หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1040 บันทึกที่เชื่อถือไม่ได้!
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 1040 บันทึกที่เชื่อถือไม่ได้!
ยามนี้ซึ่งสวี่อินหลินตัดสินใจทุกเรื่องได้แล้วนั้น ในเขตพิเศษแห่งหนึ่งของจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น สถานที่แห่งนี้ลักษณะเปรียบเสมือนทะเลมายาแห่งความว่างเปล่า ด้านในปรากฏแสงเรืองรอง งดงามเกินสิ่งใด
และในส่วนที่ลึกที่สุด มีลูกบอลแสงลูกหนึ่งลอยตามกระแสแห่งทะเลอยู่
หากมองไปจะพบว่าในลูกบอลแสงลูกนี้มีโครงกระดูกที่สวมชุดคลุมยาวเป็นสีรุ้งเจ็ดสีนั่งขัดสมาธิอยู่ แม้ร่างนี้จะเหี่ยวแห้งไปแล้วก็ยังพอมองออกว่าเป็นสตรี ในยามนี้หนังตาของสตรีโครงกระดูกผู้นี้พลันขยับและลืมขึ้นช้าๆ!
“นี่ถูกแล้ว…” เสียบแหบแห้งดังออกมาจากปากนั้น ร่างโครงกระดูกพลันส่องแสงสีดำขุมหนึ่ง
จังหวะนี้เอง บนท้องฟ้าแห่งดาวเคราะห์ชะตาบังเกิดเส้นรุ้งยาวสายหนึ่ง นั่นคือหวังเป่าเล่อผู้ที่เหาะนำอยู่และอยู่ตำแหน่งหน้าสุด ด้านหลังเขาตามติดมาด้วยเซี่ยไห่หยางและผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิง ในจังหวะที่พวกเขาเข้าสู่ดาวเคราะห์ชะตาและหวังเป่าเล่อมองเห็นภาพท้องฟ้าผืนดินนั้น เขาก็เห็นภาพของฟองอากาศลอยอยู่จำนวนมาก!
ฟองอากาศเหล่านี้กึ่งโปร่งแสง ดูไม่ออกว่ารูปลักษณ์พื้นผิวของพวกมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในตอนที่หวังเป่าเล่อมองเห็นผิวชั้นนอกของพวกมันนั้น ฟองอากาศสิบเจ็ดฟองพลันลอยเข้ามา ขยายขนาดตามระยะทางที่ใกล้ขึ้น พวกมันพุ่งมายังพวกหวังเป่าเล่อไม่หยุด ท่าทางคล้ายจะเข้าชน
“อาจารย์อา นี่คือหนึ่งในธรรมเนียมของดาวชะตา ทุกคนที่มาที่นี่จำต้องนั่งฟองอากาศของแผ่นดินนี้ถึงจะเข้าสู่เขตศูนย์กลางได้” เซี่ยไห่หยางรีบเอ่ยปาก เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็พยักหน้า แม้จะเคลื่อนพลังฝึกปรือเตรียมไว้แต่เขาก็ไม่ได้หลบ เขาปล่อยให้ฟองอากาศชนเข้ามาตรงๆ และในพริบตานั้นเอง กลุ่มของพวกเขาแต่ละคนถูกครอบอยู่ในฟองอากาศคนละใบ
หลังจากที่ฟองอากาศครอบตัวพวกหวังเป่าเล่อแล้ว มันก็เหมือนถูกลากด้วยพลังเร้นลับ พวกมันเปลี่ยนจุดหมายมุ่งไปยังเขตศูนย์กลางของดาวเคราะห์ชะตา จังหวะเดียวกันนี้ หวังเป่าเล่อเองก็มองเห็นเหล่าผู้ฝึกตนที่มาถึงดาวชะตาถูกฟองอากาศครอบไว้เหมือนกับตนเอง
หากว่าแหงนหน้ามองขึ้นมาจากบนพื้น ก็จะมองเห็นฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับดอกปุยฝ้ายไม่ปาน ค่อยๆ ลอยเคลื่อน เมื่ออยู่ในฟองอากาศหวังเป่าเล่อก็พบว่าตนไม่จำต้องเคลื่อนพลังฝึกปรืออีกต่อไป เขาสามารถยืนอยู่ในฟองอากาศเหมือนยืนอยู่บนผืนทวีปไม่ปาน ดังนั้นแล้วเขาจึงนั่งขัดสมาธิลงแล้วมองลงไปยังข้างล่าง
เขตพื้นที่ทั้งหมดของดาวชะตานี้ไม่ค่อยเหมือนกับสหพันธรัฐเท่าไร พื้นที่ส่วนมากนั้นเป็นสีแดง สสารดังกล่าวไม่ใช่ทั้งโคลนเลนหรือเนื้อศิลา แต่เหมือนทั้งผืนดินนี้เหมือนมีใครเอาสีแดงมาทาไว้ เมื่อทอดสายตาจะเห็นแต่สีแดงฉานไร้ที่สิ้นสุด
นอกจากนี้แล้ว กระทั่งพืชพรรณของที่นี่ยังเป็นสีแดง ลักษณะของพวกมันพิสดารยิ่ง บ้างก็เหมือนมนุษย์ บ้างก็มีขนาดใหญ่โตไม่สมกับขนาดของดาว แล้วยังมีพวกไม้เดี่ยวลำต้นเล็กยาวที่กิ่งก้านของมันใหญ่ประมาณพันจ้างได้ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่าขนาดไม่เหมาะสมกันสักนิด
นอกจากนี้ยังแล้วสามารถเห็นชนเผ่าบางกลุ่ม ชนเผ่าที่ว่านี้เกรงว่าจะเป็นคนพื้นเมือง เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนแต่ประหลาดเช่นเดียวกัน พวกเขานั้นมีดวงตาดวงเดียวแต่กลับมีสี่ขา
ส่วนบนท้องฟ้านั้นยังคงเป็นสีฟ้าที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย แต่สีของก้อนเมฆที่นี่กลับเป็นสีดำ สีดำนี้ไม่คล้ายกับสีของเมฆครึ้มฝนแต่เป็นสีดำสนิทซึ่งแต่งแต้มบนท้องฟ้า พอมองไปแล้วให้ความรู้สึกประหลาดและหดหู่อย่างมาก
แล้วยังมีเหล่าอสูรบินที่เหมือนรูปร่างเหมือนค้างคาวไม่ปานบินผ่านท้องฟ้ามาด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ เมื่อมองดูคร่าวๆ ก็จะคิดว่าพวกมันเป็นสายฟ้าสีดำ
เหล่าอสูรบินที่รูปร่างคล้ายค้างคาวดำเหล่านี้ค่อนข้างจะกลัวฟองอากาศพวกนี้มาก ดังนั้นแล้วเมื่อเห็นฟองอากาศของหวังเป่าเล่อพวกมันจึงบินหลบอย่างรวดเร็ว
หากเป็นเช่นนี้ยังพอทำเนา แต่ในยามที่ฟองอากาศของพวกหวังเป่าเล่อกำลังลอยผ่านน่านฟ้าอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นชัดกับตาว่าในชั้นเมฆสีดำขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง พลันมีอุ้งมือยาวเต็มไปด้วยเกล็ดยื่นออกมาจากก้อนเมฆนั้นก่อนจะคว้าอสูรบินที่รูปร่างเหมือนค้างคาวฝูงหนึ่งเอาไว้ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลมของเหล่าอสูรบิน พวกมันก็ถูกลากเข้าไปในชั้นเมฆไม่นานก็มีเสียงเคี้ยวดังออกมาอย่างรวดเร็ว
ฉากนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อมองแล้วลูกตาหดลีบ แม้ความสามารถของพวกอสูรบินจะไม่สูง แต่อุ้งมือในชั้นเมฆนี้ แค่มองพริบตาเดียว หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าระดับดารานิรันดร์!
สิ่งที่เห็นทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความยำเกรงในดาวชะตาและในเวลาเดียวกันก็รู้สึกพิลึกมากกว่าเก่า โดยเฉพาะหลายวันถัดมาที่ฟองอากาศลอยไปเรื่อยๆ และเขาได้เห็นอสูรยักษ์ดุร้ายจำนวนนับสิบตัวปรากฏบนผืนแผ่นดินนั้น ความรู้สึกยิ่งทวีความรุนแรง
เหล่าอสูรดุร้ายพวกนี้มีขนาดตัวใหญ่มาก แต่ว่าจมูกของพวกมันกลับสั้น ยามที่พวกมันยืนอยู่บนพื้น จะเห็นพวกมันเอาแต่แหงนหน้าคำรามสู่ฟากฟ้าไม่หยุด น้ำเสียงนี้เหมือนกำลังโหยไห้และในระหว่างที่พวกมันส่งเสียงครวญครางนี้ ฟองอากาศก็หลุดออกมาจากโพรงจมูกของพวกมัน ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าไปทั่วทิศ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็กะพริบตา เขารู้สึกว่าฟองอากาศเหล่านั้นเหมือนกับฟองอากาศที่ตนกำลังโดยสารอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว…
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยิ่งประจักษ์ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าอสูรพวกนี้โหยหวน นั่นก็คือมีจุดพื้นที่หนึ่งบนผิวของอสูรร้ายพวกนี้กำลังหดตัวและขยายออกบางเวลา เมื่อมองให้ละเอียด ก็จะพบว่าปานดำเหล่านี้กลับเป็นเหล่าแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน พวกมันพากันกัดอสูรพวกนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเหตุให้เหล่าอสูรร้ายกรีดร้องไม่หยุด
ตอนที่มองภาพนี้ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หรี่ลง เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แล้วยิ่งคนอื่นๆ ก็ล้วนอยู่ในฟองอากาศจึงไม่อาจสนทนากันได้อยู่แล้ว ประกอบกับคนจำนวนมากเองก็เคยได้ยินความประหลาดเร้นลับของดาวชะตามาบ้าง ดังนั้นแล้วคนส่วนใหญ่จึงมีสีหน้าเป็นปกติ แต่ก็มีบ้างที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อคือเป็นผู้ที่มาเยือนครั้งแรก คนเหล่านี้สีหน้าเปลี่ยนอยู่บ้าง
จนกระทั่งผ่านไปอีกสองวันให้หลัง ผืนทวีปด้านล่างนั้นก็พลันเปลี่ยนแปลง มันไม่เป็นสีแดงฉานอีกต่อไป แต่กลับผืนทวีปกลับกลายเป็นผืนทรายสีทอง ณ ตรงเขตแดนที่ทั้งสองสีตัดกันนี้ หวังเป่าเล่อก็ยิ่งได้เห็นภาพอันอัศจรรย์กว่าเก่า
ตรงเขตพื้นทรายระหว่างสีทองและสีแดงนั้น พื้นผิวกลับไม่ได้อยู่นิ่งๆ ผิวทวีปตรงนี้เคลื่อนไหวราวกับคลื่นทะเลไม่ปาน มีบางครั้งพื้นที่สีแดงจะมีขนาดใหญ่กว่าและในบางครั้งพื้นที่สีทองจะขยายได้มากกว่า เมื่อมองให้ละเอียดไปนั้น ผู้มองจะมองเห็นชัดว่านี่ผืนดินตรงนี้มิใช่ลักษณะคล้ายทะเลแต่เป็นเหล่ากองทรายพวกนี้กลับมีมือเท้าโผล่ออกมาได้เฉยๆ และทั้งสองฟากแผ่นดินกำลังฆ่าฟันกัน
ในกรณีที่ฝ่ายสีแดงกำชัยเหนือกว่า มันก็จะบุกรุกเข้าพื้นที่สีทอง เรื่องนี้เป็นเช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย และเห็นชัดว่าการศึกของพวกมันตรงนี้ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดราวกับพวกมันต้องสู้กันไปจนนิรันดร์ พวกมันพยายามรุกคืบเข้าไปผลัดกันช่วงชิงผืนแผ่นดินทั้งสองฝ่าย…
“ดาวชะตานี่น่าสนใจ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ตอนนี้ฟองอากาศเคลื่อนผ่านพื้นที่สีทอง เคลื่อนเข้าไปไกลในท้องฟ้า หวังเป่าเล่อก็มองเห็นงูยักษ์ซึ่งกำลังคืบคลานอยู่!
ขนาดของงูตัวนี้ พูดไปแล้วเกรงว่าจะมีขนาดหลายหมื่นจั้ง ร่างกายใหญ่โตของมันน่าตื่นตะลึงจนเหมือนกับผืนทวีปหนึ่ง แถมบนร่างของมันนั้นยังมีผืนแผ่นดิน ยอดเขา กระทั่งทะเลสาบขนาดเล็กอีกด้วย ในเวลาเดียวกันก็เห็นสิ่งก่อสร้างอยู่บนตัวมันจำนวนไม่น้อย
นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นเงาร่างของเหล่าผู้ฝึกตนปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของเจ้างูตัวนี้ ในยามที่ฟองอากาศเข้าใกล้นั้น ผู้ฝึกตนบนหลังงูยักษ์เองที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็ค่อยๆ หันมามอง
หวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศเองก็ก้มหน้าลงไปเช่นกัน เขากวาดตามองแล้วพลันเพ่งสายตาไปยังจุดหนึ่ง เขาสังเกตว่าบนหลังของงูยักษ์ด้านล่างนี้ ในบรรดาเหล่าผู้ฝึกตนถึงกับมีเงาร่างของผู้หญิงที่เขาคุ้นเคยอยู่!
สตรีผู้นี้สวมชุดยาวสีฟ้า อีกทั้งยังสวมหน้ากากสาวงามและในเวลานี้นางก็มองหวังเป่าเล่อเช่นกัน!
ในพริบตาที่สายตาทั้งสองสอดประสาน ฟองอากาศที่ห่อหุ้มตัวหวังเป่าเล่ออยู่นั้นก็เพิ่มความเร็วพุ่งมายังตัวงูยักษ์ ระดับความเร็วนี้เพิ่มขึ้นทุกที จนกระทั่งในพริบตานั้นก็ตามทันตัวงูยักษ์นี้ ในเวลาที่มันร่อนลงจอดนั้นฟองอากาศก็แตกออกทำให้เหล่าผู้ฝึกตนด้านในนั้นต่างก็ค่อยๆ ร่วงลงบนหลังงู!
หวังเป่าเล่อร่างกายโงนเงน ในพริบตาที่ฟองอากาศแตกนั้น หวังเป่าเล่อกำลังลอยอยู่บนยอดเขาสูงชันแห่งหนึ่งบนหลังงู เซี่ยไห่หยางที่ตามมาถึงติดๆ นั้นรีบเอ่ย
“อาจารย์อา ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจส่งกระแสจิตผ่านทางฟองอากาศได้เลย งูยักษ์ตนนี้ชื่อว่าเจี๋ยหลิน นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นเดียวกับเทพวัวของอาณาจักรไฟ เป็นหนึ่งในสัตวอสูรดึกดำบรรพ์จำนวนสามสิบเก้าตัวของดาวเคราะห์ชะตา เส้นทางต่อแต่นี้ พวกเราจะโดยสารไปบนหลังงูยักษ์ ส่วนสถานที่ที่มันมุ่งไปนั้นก็คือสถานที่ฉลองอายุของผู้ศักดิ์สิทธิ์แดนสวรรค์นั้น”
“วันที่งูยักษ์ไปถึงก็คือวันที่พิธีฉลองอายุจะเริ่มพอดี ตามกฎที่มีมาแต่เดิม น่าจะประมาณครึ่งเดือนเห็นจะได้ พวกเราก็จะถึงยังงานพิธีแล้ว”
หวังเป่าเล่อได้ยินถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจยาว สัมผัสได้ว่าฝ่าเท้าด้านล่างนี้ ผืนดินเคลื่อนไปตามตัวงูยักษ์ หลังจากเขาสังเกตเห็นคลื่นความเคลื่อนไหวที่งูยักษ์แผ่ออกมาแล้ว ก็ยากจะปิดบังคามตะลึงบนหน้าได้
“เป็นตัวตนเช่นเดียวกับเทพวัว แถมยังมีตั้งสามสิบเก้าตัว? หากว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์แดนสวรรค์ท่านนี้เป็นผู้หลอมวัตถุวิญญาณอย่างสมุดแห่งชะตาจริง เช่นนั้นสมุดแห่งชะตามีที่มาอย่างไรกันแน่?”
“บ้านตระกูลเซี่ยของข้า เนื้อหาในบันทึกโบราณท่อนหนึ่ง บันทึกไว้ได้คลุมเครือนัก อีกทั้งกระทั่งต้นตระกูลเราเองยังคิดว่าเชื่อบันทึกไม่ได้…” เซี่ยไห่หยางลังเลเล็กน้อย เขาเข้าใกล้หวังเป่าเล่อก่อนจะเอ่ย
“บันทึกนี้เล่าเอาไว้ว่า จักรวาลที่พวกเราอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักแห่งความมืดในสมัยก่อนหรืออาณาจักรดาราไม่รู้สิ้นในปัจจุบัน จริงๆ แล้วเกิดขึ้นในอดีตกาล และถูกสมุดแห่งชะตาจดบันทึกไว้เท่านั้น”
“ซึ่งก็หมายความว่า พวกเรา…ล้วนไม่มีตัวตนอยู่ ท่านว่านี่มันน่าฉงนไหมเล่า” เซี่ยไห่หยางส่ายหน้า
……………………………………………..