หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1211 ฟื้นตื่น
“ข้า…ได้สติ…” จื่อเยว่ร่างกายสั่นสะท้าน มองฝ่ามือตรงหน้า มองไปยังเงาร่างพร่ามัวเบื้องหลังฝ่ามือที่กลับคล้ายแฝงไว้ด้วยการบีบคั้นจากสวรรค์ จิตใจสั่นไหวเป็นระลอก
ราวกับคำพูดของหวังเป่าเล่อเป็นดั่งก้อนหินใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งที่ตกลงไปในทะเลใจของนางจนเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้น และขณะที่มันดูดกลืนนาง ก็ได้พัดภาพเหตุการณ์มากมายที่ฝังไว้ในความทรงจำส่วนลึกขึ้นมา กระหน่ำในจิตใจ
นางเห็นร่างของตัวเอง เป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งที่วางอยู่บนชั้น เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งในห้องเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง ไร้ชีวิต ไร้ลมหายใจ ไร้ความรู้สึกนึกคิด ถึงขนาดตัวนางเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มมีจิตสำนึกตั้งแต่เมื่อใด
นางรู้แค่เพียง ตัวเองจับจ้องเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง และสิ่งที่จับจ้องในเวลาเดียวกัน ยังมีของเล่นชิ้นอื่นๆ ด้วย เช่น วานรเฒ่าตัวหนึ่ง เสือน้อยตัวหนึ่ง
พวกมันต่างกำลังจ้องมอง จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กหญิงตัวน้อยพาพวกมันเข้าไปในโลกที่วาดขึ้น
ดังนั้น พวกมันจึงได้มีชีวิตขึ้นจริงๆ ในโลกที่วาดขึ้นนั้นกลายเป็นดวงจิตเทพในระยะแรกสุด…แต่ไม่เหมือนกับดวงจิตเทพอื่นๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ณ ที่แห่งนี้นางมักจะรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ตัวคนเดียวนานเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะเงาร่างในเวลานั้น สายตานั้น คำพูดนั้น ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นนางจึงรู้สึกหวาดระแวง
นางมักจะกังวลว่าสักวันหนึ่งตนจะถูกลบเลือน ดังนั้นภายใต้ความกลัวจึงมอบขนของตัวเองให้แก่ทุกคนที่นางคิดว่าสามารถปกป้องชีวิตของนางได้ นิสัยนี้ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปสักกี่หน จักรวาลจะเริ่มต้นใหม่อีกกี่ครา ตัวนางก็ยังเป็นเช่นเดิม
ส่วนที่ไม่เหมือนกับวานรเฒ่า นางกับเสือน้อย เข้าสู่การเวียนว่ายอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้
จากนั้น ทุกครั้งที่ฟื้นขึ้นมาอย่างโง่เขลาเบาปัญญา นางลืมเรื่องราวในอดีตไปมากมาย ลืมเหตุการณ์ต่างๆ ไปมากมาย สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือตัวเองในจักรวาลแห่งนี้รู้สึกไม่ปลอดภัย สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือนิสัยที่เคยชิน
ดังนั้น จึงมีเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า
นางนึกออกแล้ว เคล็ดวิชานี้…ไม่ใช่นางฆ่าคนรักของนางแล้วได้รับมา แต่เป็นวิชาเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล ก็คือวิชาสืบทอดจากจุดค้นพบอันลึกลับ ส่วนจุดค้นพบแห่งนั้น…นางไม่รู้ว่าเป็นถ้ำที่พักจากชาติไหน
เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า? เดิมทีก็เป็นนางสร้างขึ้นมา
“ข้านึกออกแล้ว…” จื่อเยว่พึมพำ ตั้งแต่นางเข้ามายังจักรวาลแห่งนี้ ได้ฟื้นตื่นขึ้นมาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้ นึกความทรงจำขึ้นได้ทั้งหมด
“เจ้า…ก็คือคนในเวลานั้น หรือก็คือกวางขาวน้อย ทั้งในห้องเจ้าของ วิญญาณตนนั้นที่เคยผลักประตูออกไป!” จื่อเยว่ก้มหน้าลง ละทิ้งการต่อต้านใดๆ เอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด
หวังเป่าเล่อมองจื่อเยว่เงียบๆ เก็บมือขวากลับ ยืนอยู่ตรงหน้าจื่อเยว่ หลังจากมองไปรอบด้าน ก็เอ่ยขึ้นอย่างสงบ
“ในเมื่อเจ้าจำเรื่องราวในอดีตชาติได้แล้ว เช่นนั้นจะยอมให้ข้าสักสามสิบปีได้หรือไม่?”
“แค่สามสิบปี?” จื่อเยว่ตกตะลึง เงยหน้ามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เดิมนางคิดว่าครั้งนี้ตนต้องตายแน่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งความทรงจำที่ฟื้นกลับมายิ่งทำให้นางไม่มีความคิดต่อต้านใดๆ อีก เพราะนางรู้ว่า หากเป็นคนอื่นบางทีนางอาจจะดิ้นรนได้อีกหน่อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ ตนก็ไม่มีพลังความสามารถใดเลย
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้
“อีกร้อยปี ข้าจะให้เหตุผลเจ้า” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเนิบนาบ จื่อเยว่ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย หวังว่าหลังจากเผาไหม้อีกครั้ง นางเพ่งมองหวังเป่าเล่อคราหนึ่งก่อนก้มหน้าลง
“เหตุใดต้องเป็นร้อยปี?”
หวังเป่าเล่อไม่ตอบ เพียงยืนอยู่ตรงนั้น มองจื่อเยว่อย่างสงบ แววตาของเขาทำให้จื่อเยว่เงียบงันไปอึดใจ หลังจากถอนหายใจเบาๆ มือขวานางยกขึ้นคว้าจับอากาศ ในพริบตาชีวิตหนึ่งที่ถูกนางแยกออกไป ภายในซากปรักพังในเขตวงแหวนที่ห่างไกล ปรากฏตัวจากเม็ดฝุ่นเม็ดหนึ่งกลายเป็นหมอกสีม่วงเข้มข้น ส่งเสียงหวีดหวิวมายังที่แห่งนี้ เข้ามาใกล้ก็หมุนวนอยู่รอบๆ
คล้ายกำลังลังเล ส่วนสีหน้าหวังเป่าเล่อยังคงปกติ ไม่ได้เร่งรัดราวกับมีความอดทนมากพอที่จะรอ จวบจนหมอกสีม่วงนี้วนครบสามรอบแล้ว ตัดสินใจเสร็จก็ลอยเข้ามาในทันทีพร้อมหลอมรวมเข้าไปในร่างจื่อเยว่ ทำให้ร่างกายนางดูจับต้องได้ยิ่งกว่าเดิมในพริบตา กระแสปราณและลมปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไม่น้อยเลยทีเดียว
“รับบัญชา” เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จื่อเยว่จึงตอบรับเสียงเบา
หวังเป่าเล่อยังคงนิ่งเงียบ แววตาที่จ้องมองจื่อเยว่ยังคงสงบเหมือนเดิม ด้านจื่อเยว่ก็เงียบงันอีกครั้ง อึดใจถัดมานางกัดฟันอย่างรุนแรง ผนึกมุทราขึ้น ภายใต้สายตากดดันอย่างยิ่งยวดของหวังเป่าเล่อนี้ ไม่นานชีวิตที่สามที่นางปล่อยออกไปแอบซ่อนในอากาศก็ถูกจื่อเยว่เรียกกลับมาหลอมรวมเข้าร่างอย่างห้ามไม่ได้
กลิ่นอายของนางยิ่งแข็งกล้าขึ้น ดวงวิญญาณเทพของนางสมบูรณ์อย่างแท้จริง
นางไม่กล้าเดิมพัน ยิ่งต่อหน้าหวังเป่าเล่อ นางไม่คิดว่าตนจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ เพราะว่านั่นคือจิตมารของนาง ในเวลาเดียวกันเวลาร้อยปีก็สั้นนัก นางเชื่อว่าหวังเป่าเล่อจะไม่หลอกลวง จึงยิ่งไม่กล้ามีความคิดแอบแฝง ดังนั้นภายใต้การจับตาดูของหวังเป่าเล่อ ในที่สุดนางก็ดึงชีวิตทั้งสองที่แบ่งกระจายออกไปกลับมา
ในตอนนี้เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว จื่อเยว่สูดลมหายใจลึก โค้งคำนับไปยังหวังเป่าเล่อ
“ไปเถอะ” หวังเป่าเล่อเก็บสายตากลับ ไม่ได้สะกดอะไรนาง หมุนกายก้าวไปข้างหน้า แต่ยิ่งเขาไม่สะกด จื่อเยว่ก็ยิ่งไม่กล้ารีบร้อน เดินตามหลังเขาไปเงียบๆ เมื่อเขาเดินออกจากศูนย์กลางแห่งนี้ เดินออกจากวงแหวนแต่ละวง กระทั่งออกจากห้วงเหวย้อนกลับ ใต้เท้าของหวังเป่าเล่อก็ผุดระลอกคลื่นขึ้น
ขณะที่ระลอกคลื่นกระจายตัวออกไป ด้านในก็ปรากฏระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อกำลังจะกระโดดลงไปในนั้น ทว่าจื่อเยว่พลันลังเล เอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์พี่ วานรเฒ่าอยู่ที่ดาวเคราะห์ชะตาหรือเปล่า เขายังสบายดีอยู่ไหม แล้วก็ศิษย์พี่พอรู้ไหมว่าเสือน้อยอยู่ที่ใด?”
“วานรเฒ่าสบายดี เสือน้อยข้าก็รู้ ก็ดีเหมือนกัน” หวังเป่าเล่อตอบเสียงเรียบ ก้าวเข้าไปในระลอกคลื่น จื่อเยว่เพ่งมองระบบสุริยะในระลอกคลื่น จ้องมองดวงจันทร์ข้างใน ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่งพลางเดินเข้าไป
พริบตาต่อมา ภายในระบบสุริยะ ขณะที่ระลอกคลื่นบิดวน เงาร่างของหวังเป่าเล่อกับจื่อเยว่ หนึ่งหน้า หนึ่งหลัง ก็เดินตามกันออกมา
“ศิษย์พี่จะให้ข้าทำอะไร…” เมื่อถึงที่นี่ แววตาจื่อเยว่ฉายแววซับซ้อน หันมองไปทางดวงจันทร์อยู่บ่อยครั้ง
“ให้เจ้าไปสะกดช่องโหว่ของแผ่นเลื่อนระดับโลกา”
“ระหว่างสะกด ข้าออกจากที่นั่นไม่ได้ใช่หรือไม่?”
“ใช่” หวังเป่าเล่อพยักหน้า
“ศิษย์พี่ ให้เวลาข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้า…ข้าอยากไปดวงจันทร์สักหน…” จื่อเยว่เอ่ยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อจ้องมองจื่อเยว่ครั้งหนึ่งก่อนพยักหน้า ใบหน้าจื่อเยว่เผยความซาบซึ้ง หลังจากโค้งคำนับหวังเป่าเล่อก็หมุนกายไปยังดวงจันทร์ทันที เดิมทีนางก็ฝึกฝนจนไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ตอนนี้เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็ข้ามผ่านท้องฟ้ามาถึงใกล้ดวงจันทร์
ถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่านางลังเล นิ่งเงียบอยู่นานถึงค่อยก้าวไปทางดวงจันทร์ทีละก้าว กระทั่งเดินถึง…ศพขนาดยักษ์ที่ดวงจันทร์นั่น หรือก็คือถ้ำที่สามีในชาตินี้ของนางอยู่
แต่เดิมถ้ำเงียบสงบ ศพยักษ์หลับลึก ไม่เคยฟื้นตื่น ทว่าพริบตาที่จื่อเยว่เข้าใกล้ ราวกับมีปฏิกิริยาขึ้นในความวังเวง ส่วนลึกสุดของถ้ำ ดวงตาศพยักษ์นั้นราวกับจะลืมตาขึ้น ส่งเสียงคำรามอัดอั้นขึ้นอย่างไร้สติ อีกทั้งเสียงนี้ยิ่งคำรามยิ่งรุนแรงจนถึงขั้นแผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือน
เห็นได้ชัดว่าศพยักษ์นี้ใกล้จะตื่นขึ้นแล้ว คล้ายยังมีพายุพัดหมุนออกมาจากในถ้ำกวาดไปทั่วบริเวณ
ฟังเสียงคำราม รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน จื่อเยว่เงียบงัน อึดใจต่อมาจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ
“อภัยให้ด้วย”
เมื่อคำพูดของนางลอยออกมา พื้นดินไม่สั่นสะเทือนอีก เสียงคำรามหยุดลง กระแสคลื่นไม่แผ่ขยาย เนิ่นนานผ่านไป มีเพียงเสียงตอบรับที่ทอดถอนใจอย่างขมขื่นออกมาจากถ้ำ
“เจ้าไปซะ ชาตินี้…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีก”
……………………………………….