจารย์ ขอให้ข้าได้มีโอกาสสรงน้ำให้ท่านเทพวัวอาวุโสอีกครั้งหลังจากศิษย์น้องสิบหกด้วยเถิด” ศิษย์พี่ชายหญิงแต่ละคนมีความทรงจำที่แตกต่างกัน ดูอย่างไรก็ดูจริงจัง โดยเฉพาะศิษย์สิบห้า ทั้งเสียงที่ดังที่สุดและอารมณ์ก็หลากหลายยิ่งนัก
เมื่อเห็นเช่นนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ฟังดูผิดปกติไปบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดมาก หลังจากตอบรับเรื่องนั้นแล้ว เขาก็สนทนากับเพื่อนร่วมสำนักและปรมาจารย์แห่งไฟในห้องโถงต่อ สุดท้ายต่างก็แยกย้ายกันไปท่ามกลางรอยยิ้มของปรมาจารย์แห่งไฟ
แต่ทันทีที่เดินออกจากประตูห้องโถง สีหน้าของศิษย์สิบห้าก็เปลี่ยนเป็นมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาตบไหล่หวังเป่าเล่อและส่งเสียงไอแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นแม้ไม่ได้มาตบไหล่เขาแต่ก็มีทีท่าแปลกๆ หลังจากยิ้มให้หวังเป่าเล่อแล้วต่างก็แยกย้ายกันจากไป
เมื่อมองดูเงาร่างที่จากไปของศิษย์พี่ชายหญิง หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง และความรู้สึกไม่ดีนี้ก็ระเบิดขึ้นในใจเขาอย่างสมบูรณ์ เมื่อเขาออกมาจากอาณาบริเวณหอคอยและเหาะไปในอากาศเพื่อไปไหว้คำนับวัวอัคคี ตอนนั้นเขาจึงได้รู้ถึงสาเหตุในการที่ส่งมาในครั้งนี้
ด้วยเพราะ… หลังจากที่ได้ยินว่าหวังเป่าเล่อได้รับคำสั่งให้สรงน้ำให้ตน วัวอัคคีที่แต่เดิมมีขนาดปกติก็แหงนหน้าหัวเราะขึ้น ร่างกายของมันขยายออกอย่างไร้ขีดจำกัดทันที เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ขนาดของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าดาวพระเคราะห์แล้ว มันลอยอยู่ในอากาศส่งเสียงอื้ออึง
“มาๆ เจ้าสิบหกน้อย มาอาบน้ำให้ข้าวัวเฒ่า จำไว้ว่าต้องอาบให้สะอาดหมดจดเลยนะ ข้าไม่ได้อาบน้ำมานานแล้ว”
หวังเป่าเล่อมองไปที่วัวแก่ร่างมหึมา เขารู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง เพราะฝ่ายตรงข้ามร่างกายใหญ่โตเช่นนี้ ด้วยกำลังของเขาเกรงว่าแม้จะอาบทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสามารถอาบได้อย่างหมดจด
“นี่… นี่หรือคือธรรมเนียมที่ว่า” ใบหน้าหวังเป่าเล่อมึนงง เขารู้สึกราวกับกำลังถูกทำโทษก็ไม่ปาน
……………………………………………………..