หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1242 เสวียนหัวผู้น่าเศร้า
เสวียนหัวรู้สึกว่าตนช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไประบบสุริยะ ณ เต๋าฝั่งซ้ายเพื่อทดสอบดูพลังที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองได้พบกับภัยพิบัติถึงตายของชีวิตนี้แล้ว
ภัยอันตรายนี้ยิ่งใหญ่มากจนทำให้จิตใจของเขาพังทลาย
เมื่อได้รับอิทธิพลจากเต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อ ภายในร่างกายของเขาก็เกิดจิตมารขึ้น ถ้าหากมารนี้เป็นสายนอกรีตก็ดี มันยังพอมีวิธีแก้ไข แต่จิตมารนี้ดันไม่ใช่สายนอกรีต มันมีอิทธิพลต่อจิตใจและสติปัญญาของเขาไม่หยุดยั้ง ทำให้เขาเริ่มจะเกิดความคิดเคารพบูชาหวังเป่าเล่อขึ้นมา
ความคิดนี้แรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตัวของเสวียนหัวเองก็สังเกตเห็น เพียงแค่ดำเนินอยู่นานกว่าหนึ่งก้านธูป แต่ตนก็ไม่อาจใช้พลังทั้งหมดสยบเอาไว้ได้ จากนั้น…ตนในอีกหนึ่งก้านธูปต่อมาก็อาจจะไม่ใช่ตัวเขาในตอนนี้อีกแล้ว
ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง ดวงวิญญาณเทพไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง เขาใกล้จะพุ่งออกจากตระกูลไม่รู้สิ้นโดยไม่สนอะไรเพื่อไปหาหวังเป่าเล่อและคุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายได้เลยด้วยซ้ำ
แค่ต้องการเพียงหนึ่งประโยคของอีกฝ่าย ต่อให้เขาให้ตนไปตาย ตนก็ไม่มีความลังเลสักนิดและจะดำเนินการทันที…เพราะว่าการมีอยู่ของอีกฝ่ายก็คือต้นกำเนิดเต๋าของตน เงาร่างของอีกฝ่ายก็คือทั้งหมดในชีวิตนี้ของตน
เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกักตน ไม่ได้ต่อต้านมันทุกเวลา แต่การก่อกำเนิดของเต๋าธาตุน้ำและการทะลวงพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อก็ทำให้จิตใจของเขาแทบจะสูญสลาย แม้ว่าจะถูกจีเจียและกวงหมิงสยบเอาไว้พร้อมกัน ทำให้เขาพอจะโล่งอกไปได้ แต่ความโศกเศร้าในใจของเขามาจนถึงขีดสุดแล้ว
เพราะเขาตระหนักได้ว่าตัวเขานั้น…คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์เช่นนี้ได้แล้ว เว้นเสียแต่…หวังเป่าเล่อจะตกตาย ไม่อย่างนั้นการแตกสลายทางจิตใจเขาก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว
แต่เขาก็ฆ่าตัวตายไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงวางความคาดหวังไว้ที่ท่านปรมาจารย์ แต่ด้วยความแปลกประหลาดของจิตมารเต๋าธาตุไม้นั้น ภายในช่วงสั้นๆ นี้แม้แต่ท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นก็ยากจะกำจัดมันได้ และหากคิดจะกำจัดมันโดยเร็วก็มีแต่ต้องจ่ายค่าตอบแทน
แล้วศัตรูตัวใหญ่อย่างสำนักแห่งความมืดก็ดันอยู่ข้างๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงต้องตื่นตัวระมัดระวัง ท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งจึงไม่สะดวกจะฝืนแก้ปัญหาให้เขาในช่วงเวลาเช่นนี้ ดังนั้นจึงเกิดสถานการณ์อันน่าสังเวชไร้ใดเปรียบของเขาแบบตอนนี้ขึ้น
“หวังเป่าเล่อ!!” ในห้องลับ ยากนักที่เสวียนหัวจะสยบคลื่นผันผวนในใจของตนลงไปได้ เขาหอบหายใจหนักหน่วง ตอนนี้เสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิงยิ่ง คนทั้งคนหมดสภาพอย่างที่สุด อีกทั้งเขายังรู้ด้วยว่าตนมีเวลาพักหายใจหายคอแค่ชั่วครึ่งก้านธูปเท่านั้น จากนั้นก็ต้องมาต่อต้านอีกครั้ง
และในชั่วครึ่งก้านธูปนี้ สำหรับเขาแล้ว มันเปรียบเสมือนรุ่งอรุณแห่งชีวิต และเป็นแรงผลักดันที่ประคับประคองจิตใจของเขา ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ เขาก็จะสาปส่งหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่งเพื่อระบายความเคียดแค้นชิงชังถึงที่สุดในใจของเขาออกมา
“หวังเป่าเล่อ ข้าจะต้องฆ่าเจ้า ไม่ใช่แค่ฆ่าเท่านั้น ข้ายังจะทำลายญาติมิตรทั้งหมดของเจ้าด้วย ทำลายวงศ์ตระกูลของเจ้า ทำลายอารยธรรมของเจ้า ทำลายร่องรอยการมีอยู่ทั้งหมดของเจ้า!!” ตอนนี้เสวียนหัวกำลังตะโกนคำรามเสียงดังอย่างที่เคย แต่คราวนี้…มีบางอย่างแตกต่างออกไป
ภายในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐ ขณะที่หวังเป่าเล่อผนึกมุทราชี้ขึ้นหนึ่งนิ้ว เสวียนหัวทางด้านนี้ยังไม่ทันสาปส่งเสร็จสิ้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน จิตมารในใจพลันระเบิดออกมาในชั่วขณะนี้เอง
“ยังไม่ถึงเวลานี่!!” เสวียนหัวตกตะลึงทันที เขารีบสยบเอาไว้ แต่ร่างกายของเขาอ่อนล้า ยังไม่ได้พักหายใจหายคอเพื่อฟื้นฟูจิตใจ ทำให้การสยบในครั้งนี้ก็ยากลำบากขึ้นมาทันที สิ่งที่เขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมก็คือการระเบิดของจิตมารในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ
การปะทุของจิตมารในครั้งก่อนๆ คล้ายเกิดขึ้นมาเฉยๆ เหมือนกับสัญชาตญาณโดยที่ไม่มีดวงจิตเข้าไปควบคุม แต่ครั้งนี้…มันทำให้เสวียนหัวรู้สึกราวกับว่าภายในนั้นมีดวงจิตบางอย่างแฝงเร้นเอาไว้และกำลังเป็นผู้ควบคุมจิตมารให้กระจายกลิ้งเกลือกอยู่ในร่างของเขา
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้จิตมารรุนแรงขึ้นทันที แทบจะในชั่วพริบตาก็ทำให้เส้นเลือดดำทั่วร่างของเสวียนหัวปูดนูนพร้อมร้องคำรามออกมา ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือขณะที่เขาร้องคำรามนั้น ในดวงตาของเขากลับมีความศรัทธาแรงกล้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ราวกับใจของเขาเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว
“ช่วยด้วย!” ร่างกายของเสวียนหัวสั่นเทา พยายามฝืนร้องเรียกออกไป ขณะเดียวกันนั้น จีเจียและกวงหมิงที่อยู่ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นก็รู้สึกผิดปกติ พวกเขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องลับสำหรับกักตนของเสวียนหัวทันที หลังจากเห็นสภาพของเสวียนหัวแล้ว สีหน้าของพวกเขาสองคนก็เคร่งเครียด รีบไปลงมือช่วยสยบเอาไว้ทันที
เมื่อมีแรงภายนอกมาช่วยเหลือ อีกทั้งจีเจียที่เป็นร่างแยกของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นก็มีดวงจิตของตนมานานแล้ว แม้มีสารัตถะเหมือนกับท่านผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นในแง่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจมองว่าเป็นร่างแยกบริสุทธิ์ได้ เพราะตัวเขามีปัญญาวิญญาณของตน เดิมก็แข็งแกร่งมาก ดังนั้นในไม่ช้าการระเบิดจิตมารของเสวียนหัวจึงค่อยๆ สงบลง
แต่เมื่อร่างกายของเสวียนหัวเริ่มผ่อนคลายจากการสั่นเทารุนแรงและสีหน้าของเขาก็ไม่ดุร้ายอีกแล้ว ตอนนั้นเองดวงตาของเขาก็กลิ้งกลอก ปราณมืดสายหนึ่งปะทุออกมาจากภายในร่างของเขาแล้วรวมตัวอยู่กลางหน้าผากโดยตรง มันควบแน่นอยู่ตรงนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นใบหน้าเล็กจ้อย
ใบหน้านี้…กลับเป็นของหวังเป่าเล่อ
“ใครขัดขวางการกลับมาของผู้ศรัทธาข้าแซ่หวัง!!” เมื่อใบหน้านั้นก่อตัวขึ้นมา เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องกังวานพร้อมอานุภาพกดดัน สีหน้าของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงเปลี่ยนไป เขาถอยหลังทันที ส่วนทางจีเจียก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วแค่นเสียงเย็นออกมา
“เจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้าย เรื่องของตี้ซาน ตระกูลไม่รู้สิ้นของข้ายังไม่ได้ไปถามหาคำอธิบายจากเจ้าเลยนะ ตอนนี้…เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก!”
“จักรพรรดิสวรรค์จีเจียหรือ ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ขัดขวางที่กลับมาของผู้ศรัทธาในข้า” ใบหน้าที่หว่างคิ้วของเสวียนหัวมีประกายแสงวาบผ่านดวงตา เขามองสบตากับจีเจีย พลังกดดันของจีเจียแผ่ซ่านออกมาแล้วค่อยๆ พูดขึ้น
“เสวียนหัวคือจักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่ใช่ผู้ศรัทธาของเจ้า!”
ใบหน้าที่หว่างคิ้วของเสวียนหัวเงียบงันไปไม่กี่อึดใจ จู่ๆ ก็ยิ้ม อีกหนึ่งประโยคที่ดังขึ้นด้วยวิธีการอันน่าตกใจ
“เจ้า…” นี่คือคำแรกของประโยคนี้ ไม่ใช่แค่ดังออกมาจากปากของใบหน้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเสวียนหัวเท่านั้น แต่ยังดังมาจากทางจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ในอวกาศอันไกลโพ้นอีกด้วย
ผู้ที่เอ่ยออกมาก็คือร่างธรรมกายอันใหญ่มหึมาของหวังเป่าเล่อ…ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่นอกระบบสุริยะภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั่นเอง
“บอกว่า…” นี่คือคำที่สอง ขณะที่มันดังขึ้นนั้น เสียงที่อยู่กลางอวกาศก็ราวกับเข้ามาใกล้มากขึ้น นั่นคือร่างธรรมกายของหวังเป่าเล่อ หลังจากยืนขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า เขาก็ตรงมาอยู่ที่ชายขอบของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทันที
“ไม่ใช่…” เสียงสะท้อนก้องของคำที่สามนี้ เมื่อฟังดูจากทิศทางแล้ว มันไม่ได้ดังมาจากเต๋าฝั่งซ้ายอีกต่อไป แต่ดังมาจากภายในจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นนี่เอง ทำให้กวงหมิงหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ส่วนจีเจียก็มีจิตสังหารวาบผ่านดวงตา
“ก็ไม่ใช่หรือ” สี่คำสุดท้ายคล้ายกับอัสนีสวรรค์ มันผ่าลงมาภายในตระกูลไม่รู้สิ้นโดยตรงแล้วสะเทือนก้องไปทั่วทั้งแปดทิศ ทำให้ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นโกลาหลขึ้นทันที และตอนนี้เอง ร่างของจีเจียก็เลือนราง หายวับไปในพริบตา เมื่อปรากฏตัวขึ้นเขาก็อยู่กลางอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้น มองเห็นร่างธรรมกายมโหฬารของหวังเป่าเล่อย่างก้าวเข้ามาจากที่ไกลๆ
“หวังเป่าเล่อ!!”
“ที่นี่คือตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าบุกเข้ามาตั้งหลายครั้งแล้ว นี่คือความเป็นกลางที่เจ้าบอกหรือ!” จีเจียโพล่งออกมาด้วยความโกรธ แม้ว่าเขาจะเป็นร่างแยกของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้น แต่ตัวเขาก็มีดวงจิตเป็นของตัวเอง ตอนนี้เมื่อความโกรธลุกโชน จิตสังหารก็ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์
เป็นเพราะในช่วงครึ่งปีสั้นๆ นี้หวังเป่าเล่อบุกเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้จิตสังหารของตระกูลไม่รู้สิ้นพวยพุ่งขึ้นทันใด
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมารับผู้ศรัทธาของข้ากลับไป” ธรรมกายของหวังเป่าเล่อเดินเข้ามา เสียงดังก้องราวกับอัสนีสวรรค์ ดังสนั่นไปทั้งแปดทิศ
“ส่วนความเป็นกลางที่ข้าบอกนั้น ถ้าหากวันนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นของเจ้าขัดขวางผู้ศรัทของข้าล่ะก็ เช่นนั้น…ไม่เป็นกลางแล้ว ข้าก่อสงครามกับตระกูลไม่รู้สิ้นของเจ้าแล้วอย่างไร!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของจีเจียก็ดูไม่ได้ ความจริงแล้วตัวเขาไม่ค่อยเข้าใจความคิดของร่างเดิมนัก ไม่รู้ว่าทำไมร่างเดิมต้องชะลอสถานการณ์ศึกจนทำให้หวังเป่าเล่อเติบโตขึ้นมา แล้วยิ่งปล่อยให้ยั่วยุอยู่หลายครั้ง ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นต้องเอาหน้าไปกวาดพื้น ยิ่งกว่านั้นในวันนี้เขายังมาประกาศสงครามอีก ถึงอย่างไรการบอกว่าจะเป็นกลางก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่ามันเป็นไปไม่ได้
ทั้งหมดนี้ สำหรับตระกูลไม่รู้สิ้นแล้วสำคัญอย่างยิ่ง แต่ดัน…ทางร่างเดิมกลับเหมือนว่าไม่สนใจสถานการณ์ของตระกูลไม่รู้สิ้นเลย และไม่สนใจว่าหลังจากตระกูลไม่รู้สิ้นต้องอับอายขายหน้าจะพาให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาเป็นชุดแล้วทำให้มีคนเลียนแบบมากมาย
“ร่างเดิมช่างโง่เง่า!” จิตสังหารในดวงตาของจีเจียรุนแรงขึ้น ร่างกายสั่นสะท้านแล้วพุ่งออกมากะทันหัน ทะยานไปยังหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ ในเมื่อเจ้ามาหาที่ตาย เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง!”
ขณะเดียวกัน ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นแห่งนี้ บนดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางดวงดาวก็ค่อยๆ ลืมตาเหี่ยวย่นของเขาขึ้น มองไปยังจุดที่หวังเป่าเล่อกับร่างแยกของตนอยู่อย่างสงบนิ่ง แต่กลับทำเพียงแค่กวาดมอง ไม่ให้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย ราวกับว่าในโลกของเขานี้ หวังเป่าเล่อก็ดี ร่างแยกของตนก็ดี ล้วนแต่ไม่สำคัญทั้งนั้น สายตาของเขาจ้องมองไปยังสถานที่อันไกลโพ้นยิ่งกว่า…
“ละครของข้าน่าจะแสดงไปได้พอสมควรแล้ว ข้าสร้างโอกาสให้เจ้ามากมายขนาดนี้ เฉินชิงจื่อเอ๋ย…เจ้ายังเตรียมตัวไม่พร้อมหรือ เหตุใดถึงยังไม่ลงมือเล่า”
“ข้า…รอไม่ไหวแล้ว”
…………………………