หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1093 เมื่อครู่ไม่นับ!
ท้องนภาสว่างสดใส แสงสุริยันส่องกระทบลงบนผืนดิน ยอดเขา สันเขา แม่น้ำ และทะเล โลกทั้งใบไร้ซึ่งขอบเขต ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่มุมใด ก็ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้
ราวกับขนาดของโลกใบนี้ เป็นไปตามการรับรู้และไร้ขีดจำกัด หากคิดว่าเล็กมาก บางทีมันก็อาจจะเล็กมากจริงๆ หากคิดว่าใหญ่ ถ้าเช่นนั้น…มันก็จะกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด
“ที่นี่ประหลาดมาก!” ตอนที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาก็พบว่าจุดที่ตนเองยืนอยู่ ไม่ใช่เกาะที่อยู่บนปล่องภูเขาไฟของดาวชะตาอีกต่อไป ภาพตรงหน้าไม่มีสมุดแห่งโชคชะตา แต่กลับยืนอยู่บนยอดเขาที่มีความสูงทะลุหมู่เมฆ ราวกับกำลังแข่งขันความสูงกับท้องฟ้า
ที่นี่ถูกห้อมล้อมด้วยทะเลหมอก ลมกระโชกแรงแผ่ขยายออกไปโดยรอบ ยอดเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไปจนถึงเชิงเขามีหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิ
ทว่าหิมะเหล่านี้กลับเป็นสีฟ้าแทนที่จะเป็นสีขาว
หิมะสีฟ้า ลมกระโชกอย่างบ้าคลั่ง ทะเลหมอกไร้ขอบเขต เมื่อมองข้ามทะเลหมอกออกไป ก็ยังไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดของผืนปฐพีได้ นี่เป็นภาพที่สะท้อนอยู่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อ
หากไม่ใช่เพราะจิตสำนึกที่แจ่มชัดของเขา หวังเป่าเล่อคงคิดว่าตนเองติดอยู่ในความรู้สึกของอดีตชาติอีกครั้ง และเป็นเพราะสติที่ยังคงชัดเจน เขาจึงค้นพบความน่าสนใจของภาพในอนาคตนี้ เพราะ…ทั้งหมดที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น ความรู้สึกจากร่างกาย หรือแม้กระทั่งการยืนยันด้วยวิญญาณ ต่างก็กำลังส่งข้อมูลหนึ่งมาหาเขา
สิ่งเหล่านี้…ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง
ลมเป็นของจริง หิมะเป็นของจริง ทะเลหมอกและผืนปฐพีต่างก็เป็นของจริงทั้งหมด โลกใบนี้ทั้งใบอยู่ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ไม่มีปราณของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ราวกับที่นี่คือจักรวาลไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
เรื่องนี้ก็เป็นความจริงเช่นกัน
คิ้วของหวังเป่าเล่อพลันเลิกขึ้นเล็กน้อย เขากวาดตามองทะเลหมอก จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 7-8 อึดใจ จู่ๆ เขาก็มองไปทางด้านขวามือของตน ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ยามที่เขามองไปทางนั้น ก็พบกับด้านบนหลังคาสวรรค์ที่อยู่ทางด้านขวา กลางทะเลหมอกไร้ขอบเขตนั้น ปรากฏเงาขึ้นสองเงา เงาหนึ่งคือประมุขกฎสวรรค์ ส่วนอีกเงาหนึ่ง…ก็คือตัวของหวังเป่าเล่อเอง!
“หกสิบแปดปีแล้ว” ประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่บนทะเลหมอกเปล่งเสียงพึมพำ
ประโยคนี้หวังเป่าเล่อได้ยินแล้ว จากการมองเห็นของเขา ตัวของเขาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ประมุขกฎสวรรค์ก็ได้ยินเช่นกัน
“ถึงเวลาแล้วรึ?” หลังจากหวังเป่าเล่ออีกคนเงียบไป เสียงแหบพร่าพลันดังขึ้น หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะไม่ได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนี้ แต่คนที่เข้าใจตัวเราได้มากที่สุดก็คือตัวเราเอง
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเข้าใจความหมายที่อยู่ในน้ำเสียงของตัวเองที่เป็นอีกคน มันคือ…ความรู้สึกเสียดายและงงงวย
ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อได้สังเกตอย่างถี่ถ้วน บนท้องนภา…หรือจะพูดให้ถูกก็คือกลางดาวจักรวาล ปรากฏแสงสว่างขึ้นหนึ่งสาย แสงที่มีสีสันสดใสหนึ่งสาย ราวกับสามารถละลายทุกสรรพสิ่งได้ ปกคลุมจักรพิภพไม่รู้สิ้นทั้งหมด และปกคลุมบนดาวชะตาด้วย…
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ทราบแล้ว เพราะในตอนที่เขามองเห็นแสงสายนั้น ภาพทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าพลันหายไป ตอนที่เขาลืมตาขึ้น ก็ได้ยินเสียงหายใจของคนที่อยู่รอบตัว รู้สึกได้ว่าสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาทางนี้ และเห็นสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ตรงหน้ากระจายพลังต่อต้านออกมา นอกจากนี้เขายังเห็นประมุขกฎสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังสมุดแห่งโชคชะตากำลังมองมาที่เขา
“ผ่านไปนานแค่ไหน?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามหนึ่งประโยค
“แปดอึดใจ” ประมุขกฎสวรรค์ตอบด้วยท่าทางนิ่งสงบ
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วมากกว่าเดิม เขาเงยหน้ากวาดตามองไปรอบๆ ก็สังเกตเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่บนหลังของอสูรดึกดำบรรพ์ทั้งสามสิบเก้าตัวด้านนอกเกาะ แต่ละคนมีสีหน้าใคร่รู้อันแรงกล้า และเขาก็เห็นเซี่ยไห่หยางกำลังมองมาทางนี้ตาไม่กะพริบ ราวกับอยากรู้ว่าเขาเห็นอะไร
แต่หวังเป่าเล่อไม่อาจบรรยายถึงภาพอนาคตที่เขาเห็นทั้งหมดได้ ฉากนั้นเรียบง่ายมาก แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากครุ่นคิด ในที่สุดเขาก็คิดว่าสิ่งที่ตนเองเห็นช่างน้อยนิด
หวังเป่าเล่อก้มหน้าลง สายตาจ้องมองไปบนสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกได้ว่าสมุดเล่มนี้ กระจายพลังต่อต้านอันแรงกล้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับมันกำลังใช้พลังทั้งหมดที่มี พยายามผลักมือของหวังเป่าเล่อที่วางอยู่บนตัวมันออกไป
และมันก็ทำได้จริงๆ ยามที่เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังต่อต้านระเบิดความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มือของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ยกขึ้น
ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ด้านข้างประมุขกฎสวรรค์เห็นฉากนี้ ตอนที่กำลังอ้าปากพูดเพื่อยุติการชมภาพในอนาคต จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยแทรกขึ้น
“เมื่อครู่ไม่นับ ข้ายังเห็นไม่ชัดเจน ขอใหม่อีกครั้ง”
เมื่อเขาลั่นวาจาออกไป มือขวาพลันกดลงบนสมุดแห่งโชคชะตาอีกครั้ง สมุดเกิดการสั่นสะเทือน เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านและดิ้นรนอย่างรุนแรง ราวกับไม่ยินดีที่จะให้หวังเป่าเล่อสัมผัสมันอีก ผู้รับใช้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบลังเล ใจหนึ่งก็อยากห้าม แต่เมื่อเห็นประมุขกฎสวรรค์หลับตาลง ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา ตนจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเช่นกัน
ทว่าทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นทุกสิ่งแจ่มชัด พวกเขาเห็นสมุดแห่งโชคชะตากำลังดิ้นรน เห็นพลังต่อต้านของมัน ความประหลาดใจพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาคนแล้วคนเล่า แต่ฉากต่อจากนี้กลับทำให้ความประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา เปลี่ยนเป็นความแปลกประหลาด
เพราะหลังจากที่หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ถึงการดิ้นรนของสมุดแห่งโชคชะตา เงาของแผ่นไม้สีดำในมือขวาเปลี่ยนไปในทันที พลังที่แข็งแกร่งราวกับสามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง การต่อต้านทั้งหมดของสมุดแห่งโชคชะตาถูกทำลายลงโดยตรง มีความรุนแรงเป็นอย่างมาก…ก่อนจะร่วงโรย
แปะ!
ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ วางลงบนสมุดแห่งโชคชะตา
สมุดแห่งโชคชะตาสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับไม่ได้เต็มใจที่จะทำแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้เพียงแค่กระจายความผันผวนออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกระจายทั่วดาวชะตา…
โลกที่อยู่ตรงหน้าของหวังเป่าเล่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง…ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ภาพที่เขาเห็นไม่ได้มีแค่ภาพเดียว แต่เป็น…ภาพที่เกิดขึ้นติดต่อกัน
ราวกับว่าสมุดแห่งโชคชะตาไม่คิดจะซ่อนอีกแล้ว ทั้งยังปล่อยออกมาทั้งหมดภายในลมหายใจเดียว ราวกับว่าหากมันพูดได้ ก็คงจะบอกหวังเป่าเล่อว่า เจ้าอยากดูอะไรก็ดู ดูเสร็จแล้วก็เชิญออกไป…
จากนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นตนเอง…
เขาที่อยู่ในภาพ หลังจากงานฉลองวันอวยพรอายุของประมุขกฎสวรรค์จบลง ไม่ได้เลือกที่จะเดินทางกลับ แต่ยังคงอยู่บนดาวชะตาต่อ มองพระอาทิตย์และพระจันทร์สลับสับเปลี่ยนกัน มองดูดวงดาราหลากหลาย มองดูโลกที่เปลี่ยนไป
เขาเห็นการตายของปรมาจารย์แห่งไฟ เห็นการล่มสลายของสหพันธรัฐดาวโลก เห็นการจุติของสำนักแห่งความมืด เห็นการยกทัพจับศึกของศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ และเห็นราชันเทวะไกก้าของเผ่าไม่รู้สิ้น
ชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ดับสิ้นอย่างต่อเนื่องในปีหกสิบเก้าหลังจากนี้ และได้มาเกิดทีละคน ดวงดาวแต่ละดวง อารยธรรมแต่ละอย่าง ก็เป็นเช่นนี้
ในขั้นตอนนี้ มีคนจำนวนมากเดินทางมาที่ดาวชะตา มาที่นี่เพื่อเข้าคารวะประมุขกฎสวรรค์ และมาพบตนเอง ใบหน้าที่คุ้นเคยของปรมาจารย์แห่งไฟกำลังจะตาย หลี่หว่านเอ๋อร์ที่คุกเข่าอ้อนวอนไม่ยอมลุกขึ้นยืน จ้าวเยี่ยเหมิงและตน ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และเขาก็จมอยู่ในผงธุลี เรื่องนี้…ไม่ได้มีอารมณ์ที่ผันผวนแต่อย่างใด
หลังจากหกสิบแปดปี แสงที่มีสีสันสดใสก็ปรากฏขึ้นกลางจักรวาล ตอนที่ทุกอย่างหลอมละลาย และถูกกลืนกิน หวังเป่าเล่อเห็นตนเองและประมุขกฎสวรรค์มาที่ด้านบนทะเลหมอกของหลังคาสวรรค์ จ้องมองจักรวาล
“หกสิบแปดปีแล้ว”
“ถึงเวลาแล้วรึ?”
“มันคือจุดเริ่มต้น และเป็นจุดสิ้นสุด”
“ถ้าเช่นนั้น…ไว้เจอกัน ชาติต่อไปนะ”
“ไว้เจอกัน ชาติต่อไป”
ด้านบนทะเลหมอก เงาของประมุขกฎสวรรค์ และหวังเป่าเล่ออีกคน ยกมือคารวะกันและกัน ร่างกายค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่า ประกอบกับแสงที่มีสีสันสดใสผสมผสานรวมเข้ากับความว่างเปล่า
ภาพได้หายไปแล้ว
ร่างของหวังเป่าเล่อกระตุกวูบหนึ่ง เขาค่อยๆ ลืมตา
ตอนที่เขาลืมตา กลางจักรวาลของจักรพิภพไม่รู้สิ้น ด้านในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เต๋าเก้ารัฐถูกจัดเป็นสำนักอันดับหนึ่ง ครอบคลุมประตูภูเขาอันกว้างใหญ่ของดาราจักรแห่งอารยธรรมแสนกว่าบาน สถานที่แห่งหนึ่งในดาราจักรที่มีนามว่าธาราสวรรค์ มีเงาหนึ่งราวกับยักษ์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
ขนาดของเงานี้ เหมือนกับดารานิรันดร์!
เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน ก็จะพบว่า…บุคคลผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นดารานิรันดร์ที่อยู่ในดาราจักร
แสงและความร้อนไม่สิ้นสุดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย น่ากลัวถึงขีดสุด ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง เหนือกว่าผู้พิทักษ์เหล่านั้นที่อยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ ราวกับแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นดารานิรันดร์เช่นเดียวกัน แต่คนหนึ่งดูเหมือนคบเพลิง ส่วนอีกคนเป็นดวงอาทิตย์ที่แท้จริง
เขาคือเซียนเต๋าลำดับสองของเซียนเก้ารัฐผู้มีพลังการต่อสู้อันแรงกล้า ได้ละลายดารานิรันดร์จำนวนมากซึ่งเป็นวิธีต้องห้ามเพื่อตนเอง การบ่มเพาะอยู่ในขั้นปลายของระดับดารานิรันดร์แล้ว!
เซียนเต๋าลำดับสองกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่กลางจักรวาล ความว่างเปล่าปรากฏอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างเงียบสงัด มีเงาพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงหนึ่งสายปรากฏออกมา ท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นภาพลวงตาซึ่งเป็นเงาของหญิงสาว แม้ว่าจะเลือนราง แต่ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความงามขั้นสุด
“ชงอี้จื่อ ตอนที่ข้าถ่ายทอดทักษะเวทให้แก่เจ้า เจ้าเคยพูดไว้ว่าจะรับปากข้าหนึ่งเรื่องอย่างไม่มีเงื่อนไข ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าช่วยสังหารใครบางคน!”
………………………..