หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1102 ไม้ดำสามฉื่อ!
หวังเป่าเล่อเห็นกับตา บนพิภพไพศาลภายในร่างสัตว์อสูรยักษ์นั้น ขณะที่ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนทำการสักการะอยู่ ก็มองเห็นได้จากตาเปล่าว่า รูปปั้นชายชราที่ตั้งอยู่กลางแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนจากสถานะรูปปั้นกลายเป็นมีเลือดเนื้อ กระทั่งลืมตาขึ้นมาแล้ว
ขณะเดียวกัน ความรู้สึกใจสั่นรุนแรงยิ่งกว่าก็มาพร้อมกับเสียงดังก้องซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน ทันใดนั้นเสียงอึกทึกก็แผ่กระจายออกมาจากจักรวาลทะเลแสงของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!
“ความรู้สึกนี้…” หวังเป่าเล่อพลันหันหน้าไป ชั่วขณะนั้น สายตาของเขาก็มองผ่านอวกาศ ตัดจักรวาลทะเลแสง จนเห็นว่าตอนนี้ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน แต่ละคนล้วนคุกเข่าสักการะอยู่ด้วย!
และสิ่งที่พวกเขากำลังสักการะอยู่ก็คือ…วังน้ำวนแห่งหนึ่ง!
เป็นวังน้ำวนที่ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อกับสถานที่ใด ขณะที่ทุกคนพากันสักการะบูชา ภายใต้การจ้องมองของผู้อาวุโสไพศาลซึ่งแปลงมาจากรูปปั้นในร่างของสัตว์อสูรสีขาวซีด ภายในวังวนแห่งนั้น…ก็มีท่อนไม้ปรากฏขึ้น!
การปรากฏของท่อนไม้นี้ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นตื่นเต้นกันถ้วนหน้า ถึงขั้นมีความบ้าคลั่งฉายอยู่ในแววตา แม้แต่จอมพลังผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นก็ยังมีอาการเช่นเดียวกัน พวกเขาคลุ้มคลั่งยิ่งกว่า!
มันคือท่อนไม้สีดำท่อนหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับโลงศพไม้ดำโลงหนึ่งมากกว่า ตอนนี้มันยื่นยาวออกมาหนึ่งฉื่อครึ่งจากข้างในวังน้ำวน…แม้จะมีเพียงหนึ่งฉื่อครึ่ง แต่มันกลับสั่นสะเทือนไปทั้งพิภพไพศาลในทันที สัตว์อสูรยักษ์ไพศาลกู่ร้องออกมา ร่างกายกำลังจะพังทลาย ปรมาจารย์ไพศาลที่อยู่ข้างในก็ตัวสั่นเทิ้มแล้วกระอักเลือดออกมาด้วย
จากนั้น… โลงศพโลงนี้ก็ยื่นออกมาอีกหนึ่งฉื่อครึ่งจากภายในวังน้ำวน คราวนี้…สัตว์อสูรไพศาลพังทลายทันที เสียงคำรามน่าสะพรึงดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงจักรวาล เผยให้เห็นพิภพไพศาลที่อยู่ภายใน และบนผืนพิภพในตอนนี้ ผู้ฝึกตนทั้งหมดก็พากันวิ่งออกมาจากเงาร่างที่กำลังจะพังพินาศไปพร้อมกันท่ามกลางเสียงกรีดร้องบ้าคลั่ง
ส่วนผู้ฝึกตนที่สักการะโลงศพโลงนี้อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็เห็นชัดว่าไม่ได้ผ่อนคลายขึ้นเลย ถึงแม้พวกเขาจะยังคงคลุ้มคลั่ง แต่พลังชีวิตที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดล้วนลดลงไปครึ่งหนึ่ง ราวกับสูญสิ้นโอกาสรอดไปเสียเจ็ดส่วน เหมือนกับว่าพลังที่ค้ำจุนโลงศพไม้ดำนี้ก็คือชีวิตของพวกเขาเอง
ตอนนี้พวกเขามาถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้ว ยากจะประคองต่อไปได้อีก ทำได้เพียงให้โลงศพไม้ดำยื่นออกมาจากวังน้ำวนอีกสามฉื่อก็ต้องยุติการสักการะบูชาแล้ว
และเมื่อการสักการะสิ้นสุดลง วังน้ำวนนั่นหายไป แท่งไม้ก็ยาวเพียงสามฉื่อเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงไม้ดำส่วนหนึ่งของทั้งโลง พริบตาที่วังน้ำวนสลายไปราวกับทำลายตัวเอง มันก็ตกลงมา
ขณะที่ตกลงมา อานุภาพทั้งหมดบนนั้นคล้ายจะเลือนหาย เหลือเพียงความไม่ยินยอมพร้อมใจที่ต้องออกมาจากสถานที่ปริศนาในวังน้ำวน จากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งของธรรมดาเรียบง่าย ราวกับท่อนไม้ทั่วไป
หวังเป่าเล่อยามนี้ตัวสั่นเทา เขาจับจ้องไม้ดำยาวสามฉื่อนั่นตาไม่กะพริบ จากนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยังจุดที่วังน้ำวนหายไป ในสมองราวกับมีอัสนีสวรรค์นับไม่ถ้วนผ่าลงมาพร้อมกัน ท่ามกลางเสียงดังก้องกัมปนาท ความไม่ยินยอมที่คล้ายจะฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในจิตใจเช่นเดียวกัน
สงครามปะทุจนถึงขั้นท้ายสุดพร้อมกับความบ้าคลั่งของผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรพิภพเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกันด้วยชีวิต สนามรบอันดุเดือดราวกับจานบดเนื้อขาดมหึมา กลิ้งไม่หยุด บดไม่หยุด…
ถึงขั้นที่ทุกคนในจักรพิภพเต๋าไพศาลตายสิ้นกันหมดแล้วเหลือเพียงซากปรักหักพัง ปรมาจารย์ไพศาลก็กลายเป็นรูปปั้นพังๆ หลังจากการล่มสลายพังทลายหลายต่อหลายครั้ง ส่วนหนึ่งของพิภพที่ลักษณะคล้ายกับภูตผีก็ลอยไปยังส่วนลึกของจักรวาล สงครามจึงถือว่าจบสิ้นลงแล้ว
แม้จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะชนะ แต่ก็มีสภาพย่ำแย่อย่างยิ่ง ทะเลแสงแตกเป็นเสี่ยงๆ จักรวาลที่อยู่ในนั้นก็ล้วนพังทลายเช่นกัน แต่ตราบใดที่ให้เวลาสักพัก จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ดูดซับทรัพยากรของจักรพิภพเต๋าไพศาลแล้วจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมได้แน่ แต่ขณะที่จะลองไล่ตามเศษพิภพชิ้นสุดท้ายของจักรพิภพไพศาลซึ่งหลบหนีไปได้จากเงื้อมมือของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น…คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะปรากฏตัว!
นั่นคือแสงสายหนึ่ง แสงที่มีสีดำแดงล้อมรอบแล้วก่อตัวกลายเป็นสีม่วง อีกทั้งแสงนั่นยังริบหรี่อยู่ตลอด!
แสงสายนี้อยู่ที่ส่วนลึกของจักรวาลอันไกลโพ้น มันบินเข้ามาโดยพลัน รวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด แม้ว่าหวังเป่าเล่อยังคงจมอยู่กับความอาลัยอาวรณ์ของท่อนไม้ดำ แต่เขาก็ยังมองเห็นว่าภายในแสงสายนี้มีเงาร่างเลือนรางอยู่ด้วย
ท่าทางแบบนี้…นั่นคือซุนเต๋อ!
ชั่วพริบตา ทันทีที่หวังเป่าเล่อมองเห็นชัดเจน แสงสายนั้นก็พุ่งตรงมายังภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่เพิ่งจะได้รับชัยชนะอนาถมาและเกือบจะแตกสลายอยู่รอมร่อ แสงสายนี้คล้ายมีพิกัดแม่นยำ ในชั่วพริบตาที่จักรพิภพกำลังสลายตัวอย่างรวดเร็วและใกล้จะหายไปจนหมดนั้น มันก็…ร่วงลงไปที่โลงศพไม้ดำสามฉื่อทันที!
ช่วงเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว มันจมลงไปในไม้ดำแล้วสลายหายไป
จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนรุนแรง เบื้องลึกของจักรวาล ณ จุดที่แสงสีม่วงสายนั้นปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้เอง จักรวาลก็ถล่มลงมาทันที จากนั้นเงาร่างมหึมาร่างหนึ่งก้าวเดินออกมาจากภายในจักรวาลที่พังลง
เงาร่างนี้สูงใหญ่หาใดเปรียบ รูปร่างเลือนราง มองได้ไม่ชัดเจน ราวกับใบหน้าของมันคือจักรวาลผืนหนึ่ง เห็นเพียงแค่ดวงตาของเขาเท่านั้น ภายในดวงตานั่นเย็นชา ราวกับไม่มีร่องรอยผันผวนของอารมณ์ใดๆ
นอกจากนี้ สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็ยังมีสองแขนสองเขา ถึงแม้เขาจะมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่แขนกลับยาวกว่าคนปกติมากราวกับสามารถแตะเข่าได้เมื่อยืนขึ้น!
เขายืนอยู่ตรงนั้น มองดูจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแตกสลายไปอย่างเฉยเมยเหมือนกับมองดูรังมด กระทั่งสายตาตกอยู่ที่ไม้ดำยาวสามฉื่อ จากนั้นดวงตาที่นิ่งไม่ไหวติงก็หดเกร็งทันที!
ตอนนี้ในแววตาของเขามีความไม่เข้าใจ ความตกตะลึง และยิ่งมีความไม่อยากเชื่อฉายอยู่ ทำให้เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหวไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ยกมือขึ้น คล้ายจะคว้าจับไม้ดำที่อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่หลังจากยกมือขึ้นมาแล้ว สายตาของเขาก็เผยความลังเล ก่อนค่อยๆ ปล่อยมือลง
เงียบงันอยู่นาน เขาก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เอื้อมจับ แต่สะบัดนิ้วไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ปากเอ่ยเสียงต่ำออกมา
“ผนึก!”
ทันทีที่เสียงเปล่งออกมา หวังเป่าเล่อก็มองเห็นระลอกคลื่นปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียงทั่วทุกทิศภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่พังทลาย หลังจากระลอกคลื่นเหล่านี้มาบรรจบกันก็ราวกับก่อตัวเป็นฟองอากาศ ครอบคลุมจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเอาไว้โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางราวกับจมอยู่ในกาลเวลา ถูกปิดผนึกไว้ชั่วนิรันดร์
แต่เมื่อเงาร่างสูงใหญ่นั่นมองเห็นฟองอากาศปิดผนึกแล้วก็คล้ายยังไม่วางใจ เขายกมือซ้ายขึ้นมาอีกครั้ง แล้วชี้ลงไปอีกรอบ
“ด้วยหนึ่งดัชนี ณ หัตถ์ซ้ายของข้า จงผนึก!” นิ้วชี้ที่มือซ้ายของเขาขาดทันที ก่อนจะกลายเป็นแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งไปยังฟองอากาศโดยตรง หลังจากชั่วพริบตาที่มันหลั่งไหลเข้ามา ทั้งฟองอากาศก็ขุ่นมัวราวกับกลายเป็นก้อนดิน
แต่เงาร่างสูงใหญ่ยังไม่ได้จากไป เขายืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ด้วยดัชนีที่สองของข้า…” ร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นครู่หนึ่ง หลังจากเงียบไปนาน แววตาของเขาก็ฉายแววเด็ดขาดราวกับตัดสินใจได้ เขายกมือซ้ายขึ้น แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงต่ำราวกับจะสะท้อนอยู่หลายปีไม่รู้จบ
“ด้วยหัตถ์ซ้ายของข้า จงผนึก!” ทันทีที่เอ่ยออกมา ทั้งแขนซ้ายของเขาก็หายไปโดยพลัน มันกลายเป็นแสงสีเทาที่ราวกับสามารถปกคลุมทั่วทั้งจักรวาลได้ ห่อหุ้มจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ถูกผนึกได้โดยสมบูรณ์ ทำให้ทันทีที่แสงสีเทาหล่อหลอมเข้าไป รูปทรงก้อนดินก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแสงสีเทาทั้งหมดในจักรวาลล้วนควบแน่นจนหมดแล้ว ก้อนดินก็กลายเป็น…ศิลาขนาดยักษ์!
ภายในใจของหวังเป่าเล่อก่อเกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้น เขามองดูพลังกดดันสะเทือนฟ้าดินที่แผ่ออกมาจากศิลายักษ์ซึ่งจมลงไปในจักรวาลช้าๆ จมลงไปอย่างต่อเนื่อง ร่วงลงไปไม่หยุด ราวกับถูกฝังอยู่ในห้วงลึกไร้ที่สิ้นสุด
ส่วนเงาร่างสูงใหญ่ที่เสียแขนซ้ายไปก็มองดูศิลายักษ์ค่อยๆ ถูกฝังหาย ในแววตาเขาเผยความอ้างว้างล้ำลึกออกมา เขาค่อยๆ หันกายแล้วเดินไปจากจักรวาล แต่ขณะที่เงาร่างของเขาสลายไปในจักรวาลอย่างช้าๆ ทันใดนั้นข้างหูของหวังเป่าเล่อก็ได้ยิน…เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น
“ข้าชอบจักรวาลวงที่สอง มันเป็นของข้า”
“เจ้ารู้ไหม….ความชอบมันเป็นความรู้สึกอย่างไร”
เงาร่างสูงใหญ่เอ่ยเพียงสองประโยคนี้ก็สลายหายไปช้าๆ ทั่วทั้งจักรวาลเหลือเพียงหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่ตรงนั้น มองดูจุดที่ศิลายักษ์จมลงไป แล้วมองไปทิศทางที่หลัวเดินจากไปไกลๆ เงียบงันอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยเอ่ยพึมพำกับตนเอง
“ที่แท้แล้ว…ข้ามาจากไหน”
ขณะที่เสียงพึมพำของเขาดังก้อง จักรวาลที่อยู่ในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ พร่าเลือน กระทั่ง…หายวับไปจนหมด แล้วแทนที่ด้วยดาวเคราะห์ชะตา สมุดแห่งโชคชะตา และร่างอ่อนล้าของประมุขกฎสวรรค์เบื้องหน้าของเขา
“ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว”
……………