หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1183 สัญญา!
คำเรียกขานศิษย์พี่นี้ มีกระแสความเคารพและความสนิทสนมเจืออยู่ คำนี้ยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกปลอดภัยขุมหนึ่งที่ไม่สามารถเอ่ยได้ เมื่อคำนี้เข้าสู่จิตใจคน ย่อมทำให้คนผู้นั้นเกิดความรู้สึกสบายใจแผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก
การเรียกขานนี้ ก่อนหน้านี้เป็นคำเรียกขานที่ทำให้ในใจหวังเป่าเล่อมีให้แก่เฉินชิงจื่อ…เพียงผู้เดียว
เมื่อก่อนนั้นศิษย์พี่ของเขา ผู้ที่คอยปกป้องทางเดินของเขา แม้กระทั่งในภายหลังที่หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นมาในสำนักแห่งความมืดก็ได้อีกฝ่ายคอยคุ้มครอง ทั้งยังช่วยมอบทางเดินอันมั่นคงให้แก่เขาในสำนักแห่งความมืด ทำให้ความฝันเรื่องสำนักแห่งความมืดนี้ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป และเมื่อฝันกลายเป็นจริงแล้ว ก็ทำให้ผู้คนยอมรับเขาขึ้นบางส่วน
แม้กระทั่งในส่วนลึกของจิตใจ ถึงขั้นมีผลให้หวังเป่าเล่อทะนงตนเล็กๆ ว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นๆ สามารถทำให้ผู้อาวุโสสำนักแห่งความมืดรับตนเข้าเป็นศิษย์ได้ อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ที่แกร่งกล้าระดับสังหารจักรพรรดิสวรรค์แล้วยังอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันผู้นี้อีกด้วย
สิ่งนี้รวมถึงภูมิหลังที่มาของเขานั้น หลายอย่างกลายเป็นฐานรากที่อยู่ในหัวใจของเขา และได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาอุ่นใจและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน ดังนั้นก้นบึ้งหัวใจของหวังเป่าเล่อย่อมเคารพศิษย์พี่จนถึงที่สุด อีกทั้งเชื่ออีกฝ่ายจนหมดใจ
ดังนั้นแล้ว…หากศิษย์พี่แสดงท่าทีเพียงนิดเดียว เขาก็จะพุ่งเข้าไปยังวงแหวนปราณอย่างไม่ลังเล ประโยคเดียวของศิษย์พี่ หวังเป่าเล่อย่อมเข้าไปจัดการให้แล้วเสร็จโดยไม่ลังเลสักนิด
แม้ว่าหลังจากที่ศิษย์พี่หลอมรวมกับเต๋าสวรรค์แล้วเปลี่ยนไป อีกทั้งยังเริ่มทำตัวแปลกแยก อย่างไรก็ดี แม้หวังเป่าเล่อลึกๆ แล้วจะมึนงง หรือเกิดความคิดสับสนมากน้อย แต่เขาก็ยังคงตั้งมั่น….ว่าจะต้องช่วยศิษย์พี่ให้ได้
เนื่องด้วยเหตุสัมพันธ์บางประการเหล่านี้ จึงยังคงมีหวังเป่าเล่อที่มุ่งหน้าสุดกำลัง และยังมีการเดินทางไปยังสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดครั้งนี้ด้วย
แต่ในพริบตานี้…น้ำเสียงราบเรียบของหวังเป่าเล่อ กลับเอ่ยออกมาเพียงแค่ห้าคำเท่านั้น แต่ห้าคำนี้แฝงไปด้วยความรู้สึกสับสนเป็นที่สุด
มันมีทั้งความสับสน ลังเลใจ และมึนงง
สับสนเพราะว่า ความดีที่ศิษย์พี่มีต่อเขานั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ความแตกต่างที่แม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่ยินดี แต่ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้ ทว่าหากนี่เปลี่ยนเป็นตัวท่านอาจารย์….อีกฝ่าย…ไม่มีทางรับได้แน่!
ลังเลก็เพราะการที่ตนพบกับอาจารย์ และพบอดีตศิษย์พี่ตอนนี้ เขาควรปฏิบัติตนเช่นไร แล้วควรตัดสินใจอย่างไร
และที่มึนงงนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้ ว่าเหตุใดเรื่องราวจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ไม่ได้ผิด ท่านอาจารย์เองก็ไม่ผิด ตนก็ไม่ได้กระทำผิดเช่นกัน แต่เพราะเหตุใด…ถึงได้มีจุดจบที่เจ็บปวดฉีกกระชากหัวใจถึงเพียงนี้
แต่แล้วในท้ายที่สุด…แววตาของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่อีกครั้ง เขาไม่ลังเลใจอีก อีกทั้งยังไม่สนใจความมึนงงนี้ของตนเองด้วย หวังเป่าเล่อสะกดข่มความสับสัน ยามนี้ตัวเขาคิดเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือ…
เขาไม่มีทางยอม!
ไม่ยอมให้ศิษย์พี่ทำเช่นนี้ และจะไม่ยอมให้ท่านอาจารย์ต้องดับสลายไปเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน!
ดังนั้น…ยามที่เขาเอ่ยปาก ตะโกนออกไปจึงไม่ใช่คำว่าศิษย์พี่อีกต่อไป แต่กลับเป็น…เฉินชิงจื่อ สามคำนี้!
การเรียกขานเช่นนั้นแสดงให้เห็นความแน่วแน่และทางเลือกของเขา อีกทั้งยังแสดงถึงความโกรธ น้ำเสียงทั้งหมดที่แผ่ออกมานั้นระเบิดออกไปพร้อมกับพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อ จิตวิญญาณเทพของเขาสะท้านหวั่นไหว หลังจากนั้นเงาร่างมายาสูงใหญ่ก็ลอยขึ้นเบื้องหลัง
กล้ามเนื้อของหวังเป่าเล่อระเบิดออก เส้นโลหิตพลันกลายเป็นพายุคลั่ง พลังแผ่กระจายไปทั่วสารทิศอย่างรุนแรง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ยิ่งไปกว่านั้นกลางอากาศเหนือศีรษะของเขา พลันมีดวงเนตรปีศาจลอยอยู่ ส่วนบริเวณว่างเปล่าด้านหลังนั้น พลันมีดาวเคราะห์เต๋าดารานิรันดร์และเหล่าดาราอื่นๆ จัดเรียงตามลำดับเก้าดวง ดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวงล้วนทอประกายแสง พวกมันกลายเป็นเงาร่างของเทพวัว แผ่อำนาจไพศาล!
หวังเป่าเล่อยามนี้ เส้นผมปลิวสะบัดแม้ไร้แรงลม พลังปราณทั่วร่างแผ่กระแสคลื่นที่แม้แต่ระดับจักรพิภพปกติยังต้องสะท้าน โดยเฉพาะประกายคมปลาบในดวงตานั้นรุนแรงเป็นที่สุด
ชั่วพริบตา เหล่าผู้ฝึกตนรอบด้านของสำนักแห่งความมืดล้วนคุกเข่า บุรุษและสตรีบุตรแห่งความมืดหยินหยางที่รวมร่างกันเมื่อครู่ล้วนคุกเข่าลงเช่นกัน ร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวเข้ามาทีละก้าว เรือนร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงาม ทั้งร่างนั้นเผยกระแสเต๋าไร้ขีดจำกัด ตัวตนนั้นแท้จริงนั้นก็คือเต๋าสวรรค์ อีกทั้งหว่างคิ้วของคนผู้นี้ยังมีเค้าลางตราประทับของปลาดำ แต่แล้วย่างเก้านี้…ก็พลันต้องหยุดชะงักลง!
ในแดนดินแห่งนี้ มีน้อยคนนักที่จะทำให้เขาหยุดชะงักได้ และในบรรดานี้ผู้ที่พลังฝึกตนอ่อนด้อยที่สุดก็คือ หวังเป่าเล่อ
หยุดชะงัก นิ่งเงียบ แล้วก็เพ่งมอง
เฉินชิงจื่อทอดสายตามองหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อเองก็มองสบตาเขาเช่นเดียวกัน หนึ่งแววตาสงบนิ่ง อีกหนึ่งโกรธเคืองคมปลาบ ไม่เอ่ยสิ่งใด
กระทั่งชั่วอึดใจให้หลัง เสียงถอนหายใจหนึ่งก็ดังออกจากด้านหลังของหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ให้อาจารย์ดูศิษย์พี่ของเจ้าสักหน่อย”
หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าหมิงคุนจื่อและกำลังบดบังวิสัยทัศน์อยู่นั้น หลังจากจมอยู่ในภวังค์และถอนหายใจหลายครั้ง ก็ยอมหลีกทาง ทว่าต่อให้ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เขายังไม่ยอมสลายพลังเต๋าออกแม้เพียงนิดเดียว และการหลีกทางให้ของเขานี้ ก็ทำให้สายตาของเฉินชิงจื่อประสานเข้ากับดวงตาของอาจารย์ตนเองโดยพลัน
“อาจารย์” เป็นครั้งแรกที่เฉินชิงจื่อเปล่งเสียงออกมานับแต่มาที่นี่ น้ำเสียงนั้นยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า ไม่มีนัยคุกคาม แต่ความอ่อนโยนในกระแสเสียงที่คล้ายต้องการจะมอบความอบอุ่นให้นั้น กลับทำให้คนรู้สึกแปลกหน้าและเย็นชา
“เฉินชิงจื่อ เจ้าหาซากของจักรพรรดิแห่งความมืดเจอได้เช่นไร แล้วจะทำอย่างไรต่อ?” หมิงคุนจื่อมองศิษย์ผู้นี้ของตน เขาเหม่อลอยในชั่วครู่แต่แล้วก็กลับเป็นปกติทันที ก่อนจะเอ่ยปากเสียงทุ้ม
“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อพลันร้อนรนขึ้นมา เขาอยากจะเอ่ยปาก แต่ในพริบตานั้นหมิงคุนจื่อก็ยกมือขวาขึ้น ชี้มาทางหวังเป่าเล่อ ตอนนั้นเองพลังของดัชนีพลันก่อเกิดกระแสอันดุดันออกมา โลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดด้านหลังนั้น ยิ่งส่งเสียงคำรามหนักกว่าเก่ามันระเบิดขุมพลัง โคมวิญญาณสามดวงด้านบนมีเพลิงลุกโชติช่วงกระจายขึ้นสูง ทำให้ทั้งสุสานส่องสว่างในพริบตา
แม้ว่าร่างเนื้อของหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่ง ดวงวิญญาณเทพเองก็ไม่ธรรมดา พลังฝึกปรือและวิชาเทพของเขาเองก็ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความสนใจของเขาทั้งหมดล้วนอยู่ที่ตัวเฉินชิงจื่อทางด้านนั้น สำหรับท่านอาจารย์ย่อมไม่ได้คิดป้องกัน อีกทั้งพลังฝึกปรือของพวกเขาทั้งสองก็ต่างกันอย่างมาก เช่นนี้เองในจังหวะที่หมิงคุนจื่อยกนิ้วขึ้นมา ร่างกายของหวังเป่าเล่อจึงสั่นสะท้านรุนแรง รู้สึกราวกับถูกเส้นด้ายจำนวนมากพันรัดเอาไว้แน่นหนา กระทั่งยังห้ามไม่ให้เขาเปล่งเสียงใดออกมาได้!
“ศิษย์น้องเล็กของเจ้าให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ เจ้าอย่าได้โทษเขาเลย” หมิงคุนจื่อหันหน้า ใช้สายตาอบอุ่นมองหวังเป่าเล่อ ในแววตาแฝงประกายยอมจำนนและทอดถอนใจ หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองเฉินชิงจื่อ ความอบอุ่นอ่อนโยนล้วนหายไปสิ้นแล้ว ดวงตาแทนที่ด้วยความสับสน
เฉินชิงจื่อเงียบไปครู่ใหญ่ เขาไม่ได้มองหวังเป่าเล่ออีกแต่รักษาระยะห่างเอาไว้ประมาณร้อยจั้ง มองไปยังหมิงคุนจื่อพร้อมน้อมกายคำนับ เอ่ยปากออกมาค่อยๆ
“อาจารย์ ศิษย์ย่อมไม่อาจโทษศิษย์น้องเล็ก ส่วนคำถามของอาจารย์ก่อนหน้า ในใจศิษย์มีคำตอบแต่แรกแล้ว”
“ตัวศิษย์หลอมรวมกับเต๋าสวรรค์ แต่กลับไม่อาจไปจากดาราจักรโลกันตร์ได้นาน เหตุที่ถูกล่ามเอาไว้ในที่นี้ ส่วนใหญ่เลยเป็นเพราะไม่อาจแบกรับสสารของเต๋าสวรรค์ได้”
“ดังนั้น ศิษย์จึงต้องการซากจักรพรรดิแห่งความมืดเข้าสู่ร่าง เพื่อให้เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดเราสามารถสำแดงพลังเต็มที่ได้ อีกทั้งยังช่วยให้สำนักแห่งความมืดของเราออกจากดาราจักรโลกันตร์ได้ กลับเข้าสู่สังสารวัฏของโลกคนเป็น”
“ยังคงขอให้ท่านอาจารย์…ช่วยข้าให้สมปรารถนา” เฉินชิงจื่อกล่าวคำก่อนโน้มตัวลงเช่นเก่า
หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นสะท้าน คิดอยากเอ่ยคำพูดบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออก เขาไม่อาจแม้แต่ส่งกระแสจิต ทำได้เพียงมองเห็นศิษย์พี่ของตนนิ่งเงียบและถอนหายใจ จากนั้นก็หันหน้ามามองตนเองอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง ดวงตานั้นแฝงแววแน่วแน่และยิ่งกว่านั้นคือชื่นชม
ที่แน่วแน่เป็นเพราะตัดสินใจได้แล้ว ส่วนที่ชื่นชมนั้นก็เป็นเพราะได้พบตนเอง
ร่างกายของหวังเป่าเล่อกลับสะท้านหนักกว่าเก่า เขาได้ยินหมิงคุนจื่อ พึมพำเสียงเบา
“เฉินชิงจื่อ อาจารย์สามารถมอบซากจักรพรรดิแห่งความมืดให้แก่เจ้าได้ แต่ว่าข้ามีข้อแม้หนึ่งอย่าง ซึ่งเจ้าต้องตอบรับ!”
“อาจารย์โปรดกล่าว” เฉินชิงจื่อไม่ค้อมตัวอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองหมิงคุนจื่อ
“เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดรวมถึงผู้อยู่ใต้บัญชา ผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดรวมถึงตัวเจ้าเอง สามารถไปยังศิลาที่ถูกผนึกได้ สามารถไปทำสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมดได้ ทว่า…เจ้าไม่อาจทำร้ายศิษย์น้องเล็กของเจ้าแม้เพียงนิด หากวันใด เขาคิดจะไปที่โลกแห่งศิลา ห้ามตรวจสอบ ห้ามหยุดเขา ห้ามกักกันและห้ามรบกวนเขา!”
“หากเจ้าสามารถทำได้ วันนี้…อาจารย์จะช่วยให้เจ้าสมหวัง เป็นอย่างไร!” หมิงคุนจื่อเงยหน้า ดวงตาฉายประกายแสงพรั่นพรึงออกมาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะโชนแสงกลายเป็นคมปลาบ ประสานสายตากับดวงตาคู่นั้นของเฉินชิงจื่อ!