หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1130 จักรพรรดิสวรรค์ปรากฏ!
หนึ่งคำเมื่อเอ่ยออกมาก็สะเทือนฟ้าสะเทือนสวรรค์!
ดวงดาวล้อมรอบร่างของหวังเป่าเล่อโดยไม่ต้องใช้กระบวนเวทพลังเทพใดๆ เพียงแค่กำหมัดธรรมดาเท่านั้น ก็ทำให้ดวงดาราพิเศษนับหมื่นและกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวงไปจนถึงพลังของดาวเต๋านิรันดร์หนึ่งดวงมารวมกันบนกำปั้น ก่อนระเบิดออกไป!
เมื่อพลังปะทุออกมาในชั่วขณะนี้ เพราะเคล็ดวิชาเด็ดดาราจึงทำให้มันเป็นของหวังเป่าเล่อโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงสามารถบีบอัดมันได้อย่างแทบจะไร้ข้อจำกัด พริบตาเดียวก็พุ่งถึงจุดสูงสุด และเมื่อกำปั้นต่อยลงมาก็ราวกับมีดาราจักรทุบใส่ผู้คน!
พริบตาเดียว ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ของสำนักฉันปราณคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าก็ต้องรับพลังของมันเป็นคนแรก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างกายพังทลายและระเบิดออกทันที ดวงวิญญาณเทพก็ไม่อาจหลบหนี มันถูกสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยตรง ร่างวิญญาณถูกทำลายสิ้น!
ยังไม่จบ ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีพลานุภาพเทียมฟ้า ขณะที่ย่างก้าวเขาก็ต่อยออกไปเป็นหมัดที่สอง หมัดที่สาม หมัดที่สี่!
หนึ่งหมัดสังหารหนึ่งคน!
พริบตาเดียวก็มีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ชั้นต้นของสำนักฉันปราณสามคนถูกระเบิดร่างแล้วกลายเป็นหมอกเลือดหลายกลุ่มโดยตรงพร้อมกับสั่นสะเทือนไปทั่วทุกทิศ ผู้ฝึกตนสำนักฉันปราณที่เหลืออีกสามคนตกตะลึงถึงขีดสุด สูญสิ้นความตั้งใจจะต่อสู้ไปนานแล้ว ตอนนี้จึงถอยกลับเพื่อหนีทันที คนหนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หวังเป่าเล่อ พวกเราล้วนเป็นผู้อ่อนแอ เจ้ามีความสามารถก็เข้าไปสังหารศิษย์พี่สามของข้าข้างในสิ ศิษย์พี่สามของข้าเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร เจ้ากล้าฆ่าหรือไม่เล่า!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง เขากระจ่างแจ้งดีว่าสถานที่ประจำการของสำนักและตระกูลที่อยู่รอบเขตแดนอวกาศสีเทาแห่งนี้ล้วนมีไว้ให้มหาศิษย์ของฝ่ายตนได้มาพักผ่อน อวกาศสีเทาใหญ่มาก เมื่อทำการสำรวจย่อมต้องเดินทางไปกลับเพื่อเติมเสบียง ดังนั้นการที่สำนักฉันปราณมีศิษย์อยู่ในนั้นก็เป็นเรื่องปกติ
“ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรหรือ” หวังเป่าเล่อยิ้มบาง กำลังจะตามไป แต่ในตอนนี้เอง ทางฝั่งปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของเขาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ปรมาจารย์แห่งไฟจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการกดดันของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพสิบกว่าคนพร้อมกัน เขาจึงพอจะฝืนทนได้เล็กน้อย รวมกับมือยักษ์ของเทพวัวที่กางออกมาด้วย ตอนนี้จึงมีวี่แววว่าจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ถึงอย่างไร…เขาในตอนนี้ก็ไม่ได้มีพลังเต็มทุกส่วนอย่างแท้จริง เขายังทิ้งพลังอย่างน้อยสามส่วนไว้ในดาราจักรไฟซึ่งถูกแปลงให้เป็นบรรดาศิษย์เหล่านั้นและต้นไม้ใบหญ้า
ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าตนไม่แข็งแกร่งพอ ปรมาจารย์แห่งไฟและเทพวัวที่นั่งอยู่ก็กะพริบตาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นปรมาจารย์แห่งไฟก็เงยหน้าโดยพลัน ทำท่าว่าต้องการจะตายไปพร้อมกันแล้วก็ตะโกนออกมา
“ถึงกับกล้าร่วมมือกันมารังแกข้าเชียวหรือ ดี เช่นนั้นก็กินคำสาปอัดอั้นหนึ่งหมื่นปีของข้าสักหม้อหนึ่งดีไหมเล่า”
“ผู้เฒ่าอย่างข้ากลัวตายหรือไม่ ตัวข้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะกิน ย่าเจ้าเถอะ ข้าจะระเบิดมันให้พวกเจ้าดูแล้ว!” ปรมาจารย์แห่งไฟร้องคำรามลั่นฟ้า จักรพิภพจากแต่ละสำนักที่ร่วมมือกันมาสยบเขาเหล่านั้น ตอนนี้ต่างก็ปวดหัวขึ้นมา ต้องเก็บพลังกลับอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเก็บพลังกลับแล้ว ปรมาจารย์แห่งไฟก็ยิ่งโอหัง คำรามดังลั่นยิ่งกว่าเดิม
“การระเบิดของข้าไม่เพียงทำลายพวกเจ้า แต่ยังทำลายสำนักและตระกูลทั้งหมดทั้งแปดทิศในที่นี้ด้วย แล้วข้าจะกลัวเจ้าหรือ ย่าเจ้าน่ะสิ ข้าจะระเบิด!” ท่ามกลางเสียงตะโกนลั่นของปรมาจารย์แห่งไฟ กลิ่นอายคำสาปก็ปรากฏออกมาด้านนอกร่างกายในพริบตา ทันทีที่กลิ่นอายนี้แผ่ขยาย ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี เมฆลมพัดม้วน อวกาศยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่น
ตอนนี้สีหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่ร่วมมือกันมาบดขยี้ปรมาจารย์แห่งไฟเหล่านั้นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ตระกูลและสำนักทั้งหมดรอบด้าน ล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมด หวังเป่าเล่อก็ตกใจจนสะดุ้ง แอบคิดว่าอาจารย์คงไม่จริงจังหรอก แค่ขู่คนเท่านั้น…
ในขณะที่กลิ่นอายคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟแผ่ออกมาจนอวกาศส่งเสียงดังสนั่นนั้น เสียงกระแอมไอแฝงความจนใจก็ดังขึ้นมาเบาๆ จากอวกาศสีเทาด้านบน
“เพลิงกัลป์ โวยวายพอแล้วกระมัง รีบเก็บคำสาปอัดอั้นหมื่นปีของเจ้าไปเสีย เรื่องใหญ่อะไรนักหนา”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา อวกาศสีเทาด้านบนที่เดิมทีเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดกว้างใหญ่ไพศาลก็บิดเบี้ยว คล้ายผ้าม่านที่แขวนอยู่ถูกยกขึ้น จนเผยให้เห็นด้านใน…
เรือรบเกือบแสนลำอัดแน่นไปทั่วทั้งเขตแดนอวกาศสีเทา! ไอลีนโนเวล
เรือรบเหล่านี้แตกต่างจากหมื่นสำนักตระกูลโดยสิ้นเชิง มันคือด้วงทองคำตัวแล้วตัวเล่า มองจากไกลๆ ดูคล้ายกับทะเลด้วงสีทองมืดฟ้ามัวดิน ครอบคลุมทั่วทั้งสี่ทิศ
“ตระกูลไม่รู้สิ้น!”
ชั่วพริบตาก็มีเสียงร้องตกใจดังมาจากภายในหมื่นสำนักและตระกูล ตอนนี้เองหวังเป่าเล่อก็จำที่มาของด้วงสีทองเหล่านี้ได้แล้ว พวกมัน…เป็นของตระกูลไม่รู้สิ้นจริงๆ!
มันเหมือนกับที่เขาเห็นในกระบี่สำริดโบราณไม่มีผิด แต่กลิ่นอายแตกต่างกัน กลิ่นอายของด้วงทองแต่ละตัวในที่นี้ล้วนสั่นคลอนจิตใจเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันทำให้เขารู้สึกกลัว ถึงขั้นรู้สึกแสบตา และบนทะเลด้วงทองผืนนี้ก็มีเงาร่างสีทองสามร่างลอยอยู่!
เงาร่างทั้งสามถูกแสงสีทองปกคลุมโดยสมบูรณ์จึงไม่เป็นรูปเป็นร่าง มองเห็นเพียงโครงร่างเลือนรางเท่านั้น รวมไปถึง…สิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขาก็ราวกับสามารถส่งอิทธิพลต่อความผันผวนมหาศาลของทั้งจักรวาลได้
แต่ถ้าหากมองดูดีๆ ก็จะเห็นว่าถึงแม้ทั้งสามท่านนี้จะมีแสงทองส่องไสว แต่มีแค่คนที่อยู่หน้าสุดเท่านั้นที่เป็นจุดกำเนิดแสงนี้ ส่วนอีกสองคน เมื่อเทียบดูแล้ว แสงค่อนข้างจะริบหรี่เล็กน้อย เพียงแต่ถูกสะท้อนลงมา จึงมีแสงเหมือนๆ กันก็เท่านั้น
พลังผันผวนก็เช่นเดียวกัน พลังผันผวนของคนด้านหน้าสุดน่าจะสั่นสะเทือนสวรรค์ได้เลย ราวกับสามารถทำลายสิ้นซึ่งทุกกฎเกณฑ์ สามารถปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ สามารถส่งผลต่อกาลอวกาศ สามารถสยบหมื่นสำนักหมื่นตระกูลในจักรวาลได้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคล้ายกับเด็กทารกแรกเกิดเมื่อเทียบกับเขา ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!
ส่วนสองคนด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าพลังอ่อนกว่ามาก ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเช่นกัน
และการปรากฏตัวของคนทั้งสามก็ทำให้จักรพิภพเหล่านั้นที่ร่วมมือกันโจมตีปรมาจารย์แห่งไฟ ในพริบตาก็ถอยร่นโดยสิ้นเชิง ก่อนจะคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง
ตระกูลและสำนักแทบจะทั้งหมดที่อยู่รอบด้านก็ทำเช่นเดียวกัน ค้อมคำนับคารวะในทันที
“คารวะจักรพรรดิสวรรค์! คารวะราชาแห่งแสงฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา!”
“จักรพรรดิสวรรค์!” สมองของหวังเป่าเล่อมีคลื่นพุ่งขึ้นมาในพริบตานี้เอง ขณะเดียวกันจิตใจก็สั่นไหวรุนแรงเพราะการกวาดมองของสายตาคู่นั้น ยังไม่ทันได้สังหารศิษย์สำนักฉันปราณที่เหลืออยู่ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ถอยหลังไปอยู่บนหลังของเทพวัวทันที ความรู้สึกใจสั่นหวั่นไหวยังคงมีอยู่
ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นว่าภายในด้วงเกราะสีทองจำนวนมากมายนั่น มีกลุ่มควันสีฟ้าหลายสายตกลงมาไม่หยุดแล้วผสานเข้าไปในอวกาศสีเทาด้านล่าง
เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว เดิมทีตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่คิดจะให้ทุกคนเห็น แต่เพราะคำสาปปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของตนจึงทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นจำต้องออกหน้ามาไกล่เกลี่ย
“หรือว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นความตั้งใจของอาจารย์ ที่ทำไปก็เพื่อให้ได้เห็นฉากตรงหน้า” ขณะที่จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหว ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในดวงตามีประกายแสงจางๆ ส่องวาบจนมองไม่เห็น สีหน้ายังคงไม่หวั่นเกรงความตายเช่นเดิม มีท่าทางแบบที่ว่าใครกล้ายั่วยุข้า ข้าก็จะเล่นงานคนผู้นั้น แล้วแค่นเสียงออกมา
“จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว ข้าจะไว้หน้าเจ้า คำสาปที่กักไว้หนึ่งหมื่นปีของข้าก็จะไม่ปล่อยออกมาแล้ว แต่สำนักฉันปราณนี้จะต้องไสหัวไปจากที่นี่ ข้าเห็นหน้าพวกเขาแล้วหงุดหงิด!”
หวังเป่าเล่ออยู่ด้านหลังปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ปาดเหงื่อแทนอาจารย์ของตน ลอบคิดว่าอาจารย์ช่างเป็นคนเถื่อนเสียจริง ตัวเป็นถึงระดับจักรพิภพ แต่กลับกล้าพูดเช่นนี้กับจักรพรรดิสวรรค์ ดูท่าว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้ตั้งใจปกปิดตัวตนจริงๆ เขามีความสามารถจะตายไปพร้อมกันกับจักรพรรดิสวรรค์ระดับจักรวาลผู้นี้เป็นแน่แท้
จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวที่อยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินก็ส่ายศีรษะเบาๆ ในใจเบื่อหน่ายนัก เขาเป็นคนรับผิดชอบแผนการของตระกูลไม่รู้สิ้นครั้งนี้ ความจริงก่อนที่ปรมาจารย์แห่งไฟจะมาถึง เขาก็จัดตั้งวงแหวนปราณแล้ว ตนจะปรากฏตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ แต่หลังจากที่เห็นปรมาจารย์แห่งไฟ เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาจึงได้ล้มเลิกความคิดจะปรากฏตัวเสีย
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าวันนี้ปรมาจารย์แห่งไฟจะอารมณ์รุนแรงนัก เขาแผ่คำสาปออกมาเล็กน้อยแล้ว ทันทีที่สมองของอีกฝ่ายมีปัญหาแล้วระเบิดออกมาวันนี้จริงๆ ต่อให้เป็นเขาก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะอยู่ใกล้เกินไป
อีกทั้งผลกระทบนี้…ตัวเขาก็บอกได้ไม่ชัดว่าจะทำให้ตนแตกดับหรือไม่
ความจริงคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟทั้งแปลกประหลาดทั้งสุดโต่ง ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงต้องออกหน้าเพื่อหยุด ขณะเดียวกัน ในใจก็รู้สึกไม่พอใจสำนักฉันปราณอย่างมาก
พวกเจ้าไม่มีอะไรทำหรือยังไง หาเรื่องใครไม่หา กลับไปหาเรื่องเจ้าบ้าเพลิงกัลป์เสียได้!
รู้อยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกับพวกเจ้ามีความแค้นต่อกัน แล้วเหตุใดถึงยังไปตอบโต้ อีกฝ่ายด่ามากี่คำก็ปล่อยให้เขาด่าไปสิ บอกให้พวกเจ้าไปพวกเจ้าก็ไปเสียสิ เหตุใดจะต้องร้องหาถูกผิดให้เปล่าประโยชน์ด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็เอ่ยเสียงเรียบ
“สำนักฉันปราณ รีบออกไปเดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ชายชราผู้นั้นของสำนักฉันปราณก็อัดอั้นใจ ขณะเดียวกันก็นับว่าโล่งอกแล้ว จึงก้มหน้ารับคำโดยเร็ว แล้วพาศิษย์ที่เหลือสองสามคนที่กำลังตกใจจนตัวสั่นเร่งรีบจากไป ไม่สนใจศิษย์สองสามคนที่เข้าไปในอวกาศสีเทาและยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็ชำเลืองมองปรมาจารย์แห่งไฟอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วโบกแขนเสื้อ ทันใดนั้นรอบด้านก็บิดพลิ้วราวกับมีผ้าม่านปรากฏขึ้นมาใหม่ ก่อนจะปกคลุมทุกสิ่งอย่างเอาไว้อีกรอบ
ขณะเดียวกัน ดวงตาของปรมาจารย์แห่งไฟก็หรี่ลง ทันใดนั้นก็หันไปเอ่ยกับหวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านหลัง
“หลังเจอศิษย์พี่ของเจ้าแล้วจำไว้ว่าให้บอกเขาว่า เขาเป็นหนี้น้ำใจข้าหนึ่งอย่าง ข้าพยายามช่วยเขาจัดการลูกไล่ของตระกูลไม่รู้สิ้น และตัวตนของจักรพรรดิสวรรค์ที่มาทั้งหมดแล้ว!”
………………………