หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1116 สยบทุกด้าน
ดังนั้นระหว่างที่ล่าถอย ประกายแสงในดวงตาของชงอี้จื่อก็ส่องวาบ ยกสองมือขึ้นโบกโดยพลัน ทันใดนั้น ดารานิรันดร์ด้านหลังของเขาก็เปลี่ยนแปลงทันที!
พลังฝึกตนของชงอี้จื่อคือระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย ดารานิรันดร์ของเขาก็ยังเป็นระดับพิภพที่หายาก นี่หมายความว่าปริมาณความจุในระดับดารานิรันดร์ของเขามีมากถึงระดับที่น่าตกใจ
ถ้าเปลี่ยนเป็นสำนักเล็กๆ หรือฝ่ายเล็กๆ แห่งอื่น ต่อให้มีดารานิรันดร์ระดับพิภพ แต่ก็ไม่สามารถสนับสนุนทรัพยากรและการกินพลังยุทธ์อันมหาศาลของการฝึกตนได้ แต่ในฐานะที่เป็นเซียนเต๋าแห่งเต๋าเก้ารัฐ ชงอี้จื่อจึงไม่ขาดแคลนทรัพยากร เขาเติมเต็มระดับพิภพของตนจนบรรลุระดับสูงสุดของดารานิรันดร์ชั้นปลาย ดังนั้นดารานิรันดร์ที่เขาแสดงออกมาจึงใหญ่มโหฬาร ทำให้คนทั้งหมดที่เคยเห็นล้วนใจสั่นสะท้าน!
ถ้าหากเปรียบเทียบดารานิรันดร์ทั่วไปเป็นทะเลสาบ เช่นนั้นดารานิรันดร์ของชงอี้จื่อในตอนนี้ก็คล้ายกับมหาสมุทรที่ถึงแม้ไม่อาจเรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ยิ่งใหญ่กว่าทะเลสาบแล้ว!
ขณะเดียวกัน กระบวนเทพของชงอี้จื่อก็ไม่ได้สิ้นสุดลงเพราะการเปลี่ยนแปลงของดารานิรันดร์ของตน แทบจะภายในพริบตาที่ดารานิรันดร์ของเขาปรากฏขึ้น ร่างกายก็พลันถอยหลัง คิดไม่ถึงว่าคนทั้งคนกลับผสานรวมเข้าไปในดารานิรันดร์ที่น่าสะพรึงด้านหลังเสียแล้ว
ขณะที่หลอมรวมเข้าไป ภายในดารานิรันดร์นั่นก็แผดเสียงคำรามสะเทือนฟ้าออกมา รูปร่างเปลี่ยนไปกะทันหัน มันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว คล้ายมีพลังเข้ามาบรรจบกันไม่หยุด จนกระทั่งในพริบตาก็มีหัวกระโหลกปรากฏขึ้น มีแขนขาปรากฏขึ้น ไปจนถึงลำตัวก็ปรากฏขึ้นด้วย สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ กลับเป็นยักษ์ตัวสูงหมื่นจั้งตัวหนึ่ง!
ยักษ์ตัวนี้มีใบหน้าของชงอี้จื่อ ทั่วร่างแผ่แสงสว่างเจิดจ้า แสงและความร้อนแผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้อวกาศบิดเบี้ยวไปหมด อุณหภูมิสูงแผ่กระจายจนการมีอยู่ของมันคล้ายกับดวงจิตเทพ ดัชนีเมฆหมอกชี้ไปด้านหน้ามันจึงเหมือนกับหยดน้ำ ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ระเหยหายไปในพริบตาเดียว!
พวกเซี่ยไห่หยางล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์เต๋า ทั้งหมดจึงจะหลบหนีออกมาไกลๆ ได้ แต่ละคนใจสั่นสะท้าน ต่างก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง
มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม เขามองดัชนีเมฆหมอกของตนที่แตกกระจายอยู่ตรงหน้าชงอี้จื่อ นัยน์ตาแสดงความสนใจแรงกล้ายิ่งกว่าเดิม และในพริบตาที่จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาพุ่งสูงขึ้น ชงอี้จื่อที่กลายร่างเป็นยักษ์ก็คำรามขึ้นฟ้า แล้วก้าวหนักๆ ไปทางหวังเป่าเล่อ มือขวายกขึ้นมา หมัดพุ่งไปยังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ราวกับดาวตก!
อวกาศแตกร้าว ทั่วทุกทิศสั่นสะเทือน พลังทำลายล้างยากจะบรรยายปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในตอนนี้เอง ขณะที่มันแพร่กระจายไปในอวกาศทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ายิ้ม เกราะจักรพรรดินอกร่างกายของเขาเปลี่ยนไปในพริบตา และในชั่วขณะที่มันเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ถูกพลังฝึกปรือระดับดารานิรันดร์เข้ามาเติมเต็ม ทำให้เพียงพริบตาก็ครอบครองพลังระดับดารานิรันดร์แล้ว
ขณะเดียวกันพลังกายเนื้อของเขาก็ระเบิดออกมาตามการสั่นสะเทือนอย่างมีกฎเกณฑ์ ถึงแม้ขนาดร่างกายของเขาจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ตอนนี้พลังที่แฝงอยู่ในนั้นได้บรรลุถึงระดับอันน่าตกตะลึง ชั่วอึดใจที่ยักษ์ตนนั้นก้าวเท้าเข้ามา ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กระโจนขึ้น หลบพ้นทันที ความเร็วปะทุออกมาทั้งหมด จากนั้นจึงต่อยไปยัง…หมัดของเจ้ายักษ์ที่พุ่งเข้ามาหา!
ทั้งหมดนี้เล่าแล้วยาว แต่ล้วนเกิดขึ้นในชั่วแวบเดียว พริบตาต่อมา หมัดของหวังเป่าเล่อก็ปะทะกับหมัดขวาของชงอี้จื่อที่แปลงเป็นยักษ์ หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ ปะทะกันกลางอวกาศ!
เห็นชัดๆ ว่าดูจากมุมมองต่างๆ หวังเป่าเล่อเหมือนกับมดที่พยายามจะเป็นตั๊กแตนห้ามรถ[1] แต่ความจริงแล้วในพริบตาที่พวกเขาปะทะกัน ขณะที่เกิดเสียงดังอื้ออึงและระลอกคลื่นสั่นกระเพื่อมราวกับโกรธเกรี้ยวนั้น ผู้ที่ถอยร่นกลับ…ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ แต่เป็น…ชงอี้จื่อผู้กลายร่างเป็นยักษ์หมื่นจั้ง!
ทั่วร่างของชงอี้จื่อสั่นสะท้านรุนแรง ดวงตาเผยแววไม่อยากเชื่อออกมา เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งมาก ดังนั้นแรกเริ่มจึงเตรียมจะทำร้ายวิญญาณเทพของเขาโดยไม่ไปเทียบเรื่องพลังฝึกปรือกับอีกฝ่าย หลังจากเรื่องนี้ล้มเหลว ถึงแม้เขาจะแสดงดารานิรันดร์ออกมา แต่ก็เลี่ยงหนักให้เป็นเบาได้ ไม่แข่งขันแพ้ชนะในเรื่องพลังฝึกปรือ แต่เพิ่มชั้นกายเนื้อของตน ทำให้การป้องกันกายเนื้อและพละกำลังบรรลุถึงขีดสุดเพื่อพยายามสยบหวังเป่าเล่อ ไอรีนโนเวล
ตามความคิดของเขา หวังเป่าเล่อจะต้องแสดงกระบวนเวทเทพของตนออกมาแน่นอน เช่นในการต่อสู้ตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถกลายเป็นแบบที่เขาต้องการได้ การป้องกันร่างกายของเขาสามารถต้านทานกระบวนเวทเทพของอีกฝ่ายได้ช่วงหนึ่ง และพละกำลังของเขาก็เพียงพอจะทำให้หวังเป่าเล่อได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่ตนโจมตีโดน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า หวังเป่าเล่อจะแสดงพลังกายเนื้อของตนออกมาเช่นเดียวกัน อีกทั้งในด้านระดับ…ก็ยังทรงพลังยิ่งกว่าของตนมาก ท่ามกลางเสียงอึกทึกในชั่วขณะนี้ ร่างของชงอี้จื่อถอยร่นกะทันหัน รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างหาที่สุดไม่ได้ว่าทำไมจะต้องไล่ล่าหวังเป่าเล่อด้วย
แต่ตอนนี้ลูกธนูอยู่บนคันศรแล้ว เขาจำต้องยิงออกไป เขาเข้าใจดีว่าต่อให้ตนคิดอยากจะหยุดการต่อสู้ หวังเป่าเล่อก็คงไม่เห็นด้วยแน่ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงฉายแววดุดัน ขณะที่ถอยร่น สองมือก็ผนึกมุทรา แล้วตบลงบนร่างของตนติดต่อกันเก้าจุด ทุกครั้งที่ตบลงไปก็จะมีเสียงดังสนั่นออกมา และทุกครั้งก็จะทำให้เขากระอักเลือด
“เคล็ดวิชาลับ วิชาลำดับสามของเก้าเต๋า”
เมื่อเอ่ยออกมา ขณะที่เขาตบร่างตอนถอยหลัง ชงอี้จื่อก็กระอักเลือดออกมาเก้าครั้ง พวกมันกลับดิ้นรนอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้าเขา พริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างกายของเขาร่างแล้วร่างเล่า!
ตัวเขาเก้าตน เก้าร่างแยก!
และร่างแยกทั้งเก้าตนนี้ พลังการต่อสู้ของแต่ละตนต่างก็เหมือนกับร่างจริงของเขาไม่มีผิด นี่ก็คือหนึ่งในวิชาลับทั้งเก้าของเต๋าเก้ารัฐ เป็นตัวเขาเองที่สามารถใช้พลังเกินตัวได้ในระยะสั้นๆ เป็นเก้าร่างทั้งยังเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจากความว่างเปล่าและหลอมรวมพลังต่อสู้แบบเดียวกัน!
เมื่อมันปรากฏขึ้นในตอนนี้ ทันใดนั้นจักรวาลก็สั่นสะเทือนและผันผวนรุนแรง ยิ่งร่างจริงของชงอี้จื่อส่งเสียงคำรามแบบที่เต็มไปด้วยจิตสังหารออกมา เขากับร่างแยกทั้งเก้าก็พุ่งไปพร้อมกัน ตรงไปยังหวังเป่าเล่อ
“ตาย!!”
“น่าสนใจ!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างไสว แทนที่จะหลีกเลี่ยง ในชั่วขณะนี้จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขากลับรุนแรงขึ้น สองมือยกขึ้นโบกอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นด้านหลังของเขาก็มีดาวดวงแล้วดวงเล่าปรากฏขึ้นมาทันที!
พริบตาเดียว ดวงดาราพิเศษนับหมื่นก็เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ด้านหลังของเขาทั้งหมด ขณะที่มันกลายเป็นแผนที่ดวงดาว ก็จะมองเห็นว่าใจกลางของแผนที่ดวงดาวนี้มีหลุมดำปรากฏขึ้นอย่างน่าตกตะลึง และรอบๆ หลุมดำนี้ก็มีดวงดาราเก้าดวงที่ส่องสว่างราวกับดารานิรันดร์อยู่!
“เก้าเต๋า!” หวังเป่าเล่อยกมือโบก ทันใดนั้นดวงดารานับหมื่นบนแผนที่ดวงดาวด้านหลังเขาก็หม่นแสง มีเพียงดารานิรันดร์เก้าดวงเท่านั้นที่ยังอยู่ พริบตาเดียวแสงสว่างก็ระเบิดออกมาแล้วหลุดพ้นจากแผนที่ดวงดาว ตรงไปรวมตัวกันอยู่รอบกายของหวังเป่าเล่อ แล้วกลายเป็นเงาแสงรูปมนุษย์เก้าคน!
ดวงดาราทั้งเก้าดวงก็คือดาวบรรพกาลของหวังเป่าเล่อ หลังจากเขาเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ พวกมัน…ก็เลื่อนเป็นดารานิรันดร์จากการปลุกเสกของดาวเคราะห์เต๋าเช่นกัน เมื่อมันปรากฏขึ้นในตอนนี้ ไม่เพียงแผ่แสงกระจัดกระจาย แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ยังมาบรรจบกันอย่างบ้าคลั่งแล้วกลายเป็นเงาร่างเต๋าทั้งเก้า นี่ก็คือร่างกฎเกณฑ์นั่นเอง!
พริบตาที่มันปรากฏขึ้นมา พวกมันก็คล้ายจะมีสติปัญญาของตนเอง มันเข้าไปคำนับหวังเป่าเล่อเป็นอันดับแรก จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังร่างแยกทั้งเก้าของชงอี้จื่อทันที พริบตาเดียวพวกเขาก็ต่อสู้กันเองแล้ว!
ท่ามกลางเสียงอึกทึกและระลอกคลื่นมหึมาที่ซัดสาด ร่างจริงของชงอี้จื่อก็พุ่งมาแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้มือเปล่าอีกต่อไป แต่สองมือของเขาเข้ามาผสานกันอยู่ตรงหน้าแล้วแยกออกจากกันกะทันหัน หอกยาวทองคำด้ามหนึ่งพลันปรากฏขึ้น เมื่อเขาจับมันไว้ในมือ พลานุภาพที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมก็ระเบิดออกมา
และในพริบตาที่เขาพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาอันว่างเปล่าของตนขึ้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในมือของเขาไม่ใช่อาวุธเทพอย่างคราวนั้นอีกแล้ว มันเป็นดาบยาวที่เหมือนจะเลือนราง…แต่กลับรวดเร็วแข็งแรง!
ดาบเล่มนี้ก็คือ…อาวุธที่ทหารอาฆาตในชาติก่อนของหวังเป่าเล่อใช้เข่นฆ่าสรรพชีวิต ความอาฆาตแค้นพุ่งสูงถึงฟ้า ตอนนี้ทันทีที่ถูกหวังเป่าเล่อจับเอาไว้ ดาบทหารอาฆาตเล่มนี้ก็คล้ายจะมีชีวิตขึ้นมา บนนั้นมีดวงตาดวงหนึ่งปรากฏขึ้น!
ดวงตาสีแดงข้างหนึ่ง หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าแววตามีจุดที่คล้ายคลึงกับหวังเป่าเล่ออยู่ ตอนนี้มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นคือมีความแน่วแน่ในการกระหายอยากพิสูจน์พลังต่อสู้ของตนเอง เมื่อหวังเป่าเล่อคำรามเสียงยาว และพริบตาที่ชงอี้จื่อที่ถือหอกยาวทองคำพุ่งเข้ามา ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ทะยานขึ้นแล้วพุ่งไปยังชงอี้จื่อ เขายกดาบทหารอาฆาตแล้วฟันลงไปทันที!
คมดาบฟันอวกาศ แรงอาฆาตสะเทือนท้องฟ้า!
เขามองเห็นคมดาบของทหารอาฆาตพุ่งเข้ามาหาตนแล้วทำให้จักรวาลเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อคล้ายจะฉีกขาด มันถูกฟันออกมาเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ กวาดม้วนทุกสิ่งอย่าง แล้วพุ่งตรงไปหาชงอี้จื่อ!
ขณะเดียวกันก็ยังมีแรงอาฆาตมหาศาลคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคร่ำครวญของสรรพชีวิต เมื่อจักรวาลระเบิดออกมา ร่างจริงของชงอี้จื่อก็ต้องแบกรับพลังเป็นสิ่งแรก ทั่วร่างจึงสั่นสะท้านรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปไม่คงที่ วิกฤตถึงชีวิตเกิดขึ้นในจิตใจของเขาราวกับพายุ มันระเบิดอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน!
………………………………..
[1] ตั๊กแตนห้ามรถ หมายถึง คนที่ทำอะไรจนเกินตัวและเดือดร้อน คล้ายกับสำนวนไทยว่า เอาไม้ซีดไปงัดไม้ซุง