หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1206 ขั้นที่สาม!
กลางอวกาศนอกระบบสุริยะ เงาของเทพวัวขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่บนสายธารดวงดาวคล้ายสามารถค้ำยันความว่างเปล่าได้ ทำให้ทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายสั่นสะเทือนรุนแรง
แต่ที่มาของทุกอย่างนี้ไม่ได้มาจากเงาของเทพวัว ทว่ามาจากผู้ที่นั่งสมาธิอยู่บนหลังของมัน เขาสวมชุดคลุมยาวสีคราม เส้นผมปลิวไสว…หวังเป่าเล่อ!
สีฟ้าครามดุจก้อนเมฆ หมายถึงอิสระ
ผมยาวราวถนนหนทาง แต่ละเส้นร่ายรำพลิ้วไหว หมายถึงเสรี
คิ้วราวกับใบมีดคม นัยน์ตาแฝงดวงดารา ขณะที่กระแสเต๋าแพร่กระจายไปทั่วร่าง จักรพิภพอันเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลภายในร่างของเขาก็ยิ่งทำให้ร่างธรรมกายของหวังเป่าเล่อราวกับเหนือล้ำยิ่งกว่าเทพ กลายเป็นเทพเคารพสูงสุด
และในชั่วขณะที่เอ่ยออกมา คำพูดของเขาก็บรรลุถึงขั้นวาจาบัญญัติกฎไปแล้ว
พวกเจ้าไม่อิสระ!
ทันทีที่เอ่ยคำนี้ออกมา…กฎเกณฑ์และกฎเวทนับไม่ถ้วนนอกระบบสุริยะก็เปลี่ยนสภาพ พวกมันกลายเป็นเส้นสายพัวพันอยู่รอบทิศทางพร้อมกับถูกจัดเรียงแล้วรวมเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง
มันเรียงลำดับใหม่ตามมหาเต๋าของหวังเป่าเล่อและดวงจิตของเขาจนกลายเป็นพันธนาการ แล้วไปปรากฏอยู่บนร่างของผู้ฝึกตนทุกคน ตอนนี้เอง เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในที่แห่งนี้ก็ริบหรี่ลง พลังของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็สลายไป ณ ที่แห่งนี้เช่นกัน
มีเพียงมหาเต๋าของหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงนี้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!
นี่ไม่ใช่พลังที่จักรพิภพในโลกแห่งศิลาจะแสดงออกมาได้!
นี่คือพลังจักรวาลของโลกแห่งศิลา!
ไม่ว่าจะเป็นเต๋าเก้ารัฐหรือสำนักทั้งสี่ หรือว่าผู้ฝึกตนจากตระกูลและสำนักอื่นๆ ที่มาด้วยก็ตาม ชั่วขณะนี้ร่างกายของทุกคนต่างก็สั่นสะท้านรุนแรงขึ้นมา
ร่างกายของพวกเขาหนักอึ้งอย่างหาใดเปรียบขึ้นทันทีพร้อมกับพันธนาการที่ปรากฏขึ้น และเหมือนกับสิ่งบางอย่างที่เดิมเป็นของร่างกายของพวกเขาได้ถูกบังคับถอนออกไป ทำให้กายเนื้อของผู้ฝึกตนทั้งหมดในที่นี้กระตุกรุนแรงทันที ถึงขั้นที่แม้แต่การเคลื่อนไหวก็ยังช้าลง
นี่คือการกีดกั้นกายอันอิสระทั้งหมด กีดกั้นพลังของร่างกายทั้งหมด!
ยังไม่จบ
พวกเขาไม่เสรี!
เมื่อประโยคนี้ดังออกมา ก็คล้ายมีพายุมาเยือนยังอวกาศแล้วกวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้ความว่างเปล่าของอวกาศผืนนี้บิดเบี้ยวรุนแรง ทำให้เต๋าภายในร่างของผู้ฝึกตนทั้งหมดสั่นระริกแล้วถูกสยบเอาไว้โดยตรง คล้ายมีพันธนาการอีกอย่างหนึ่งเข้ามาผนึกวิญญาณเทพ ดวงจิต และประสาทสัมผัสของพวกเขาเอาไว้!
นี่คือการกีดกั้นจิตอันเสรีทั้งหมด กีดกั้นลมหายใจแห่งจิตวิญญาณทั้งหมด!
ตอนนี้พวกเขาขยับตัวไม่ได้ เคลื่อนไหวจิตก็ไม่ได้ สมองของผู้ฝึกตนทุกคนขาวโพลน ราวกับเวลาหยุดนิ่งอยู่บนร่างของพวกเขา จนกระทั่งเมื่อหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น กางฝ่ามือออก แล้วกำหมัดอย่างช้าๆ ไปยังความว่างเปล่า
ขณะที่เขากำหมัด อวกาศก็ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ความว่างเปล่าแตกสลาย ราวกับร่างกายของจักรพิภพหลายสิบคนที่ถูกผนึกเหล่านี้มีร่องรอยการแตกสลายปรากฏขึ้น เมื่อรอยร้าวหลายเส้นแพร่กระจายก็เหมือนพวกเขากำลังจะพังทลาย
เหมือนกับว่าฝ่ามือของหวังเป่าเล่อกลายเป็นอวกาศ และเมื่อเขากำหมัดนี้ก็จะบดขยี้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในที่นี้ได้
แม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นต้นอยู่เจ็ดแปดคน แต่ก็รับไม่ไหวแล้ว เพราะยังไม่ทันทีที่หมัดของหวังเป่าเล่อจะกำแน่นโดยสมบูรณ์ ร่างกายของพวกเขาก็ส่งเสียงดังอึกทึกขึ้นมาแล้วระเบิดพังทลายทันทีภายใต้การผนึกของพันธนาการทั้งสองอย่าง ขณะที่พวกเขาถูกฉีกแยกเป็นชิ้นๆ วิญญาณเทพก็แตกสลาย กายและวิญญาณถูกทำลายสิ้น
คนอื่นๆ ก็มีรอยร้าวบนตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่…ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็เป็นจักรพิภพ ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อย ในนั้นยังจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรอย่างชายชราชุดขาวอยู่ด้วย
ยิ่งกว่านั้นคือยังมีจักรพิภพชั้นปลายอีกสี่คน ดังนั้นในชั่วขณะนี้ เมื่อเห็นจักรพิภพเจ็ดแปดคนนั้นแตกดับ ร่างกายของชายชราชุดขาวก็สั่นสะท้านรุนแรงแล้วมีพลังแรงกล้าระเบิดออกมาจากในร่างของเขาทันที
เมื่อมันระเบิดออกมา ทั่วร่างของเขาก็คล้ายลุกไหม้ คาดไม่ถึงว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ เขาเลือกที่จะแผดเผาพลังฝึกตนและวิญญาณเทพของตัวเอง จากนั้นจึงเพิ่มพลังฝึกตนขึ้นมาในพริบตาเพื่อขืนตัวหลุดพ้นออกจากพันธนาการเต๋าของหวังเป่าเล่อ ปากก็ร้องคำรามโหยหวนออกมาด้วย
“ทุกท่าน ยังไม่แผดเผาเต๋าของทุกสำนักอีก อยากตายอยู่ที่นี่หรืออย่างไร!”
พริบตาที่คำพูดนี้ของเขาดังออกมา โซ่เก้าเส้นที่เกิดจากมหาเต๋าของเต๋าเก้ารัฐก็ลุกไหม้ทันที พวกมันตรงเข้าไปพัวพันธรรมกายที่หวังเป่าเล่ออยู่
เวลาเดียวกันนั้น ผู้อาวุโสระดับจักรพิภพชั้นปลายทั้งสี่คนจากสี่สำนักก็ตระหนักได้ว่านี่คือวิกฤตชีวิต เมื่อเห็นชายชราชุดขาวลุกไหม้ พวกเขาจึงพากันกัดฟันระเบิดพลังฝึกปรือภายในร่างออกมาราวกับเปลวเพลิง เลือกที่จะแผดเผาแล้วฝืนกระตุ้นเงาเต๋าของสำนักตน ทำให้หม้อใหญ่ สะเก็ดดาว ขวานแยกฟ้าและยักษ์เผาไหม้ขึ้นมาตามๆ กัน
ขณะที่เกิดการลุกไหม้ ยามที่เสียงร้องของผู้อาวุโสจากสี่สำนักเหล่านี้ดังโหยหวนไปทั่วทั้งแปดทิศ หม้อใหญ่ก็กระแทกไปหาหวังเป่าเล่อ สะเก็ดดาวพุ่งเข้าไป ขวานแยกฟ้าฟันลงไปข้างกายหวังเป่าเล่อทันที ยักษ์ตนนั้นคำรามสะเทือนอวกาศแล้วกระแทกร่างของเขาเข้าไปโดยตรง!
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น เมื่อมหาเต๋าของห้าสำนักใหญ่ลุกใหม่และเข้าไปบดขยี้หวังเป่าเล่อพร้อมกัน ตอนนี้ทางทิศทั้งห้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ทั้งห้าทิศนั้นก็คือที่ตั้งของห้าสำนักใหญ่ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเต๋าเก้ารัฐด้วย
ห้าสำนักใหญ่นี้ต่างกำลังให้ความสนใจกับสถานที่แห่งนี้อยู่ เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อลงมือและผู้ฝึกตนฝั่งตนกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร ถึงอย่างไรนั่นก็คือกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเบื้องหน้าของพวกเขาเชียวนะ
ดังนั้นในพริบตาต่อมา พลังเบื้องหลังของห้าสำนักใหญ่จึงระเบิดออกมาทันที แต่ละแห่งก่อตัวเป็นแสงดาวพร่างพราวสายหนึ่งซึ่งบรรจุท่อนแขนซึ่งมีกระแสเต๋าไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ พวกมันทะลวงความว่างเปล่าจากทั้งห้าทิศมาปรากฏขึ้นบนสนามรบด้านนอกระบบสุริยะโดยตรง ไม่ได้เข้าไปปะทะกับหวังเป่าเล่อ แต่คว้าจับผู้ฝึกตนของสำนักตัวเองแล้วล่าถอยอย่างรวดเร็ว
“ระบบสุริยะไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป” ร่างธรรมของหวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ ไม่สนใจมหาเต๋าจากแต่ละสำนักที่โจมตีมาหาตน ร่างกายเขาพร่าเลือนทันทีแล้วสลายหายไปในพริบตา เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาก็ไปอยู่ที่ไกลๆ แล้ว เขายกมือขวาขึ้นกำหมัด พลังของกายเนื้อ ดวงวิญญาณเทพ และพลังของการฝึกตนผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งหมัด แล้วพุ่งชกไปยังท่อนแขนทั้งห้าของแสงดาวที่เกิดจากพลังเบื้องหลังของห้าสำนัก ซึ่งหลังจากช่วยเหลือคนแล้ว พวกมันก็กำลังล่าถอยจากไปอย่างรวดเร็วทันที!
ท่อนแขนทั้งห้าสั่นสะเทือน พริบตาต่อมาแต่ละท่อนก็เข้ามาผสานด้วยกันโดยไม่ลังเล ก่อนก่อตัวเป็นฝ่ามือที่แพรวพราวยิ่งกว่าเดิม ขณะที่หมัดของหวังเป่าเล่อชกเข้ามา มันก็ตบลงไปทางเขาตรงๆ
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น หมัดของหวังเป่าเล่อปะทะกับฝ่ามือซึ่งเกิดจากการรวมพลังเบื้องหลังของห้าสำนัก
อวกาศสั่นสะเทือน มหาเต๋ากู่ร้องลั่น ฝ่ามือนี้สั่นไหวรุนแรง ผู้ฝึกตนจากแต่ละสำนักในนั้นกระอักเลือดออกมาทั้งหมด และมีอย่างน้อยสามส่วนที่กายเนื้อพังทลาย วิญญาณเทพแตกสลาย ร่างวิญญาณก็ถูกทำลายสิ้นท่ามกลางการสั่นสะเทือน
แต่หลังจากพลังเบื้องหลังของห้าสำนักผสานรวมกันแล้วก่อตัวเป็นมือยักษ์นั้น ตัวของมันก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญจริงๆ ตอนนี้กำลังถดถอยอย่างรวดเร็วท่ามกลางการสั่นสะเทือน แม้ว่าแต่ละสำนักจะมีผู้เสียชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังรักษาคนไว้ได้มากกว่าครึ่ง เมื่อล่าถอยไป ภายในพริบตาพวกเขาก็จมหายไปในอวกาศทันที
ทางหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ทอดมองไปยังอวกาศอันไกลโพ้น เพราะก่อนหน้านี้ร่างธรรมของเขาเคลื่อนไหวอย่างพร่าเลือน ดังนั้นมหาเต๋าที่ลุกไหม้ของแต่ละสำนักซึ่งเขาเลี่ยงการโจมตีได้ก็พุ่งมาหาตัวเขาอย่างรวดเร็วเพื่อบดขยี้อีกครั้ง
โซ่ หม้อใหญ่ ยักษ์ ขวานแยกฟ้า และสะเก็ดดาว ผสมด้วยกลิ่นอายอันสะเทือนฟ้าและการแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏขึ้นจากทั้งสี่ทิศ แต่ขณะที่พวกมันกำลังจะสัมผัสตัวหวังเป่าเล่อนั้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมาก่อน
“จันทร์ข้างแรม!”
ทันใดนั้นวิชาจันทร์ข้างแรมก็ถูกใช้ทันที เต๋าแห่งจันทร์ข้างแรมคือกาลเวลา ทั้งยังไม่ได้เป็นของโลกแห่งศิลาอีกด้วย ด้วยพลังฝึกปรือระดับจักรพิภพในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อแล้ว ตอนนี้เมื่อใช้มันออกมา กาลเวลาจากสี่ทิศรอบๆ ก็ไหลย้อนกลับกะทันหัน ทันทีที่ไหลย้อนกลับไปหลายสิบอึดใจนั้น มหาเต๋าจากแต่ละสำนักที่แผดเผาอยู่รอบด้านก็ได้รับผลกระทบแล้ว พวกมันถอยกลับมาจากสภาวะลุกไหม้ในพริบตา ย้อนเวลากลับไปทีละตนๆ
แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะหนีไปได้ เมื่อหวังเป่าเล่อยกมือขึ้น เขาก็บดขยี้สิ่งที่แปลงมหาเต๋าของห้าสำนักไว้ทั้งหมด โยนไปยังจุดขาดหายของแผ่นเลื่อนระดับโลกาที่ได้ดาราจักรไฟมาช่วยเสริมช่องว่างไว้แล้วปิดผนึกทันที ทำให้จุดขาดหายนั่นส่งเสียงดังก้อง แรงต้านของดาราจักรไฟลดลงอย่างมากเพราะถูกมหาเต๋าของห้าสำนักมาแทนที่ได้ไม่ใช่น้อย
จากนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มส่วนขาดหายแห่งใหม่!
ภาพนี้สั่นสะเทือนผู้ฝึกตนภายในระบบสุริยะที่ให้จดจ่อกับการรบครั้งนี้มาก ทั้งยังสั่นคลอนหมื่นสำนักและตระกูลของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายที่ทอดมองมายังที่แห่งนี้ และยิ่งทำให้กลุ่มอิทธิพลภายในจักรพิภพสำนักเสริมมากมายที่สังเกตการณ์ที่แห่งนี้อยู่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“นี่ไม่ใช่จักรพิภพแล้ว!!”
“พลังแห่งจักรพรรดิสวรรค์!!”
“นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้!!”
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่มีอาการเช่นนี้เท่านั้น ตอนนี้หลังจากเห็นภาพทั้งหมด แต่ละสำนักและตระกูลภายในจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นและตระกูลไม่รู้สิ้นก็มีคลื่นยักษ์ซัดสาดอยู่ในใจ ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งภายในนั้นลืมตาขึ้นมาขณะที่ยังนั่งสมาธิ รูม่านตาของเขาหดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
“นี่คือ…ขั้นที่สามที่แท้จริงหรือ”
แม้เป็นสถานที่ที่ไกลออกไป อย่างภายในนพภูมิ สายตาคู่หนึ่งก็คล้ายจะมองทะลุทุกสิ่งอย่างมายังที่แห่งนี้เช่นกัน
………………………………………