หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1229 เงาจันทร์สังหาร!
เมื่อวิชาจันทร์ข้างแรมปรากฏสู่สายตาจักรพรรดิสวรรค์ ความลึกลับมหัศจรรย์ของมัน ทำให้สุสานวิญญาณที่หนีไปไกลแล้วแต่ยังไม่ละสายตาไปจากสนามรบนี้สีหน้าเปลี่ยนไป
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ตี้ซานก็เช่นกัน ในเวลานี้เผยสีหน้าเครียดขึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย มารเต๋าแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ และปรมาจารย์ของเต๋าเก้ารัฐที่จับตามองอยู่
คนเหล่านี้ที่อยู่แถวหน้าในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ในนาทีนี้ต่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ถึงอย่างไรคนหยางเต๋าก็ไม่อ่อนแอ สามารถสู้กับระดับจักรวาลได้ แม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่หากจะให้ทำให้สาหัสหรือถึงขั้นฆ่าให้ตาย สำหรับระดับจักรวาลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงขนาดที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่พอฟัดพอเหวี่ยงเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้…เต๋าจันทร์ข้างแรมที่หวังเป่าเล่อ เผยให้เห็นกลับมีพลังน่าอัศจรรย์ ถึงขนาดให้ความรู้สึกราวกับกาลเวลาอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ เพียงแค่ขยับไปตามใจ ก็ทำให้ร่างกายของคนหยางเต๋าคล้ายกับถูกควบคุม การสั่งการ…ส่งไปยังหน้านิ้วของหวังเป่าเล่อ
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น คนหยางเต๋าส่งเสียงคำรามลั่นฟ้า ในพริบตาก็ปรากฏเขาสีดำโค้งสองเขาขึ้นบนหัว ราวกับจะขัดขืน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นระดับจักรวาล แม้ตอนนี้จะดูเหมือนไม่พอ แต่ในขณะที่เกิดเสียงดังสนั่นสะท้อนขึ้น เขาทนต่ออาการบาดเจ็บกระอักเลือด ทนต่อเขาสีดำที่ออกมาจากรอยแตก ท้ายที่สุดก็ยังคงต้องถอยออกไปจากสนามรบอย่างฝืนทน ถอยออกไปสิบลี้ในพริบตา
ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ เคลื่อนย้ายในพริบตา หนีไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยังคงสร้างความสั่นสะท้านในแก่ผู้คนอย่างมากมาย ถึงอย่างไรนี่…ก็เป็นชนชั้นสูงที่มีพลังระดับจักรวาลที่มีอยู่ในตอนนี้ และคนชั้นสูงแบบนี้…ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เพียงแค่นิ้วเดียว…กลับไม่กล้าสู้ต่อแล้ว
แม้นิ้วนี้จะแฝงเล่ห์เหลี่ยม แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า…หวังเป่าเล่อยังมีเล่ห์กลอะไรอีกหรือไม่ ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นพลังระดับจักรวาลคนไหนก็มีเคล็ดวิชาลับด้วยกันทั้งนั้น
“หวังเป่าเล่อ! ”นัยน์ตาตี้ซานฉายรังสีฆ่าฟัน ไหวร่าง พยายามสลัดเส้นใยเต๋าธาตุไม้ คิดจู่โจมหวังเป่าเล่อ แต่พริบตาที่หวังเป่าเล่อโบกมือ ก็มีเส้นใยจำนวนมากขึ้น ขณะที่กำลังพันรัด เงาร่างของเขาก็พลันหายไปอีกครั้ง ปรากฏตัวอีกครั้ง…อยู่ที่ข้างปรมาจารย์เยาถงที่ถอยห่างออกไป
“เป็นเจ้าที่ขานชื่อข้า? ”หวังเป่าเล่อน้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อลอยเข้าหูของเยาถงก็ราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ขณะที่นางหน้าซีดเผือด ร่างกายส่งเสียงดัง กลายเป็นหมอกมารถอยหลังออกไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่ลังเล
ขณะที่ไอหมอกหมุนวน ก็ราวกับเห็นดวงตาข้างหนึ่งซ่อนอยู่ข้างใน ที่เวลานี้เต็มไปด้วยเส้นเลือด ราวกับสายตาสามารถมองทะลุได้ ทำให้ท้องฟ้าระหว่างหวังเป่าเล่อกับหมอกมารพังครืน และเมื่อพังถล่มลงมา เส้นเลือดในดวงตาก็มากขึ้นเท่าทวี คาดไม่ถึงว่าขณะที่ถอยหลัง ก็จะสลายหายไป ราวกับตกลงไปในกาลเวลา หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
หวังเป่าเล่ออุทานอย่างแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าในโลกแห่งศิลายังสามารถใช้วิชากาลเวลาอะไรทำนองนี้ได้ด้วย ในใจก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ไม่ใช้วิชาจันทร์ข้างแรม แต่กลับยกมือขวาขึ้นกดลงไปยังจุดที่เยาถงหายตัวไปเบาๆ
เวทแห่งเงาจันทร์พลันปรากฏ เพียงพริบตาก็ราวกับหยดน้ำหล่นลงสู่ผิวน้ำ เกิดเป็นระลอกกระจายไปทั้วทั้งสี่ทิศ พริบตาเดียวนับร้อยปี และหวังเป่าเล่อก็ก้าวเท้าเช้าไปในระลอกคลื่น
ร้อยปีก่อน ในท้องฟ้าใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ปรมาจารย์เยาถงกำลังควบม้า พริบตาต่อมาเงาร่างหวังเป่าเล่อก็เดินออกมา หนึ่งนิ้วจรดลง ฟ้าถล่มดินทลาย
สองร้อยปีก่อน ปรมาจารย์เยาถงกำลังถือสันโดษ แต่เพียงพริบตาสีหน้านางก็เปลี่ยนไป อยากจะหลบก็สายไปแล้ว มือข้างหนึ่งที่โผล่ออกมาจากอากาศกดลงบนหว่างคิ้วนาง
ห้าร้อยปีก่อน…
สามพันปีก่อน…
แปดพันปีก่อน…
สองหมื่นปีก่อน…
“เจ้าเป็นใคร! ”ในสายน้ำกาลเวลา เยาถงที่ยังไม่ถึงขั้นกึ่งระดับจักรวาลส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ตรงหว่างคิ้วนางมีนิ้วอันหนึ่งที่กำลังดึงดวงตาสีเลือดดวงหนึ่งออกมาจากหว่างคิ้วนาง
ท่ามกลางความน่าเวทนา เวลาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง มาสู่จักรวาลสำนักแห่งความมืด มาจนถึงช่วงต้นของการกำเนิดจักรวาลผืนนี้ ในฐานะที่เป็นซากดวงตาที่จักรวาลยุคก่อนทิ้งไว้ เดิมลอยล่องอยู่ในท้องฟ้า พลังชีวิตข้างในกำลังจะฟื้นตื่น แต่นาทีต่อมา มีมือข้างหนึ่งออกมาจากท้องฟ้า คว้าจับดวงตาดวงนี้ไว้ในมือ
กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อแผ่ออก สะเทือนไปทั่วสารทิศอีกครั้ง
ผู้ที่เฝ้ามองศึกครั้งนี้ต่างเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในจิตใจ ถึงขนาดที่มีคนลุกขึ้นยืน เวลาล่วงผ่านไปยี่สิบลมหายใจ
ดูเหมือนยี่สิบลมหายใจ แต่ในความเป็นจริง…ในกาลเวลาได้ผ่านไปนานแสนนานแล้ว
และเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ก่อขึ้นใหม่จากความเลือนลาง เงาร่างยังคงเดิม ท่าทางยังคงเดิม มีเพียงในมือ…มีดวงตาที่แผ่กลิ่นอายโบราณเพิ่มขึ้นมา
และเบื้องหน้าเขา…เดิมจุดที่ปรมาจารย์เยาถงหนีไป ในเวลาพลันบิดเบี้ยว ปรมาจารย์เยาถงไปและกลับมา พอปรากฏกายขึ้นก็กระอักเลือดคำโต มองไปทางหวังเป่าเล่อราวกับเห็นผี หากเป็นคนอื่น บางทีอาจจะยังไม่เข้าในว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองด้วยซ้ำ
ทว่า เดิมนางก็ฝึกเต๋าแห่งกาลเวลา ดังนั้นในเวลานี้ย่อมรู้ถึงความน่ากลัวของหวังเป่าเล่อและสิ่งที่ตนเจอมาอย่างดี นาง…ที่ในสายน้ำแห่งกาลเวลาถูกหวังเป่าเล่อฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ช่วงต้นของจักรวาลผืนนี้ ดวงจิตของตัวเอง ในนาทีที่ยังกำเนิดไม่สมบูรณ์ ก็ถูกคนตรงหน้านี้เอาไป
หากแค่เอาไปก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เกิดอยู่ที่กาลเวลา แต่ดัน…ถูกหวังเป่าเล่อพามายังยุคนี้เสียได้ ดวงตาที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ก็คือแก่นสำคัญของตัวเอง
และแก่นสำคัญของตนแต่เดิม…ในเวลานี้กลับกลายเป็นภาพมายา ราวกับเมื่อเทียบกันแล้ว แก่นสำคัญของตนเป็นของปลอม
ในนั้นแฝงไว้ด้วยเต๋าแห่งกาลเวลาที่ทั้งลึกซึ้งและซับซ้อนมาก ที่แม้แต่นางก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ รู้สึกเพียงว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้าน่ากลัวอย่างที่สุด
“ทั้งเรียกขานชื่อข้า ทั้งยังมีความสามารถอยู่บ้าง งั้นก็เป็นสาวรับใช้ข้าแล้วกัน ”หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างสบายๆ พลางเล่นดวงตาในมือ
ปรมาจารย์เยาถงนิ่งเงียบ ก้มหน้าอย่างจำนนก่อนก้าวไปคำนับ
“คารวะคุณชาย ”
คล้ายกับทำเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ หวังเป่าเล่อไม่สนใจเยาถง แต่เงยหน้ามองไปทางตี้ซานที่ในเวลานี้สลัดหลุดจากเส้นใยเต๋าธาตุไม้ออกมาแล้ว
อันที่จริง ตี้ซานหลุดออกมาตั้งนานแล้ว แต่เต๋าแห่งกาลเวลาของหวังเป่าเล่อทำให้ลึกๆ ในใจเขาเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรงขึ้น จึง…ไม่ลงมือ
แม้ตัวเองจะเป็นระดับจักรวาล และอีกฝ่ายจะเป็นกึ่งระดับจักรวาล แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าตัวเอง…ไม่มั่นใจ!
พูดให้ถูกก็คือ ไม่มั่นใจเลยสักนิด!
“สหายตี้ซาน ระหว่างเจ้ากับข้า ต้องสู้สักรอบไหม? ข้ามาที่นี่เพื่อเอาคำอธิบาย “หวังเป่าเล่อเอ่ยเรียบๆ
ตี้ซานนิ่งเงียบ อึดใจต่อมาความว่างเปล่าด้านหลังบิดเบี้ยว พลันปรากฏเงาร่างหนึ่งเดินออกมา…จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง!
หลังจากเขาปรากฏตัวขึ้น ก็มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยแววตาหวาดกลัวเช่นกัน
แต่วินาทีถัดมา นักบุญมืดระดับจักรวาลของสำนักแห่งความมืดพลันปรากฏตัวขึ้นจากที่ไกลๆ จากนั้นสุสานวิญญาณที่หลบการต่อสู้ค่อยๆ หรี่ตาลง ก่อนระเบิดพลังในสนามรบ
เพียงเวลาสั้นๆ กวงหมิงก็ดี ตี้ซานก็ช่าง ก็ได้แต่นิ่งเงียบ
อึดใจต่อมา นัยน์ตาตี้ซานเผยแววเย็นเยียบ มองไปทางหวังเป่าเล่อพลางเอ่ยออกมาช้าๆ
“สหายหวัง ข้าอยากจะดู พลังเทพอันอื่นของเจ้า”
“สมปรารถนาเจ้า! ”หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ นิ้วมือขวาทั้งห้าคลายออก ดวงตะวันดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในฝ่ามือเขาลางๆ และทั่วท้องฟ้าทุกสารทิศ…สว่างไสวขึ้นในพริบตา แต่ในความรู้สึกของทุกคน พริบตานี้…กลับกลายเป็นความมืดมิด!
มีเพียงเสียงของหวังเป่าเล่อที่ลอยออกมาเนิบๆ ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“คืนพินาศ”
…………………………