หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1059 เงาแห่งสามภพ!
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบพลางจ้องดาบมารเล่มนี้ สมองของเขาปรากฏภาพในชาติที่ตนเคยเป็นอาวุธและภาพฟ้าพร่างดวงดาวที่ตนเห็นครั้งสุดท้ายครานั้น
เรื่องนี้เขาไม่ได้ถามแม่นางน้อยอีก ทั้งๆ ที่จุดนี้อาจจะเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่ง หรือบางทีก็อาจจะไม่สำคัญเลยก็ได้ เพราะหากแม่นางน้อยอยากบอกเล่าเรื่องนี้แก่เขาแล้ว นางย่อมเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา ทว่าในยามนี้ จากเจตนาของแม่นางน้อยที่เขาสัมผัสได้คล้ายกับว่านางยังคงต้องการเลี่ยงคำถามจากตนอยู่
แท้จริงแล้ว หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาคำตอบได้ลางๆ แต่เขาไม่ต้องการสืบค้นให้ลึกเกินไป คำตอบที่ว่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดในสมองของเขา
ท่ามกลางความสับสนและอาการจมดิ่งอยู่ในภวังค์ขั้นลึกสุดนั้น เขากลับอยากรู้อย่างยิ่งว่า หากตนระลึกชาติต่อๆ มาได้ จะพบคำตอบที่แตกต่างจากเดิมหรือไม่ หรือบางทีอาจจะหาหลักฐานเจอได้มากขึ้นจากการระลึกชาติเก่าๆ
ความสับสนนี้ ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายลึกล้ำยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ค่อยๆ เบนสายตาออกจากดาบมารซึ่งตนถืออยู่ในมือขวาพลางแหงนหน้าขึ้น ก่อนจะจ้องไปยังไอหมอกสีขาวเบื้องหน้าแล้วจมดิ่งกับความคิดต่อ
ณ จุดนี้ ความคิดที่จะตามหาศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณได้หายสิ้นแล้ว การล่องลอยเข้าสู่ชาติก่อนครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้จิตใจและร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะอ่อนล้า
“ก่อนจะเข้าวันที่สี่ ยังมีเวลาหกชั่วยาม” เนิ่นนานหลังจากหวังเป่าเล่อคำนวณเวลาเสร็จสรรพ ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา ในใจบังเกิดความยึดมั่นอย่างหนึ่ง ความยึดมั่นนี้เปรียบเหมือนเปลวไฟที่แผดเผาชัชวาลอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขา
“บางที หลังระลึกชาติถัดไปแล้ว ข้าอาจจะเข้าใจทุกสิ่ง” ครั้นยึดมั่นกับความคิดนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจยาวคราหนึ่ง เขาก้มหน้าลงสำรวจร่างกายตนเอง สัมผัสได้ถึงพลังการฝึกตนที่สูงขึ้น ตัวเขาในตอนนี้ เหลือเพียงระยะห่างเล็กน้อยก็จะเข้าสู่ช่วงปลายของระดับดาวพระเคราะห์แล้ว
เต๋ากลืนกินสำแดงพลังจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเกือบสูงสุดส่งผลให้ระดับวิชาพลังเทพของเขานั้นยกระดับเพิ่มพูนขึ้นมากเช่นกัน ส่วนความสามารถในการต่อสู้ยามนี้ของตนเองอยู่ที่เท่าไร เรื่องนี้หวังเป่าเล่อก็ยังทราบไม่กระจ่างนัก
แต่หวังเป่าเล่อทราบดี…ดาบมารที่บางครั้งชัดเจนและบางครั้งเลื่อนลอยอยู่ในมือของตนนี้ หากระเบิดพลังออกมา พลังของมันก็จะบ้าคลั่งอย่างไร้ขอบเขต พลังงานแผ่ซ่านไร้จุดสิ้นสุด ปัญหาอย่างเดียวก็คือตนในยามนี้กำลังอ่อนด้อย ตนในยามนี้ไม่อาจสำแดงพลังทั้งหมดของดาบมารได้
นี่มิใช่สิ้นไร้หนทาง แต่เกิดจากปัญหาว่าตัวหวังเป่าเล่อทำเรื่องนี้ไม่ได้ต่างหาก แม้จะสามารถสำแดงพลังทั้งหมดของตัวดาบออกมาได้ หากแต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจควบคุมพลังของมัน เช่นนั้นจุดจบเดียวที่รอเขาอยู่…อาจจะเป็นตัวเขาที่ไม่สามารถแยกแยะได้ ว่าตนคือหวังเป่าเล่อ หรือว่าดาบมารกันแน่
หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังภายในดาบมาร และกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของมันแล้ว หวังเป่าเล่อก็พลันสังเกตว่า แสงที่นำพาให้เขาจมดิ่งเข้าสู่โลกก่อนๆ นั้น คล้ายจะหม่นลงทันตา
แสงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่พาให้เขาเข้าสู่ชาติก่อนๆ ทุกครั้งที่ตนจมเข้าสู่ชาติก่อนได้แล้ว แสงที่อยู่เบื้องหน้าตนก็จะขยายระดับขึ้นก่อนจางหายไป ทว่ายามนี้เมื่อเขามองไปยังลำแสงเบาบาง คาดว่ามันคงได้รับผลกระทบจากการระลึกชาติที่ผ่านมาบางส่วน
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าผู้อื่นนั้นใช้แสงไปมากเพียงใด หรือมีแค่แสงของตนเองที่เป็นเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาลองกะประมาณดูแล้ว แสงที่ชี้นำตนเองที่เหลืออยู่ตอนนี้ ต่อให้สามารถลากเขาเข้าสู่การระลึกชาติได้อีก คงฝืนทนอย่างมาก
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววเย็นชา เขากลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เคลื่อนกระแสจิต หลังจากนั้นร่างแยกของเขาที่อยู่รอบด้าน ในพริบตาก็กลายเป็นเงาร่างแยกส่วนมุ่งไปยังทิศทางไม่ซ้ำกัน พุ่งตัวหายเข้าไปในหมอก
ส่วนหวังเป่าเล่อในเวลานี้ แม้จะยังไม่ทันรู้ตัว หากแต่การระลึกหลายชาติก่อนหน้า ภาพความทรงจำแต่ละฉากที่ย้อนกลับเข้ามาหาเขาพร้อมทั้งประสบการณ์จากแต่ละชาตินั้น ได้ก่อเกิดผลกระทบเข้าสู่ตัวเขาอยู่ดี
บางที…อาจจะไม่ใช่ผลกระทบ แต่เป็นเสมือนสิ่งที่ค่อยๆ แหวกร่างของเขาออกทีละชั้น ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงเนื้อแท้ของร่างวิญญาณตัวเขาเอง!
อย่างไรก็ดีร่างหลักของเขาก็ยังคงเป็นร่างของชาตินี้อยู่ หวังเป่าเล่อยามนี้เผยแววตาเย็นยะเยียบ แต่ร่างแยกของเขาเหล่านั้นกลับไม่ได้มุ่งทำร้ายเหล่าผู้ฝึกตนที่ตั้งท่าป้องกันตนเอง ทว่าร่างแยกเหล่านั้นกลับพุ่งเป้าหมายไปยังบรรดาผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ ที่อาศัยกรรมวิธีหลากหลายในการช่วงชิงลำแสงชี้นำของผู้อื่นไม่หยุดภายในหมอกนี้แทน
ผู้ที่ทำเช่นนี้ ในการทดสอบมีจำนวนไม่น้อย!
เหตุก็เพราะว่ามีคนค้นพบตั้งแต่แรกว่า หากลำแสงบนร่างยิ่งมีจำนวนมากเข้า เช่นนั้นโอกาสที่จะระลึกชาติก่อนๆ ได้ ก็จะง่ายดายและแจ่มชัดขึ้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น…ยังสามารถนำพลังของตนเองกลับมาจากชาติก่อนๆ ได้มากขึ้นด้วย
ดังนั้นด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่ร่างแยกของหวังเป่าเล่อลอยเข้าไปในหมอกไม่หยุด เขาก็พบกับเหล่าผู้ท้าชิง ร่างแยกพวกนี้ของเขาลงมือทันทีด้วยความเร็วสูงและพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่ง ซึ่งเหมือนว่าจะเหนือกว่าระดับดาวพระเคราะห์ไปแล้ว กุมชัยชนะเหนือบรรดาผู้ฝึกตนได้อย่างหมดจด!.ไอรีนโนเวล.
คนพวกนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เพราะความแข็งแกร่งของร่างจริงนั้นส่งผลต่อจุดอ่อนจุดแข็งของร่างแยก อีกทั้งร่างแยกของหวังเป่าเล่อยังพิเศษมาก เนื่องจากร่างแยกของเขาเป็นร่างธรรม ดังนั้นแล้วพลังจึงไม่ค่อยต่างจากร่างจริงเท่าไรนัก
แม้ยามนี้ร่างของเขาจะแยกออกเป็นจำนวนมาก ทำให้พลังของแต่ละร่างอ่อนลงไปบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ นั้น ก็สามารถบอกได้ว่าเพราะหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งกว่า ดังนั้นแล้วต่อให้เป็นร่างแยกของเขาที่กระจายตัวออกไปก็ยังมีความสามารถเพียงพอที่จะกวาดล้างผู้ฝึกตนโดยรอบได้หมดอยู่ดี
หลังจากเสียงกัมปนาทดังต่อเนื่องภายในหมอก ลำแสงชี้นำที่อยู่บนร่างหวังเป่าเล่อจึงส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสองชั่วยาม ร่างกายของเขาก็ได้กลายเป็นร่างเปล่งแสงขนาดยักษ์ กล่าวได้ว่าลำแสงของเขาอาบท่วมพื้นที่มิติตรงนี้ทั้งสิ้นแล้ว
ฉากที่เห็นนี้ ราวกับจะเปลี่ยนให้กายเขาเป็นเสมือนแม่เหล็ก สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนที่เข้ามาใกล้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหล่าผู้ฝึกตนพวกนี้หลังจากจับจ้องหวังเป่าเล่อแล้ว เหตุใดพวกเขาจำต้องเพ่งมองด้วยความระวังกังขา
เพราะเห็นชัดว่าบนร่างของหวังเป่าเล่อในยามนี้ มีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ผู้สัมผัสถึงเกิดความรู้สึกพรั่นพรึงจนจิตใจเต้นรัว พวกเขาพากันถอยห่าง
อย่างไรก็ดี…ในการทดสอบครานี้ ยังมีคนแข็งแกร่งอยู่บ้าง อาทิเช่นตอนนี้ ยามที่ห่างจากวันที่สี่อยู่อีกครึ่งชั่วยามนั้น หวังเป่าเล่อที่หลับตาขัดสมาธิก็พลันลืมตาขึ้น
ร่างแยกหนึ่งของเขาถูกทำลาย อีกทั้งพลังต้นกำเนิดที่อยู่ในนั้นยังถูกตัดขาดเสมือนถูกคนช่วงชิงเอาไปหลอมรวม
พลังแห่งร่างธรรมนี้แข็งแกร่งกว่าร่างแยกที่กำเนิดจากวิชาเทพของเขารูปแบบอื่น แต่ก็ยังมีข้อด้อย นั่นคือเมื่อโดนโจมตีจะสร้างความเสียหายให้กับร่างจริงของหวังเป่าเล่อมากกว่าร่างแยกจากวิชาเทพประเภทอื่น
อย่างไรก็ดี ร่างที่ถูกทำลายในยามนี้เป็นเพียงแค่ร่างแยกระดับสองของร่างธรรมแยกส่วนเท่านั้น แม้พลังปราณที่อยู่ในนั้นจะไม่มาก แต่ก็ไม่ควรเสียไปอยู่ดี
ดังนั้นเวลานี้หวังเป่าเล่อที่เบิกตาจึงขยับร่างทันที เขาหายไปจากที่เก่าในพริบตาก่อนจะทะยานร่างไปเบื้องหน้าดุจสายฟ้า กระโจนไปยังสถานที่ที่ร่างแยกของตนถูกทำลาย
ระหว่างที่เร่งจังหวะอยู่นั้น หวังเป่าเล่อใบหน้าเย็นชา ยกมือขวาขึ้นทำท่าอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยปาก
“สาปแช่ง!”
เกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ย ในตำแหน่งของหมอกแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากร่างจริงระยะหนึ่งนั้น นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ผู้เยาว์ซึ่งถือครองดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อทอประกายแสงพิลึกในแววตา มองดูลำแสงทั้งเก้าสีที่อยู่กลางฝ่ามือของตน
“ร่างแยกนี้แข็งแกร่งนัก ควรจะเป็นพลังส่วนใหญ่ของร่างหลักหวังเป่าเล่อแล้ว เจ้าพวกนี้เลยมีของดีอยู่…หากหลอมพลังนี้เข้าไป อาจจะทำให้ข้าพบความลับว่าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนดาวเคราะห์บรรพกาลเป็นเต๋าอย่างไรก็ได้…” ในฐานะที่เป็นนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นมาตลอด ความสามารถของเขาเองก็อยู่ในระดับสูงสุดของระดับดาวพระเคราะห์แล้ว แม้ว่าร่างแยกของหวังเป่าเล่อจะแกร่งกล้าแต่ก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่ดี
อย่างไรเสีย พวกมันก็สร้างความลำบากให้เขาได้อยู่บ้าง จนกระทั่งหลังเขาจับร่างแยกนี้มาได้ เขาได้ชั่งใจดู เขารู้สึกคล้ายกับว่าตนเองคาดการณ์ความสามารถที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อได้แล้ว ยามนี้ตนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะรั้งรอ ยังคงยืนหลอมพลังอยู่ตรงที่เดิม ในเวลาเดียวกันก็เฝ้าสงสัยว่าหวังเป่าเล่อจะกล้ามาหรือไม่
นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า มีความเชื่อมั่นว่าต่อให้หวังเป่าเล่อมาแล้ว ตนเองก็ยังได้เปรียบ
แต่เขากลับไม่รู้เสียเลยว่า นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในร่างแยกหลายร่างของร่างธรรมหวังเป่าเล่อ พูดได้ว่าเป็นร่างแยกชั้นรองหรืออะไรทำนองนั้น หากเทียบกับร่างจริงของหวังเป่าเล่อแล้ว…ความสามารถในการต่อสู้นั้นแตกต่างยิ่ง!
การตัดสินใจที่ผิดพลาดครานี้ ทำให้พริบตานั้น พลังแสงเบื้องหน้านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ารายนี้แปรเปลี่ยนเป็นพลังเพลิงอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นพลังปราณที่สะท้านขวัญผู้คน ควบรวมเป็นตราประทับคำสาปพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา
ฉากนี้มาได้กะทันหันนัก ทว่านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ามีประสบการณ์ในการต่อสู้มาเป็นเวลาเนิ่นนาน ย่อมตั้งตัวได้เร็ว เขาถอยเท้าในพริบตา หลบหลีกตราประทับไฟ พลันเผยสายตาเย็นยะเยือก เตรียมท่าเพื่อทำการโต้กลับ แต่ในเวลานี้…
หลังจากลำแสงนั้นกลายเป็นเปลวเพลิง ก็พลันระเบิดพลังปราณรุนแรงออกมา สะเทือนฟ้าสะเทือนดินในชั่วพริบตาเช่นกัน นี่เป็นพลังคลื่นที่น่ากลัวสุดขีด และในที่ห่างไกลนั้นภายในหมอกก็มีพลังบางอย่างหมุนวนพุ่งเข้ามาตรงนี้ทันที
ตัวหวังเป่าเล่อเองนั้นยังมาไม่ถึง ทว่ากลับมีเสียงที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับลำแสงแห่งเพลิงนั้น
“ชิงร่างธรรมของข้า เจ้า…รนหาที่ตายแล้ว!” น้ำเสียงหวังเป่าเล่อเย็นชาอย่างมาก ในระหว่างที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ากำลังโงนเงน เขาก็พลันเห็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าดวงนี้เหมือนผีดิบไม่ปาน ในเวลาเดียวกันก็คล้ายเทพ และดาบมารซึ่งทับซ้อนกันอยู่ ก่อเกิดพลังเร้นลับกระแสหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าหน้าเปลี่ยนสี ลอบกลืนน้ำลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มันไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะถอยห่างอย่างรวดเร็ว
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว…
…………………………………………