หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1265 ก้าวเข้าไป
เสื้อผ้ายังเหมือนเดิม หุ่นยังเท่าเดิม ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือทุกอย่างดูเหมือนจะไม่ต่างกัน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียว…คือการแสดงออกและสายตา
ร่างนี้…สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาไร้แววราวกับเป็นเพียงซากศพ
หากมีผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่ที่นี่ ด้วยดวงจิตเทพของเขาคงมองเห็น…ว่าบนร่างของเฉินชิงมีตะขาบยักษ์พันรัดอยู่ และขณะที่พันรัด ร่างครึ่งหนึ่งของมันก็ผสานเข้ากับเฉินชิง
เหมือนตอนที่หวังเป่าเล่ออยู่ที่ดาวชะตาและเห็นภาพอนาคตในสมุดแห่งโชคชะตา…แต่ตอนนี้ภาพอนาคตเปลี่ยนไป คนที่ถูกช่วงชิงไป…ไม่ใช่เขาอีกต่อไป แต่เป็นเฉินชิง
ราวกับ…หายนะของเขาถูกเฉินชิงใช้ร่างของตนรับแทนให้แล้ว
“มีคนกำลังเรียกเจ้าอยู่นะ เจ้าจะไม่ตอบสักหน่อยหรือ” เด็กหนุ่มชุดแดงหน้าเฉินชิงพูดยิ้มๆ สายตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเหมือนกำลังคุยกับเฉินชิง แต่ก็เหมือนกำลังคุยกับตัวเอง
“ข้าลืมไป เจ้าไม่ใช่ตัวเจ้าแล้วนี่นา” เด็กหนุ่มยิ้ม แต่หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าลึกๆ ของรอยยิ้มนั้นมีแววยั่วยุอยู่เล็กน้อย หลังจากก้าวเข้าประตูศิลา เขาก็หันหน้าไปมองยังนอกประตูศิลา
สายตาเขาราวกับสามารถมองทะลุความว่างเปล่าด้านนอกประตูศิลาได้ เขามองรอยร้าวขนาดมหึมารวมถึงร่างที่กำลั่งนั่งมองเขาอย่างเย็นชาอยู่บนเรือเดียวดาย
หลังจากสบตากับร่างนั้น เด็กหนุ่มก็หรี่ตาลง ก่อนจะโบกมือยักษ์หนึ่งครั้ง ประตูศิลาค่อยๆ ปิดลง แยกความว่างเปล่าด้านนอกออกไปและตัดขาดสายตาของพวกเขาทั้งสอง ยามที่หันกลับมาก็เห็นฝ่ามือยักษ์ที่เกิดขึ้นระหว่างความว่างเปล่าซัดสาดตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง
“หยุด!”
“ฝ่ามือหลัวห้ามไม่ให้ข้าผ่านไปหรือ” เด็กหนุ่มมองฝ่ามือนั่นแล้วอุทานออกมา ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นสีเลือดตรงเข้าห่อหุ้มฝ่ามือยักษ์นั้นไว้
ทว่าในวินาทีต่อมาหลังเกิดเสียงดังสนั่น ฝ่ามือยักษ์ยังอยู่ แต่หมอกเลือดจากเด็กหนุ่มกลับแตกกระเจิงไปรวมตัวกันที่ประตูศิลาอีกครั้งแล้วแปลงกลับเป็นร่างเด็กหนุ่มชุดแดงอีกครั้ง
ครั้งนี้ถึงแม้เขาจะยังมีรอยยิ้ม ทว่ามันกลับเย็นยะเยือก ดวงตาเผยแสงสีแดง เขาก้มหน้ามองหน้าอกตน ตรงนั้น…มีบาดแผลขนาดใหญ่ แม้มันจะกลับมาผสานกันอย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่าส่งผลกระทบกับเขาไม่น้อย
“เฉินชิงเอ๋ยเฉินชิง ใช้ชีวิตเจ้าสังเวยเพื่อแลกกับการโจมตีนี้ย่อมสร้างปัญหาให้ข้าไม่น้อย… แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดข้าได้หรอก” เด็กหนุ่มพึมพำ ดวงตาสีแดงพลันเปล่งประกาย ก่อนที่จะกลายร่างเป็นหมอกเลือดอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มีหมอกเลือดสามส่วนพุ่งเข้าใส่เฉินชิง หลังจากมันทะลวงเข้าไปในดวงตาเฉินชิงแล้ว อีกเจ็ดส่วนที่เหลือก็กลายร่างเป็นตะขาบสีเลือดยักษ์พุ่งเข้าไปพันรัดฝ่ามือหลัว
“หลัวดับสิ้นไปแล้ว มือที่ไร้รากจะหยุดข้าไว้ได้นานแค่ไหนกัน!” หลังจากพูดจบ ขณะที่ตะขาบสีเลือดพันรัดฝ่ามือหลัวอยู่นั้น เฉินชิงที่ถูกหมอกเลือดทะลวงเข้าไปในดวงตาก็ราวกับถูกจุดเชื้อเพลิง แสงสีแดงจางๆ แผ่ออกมา จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ส่วนฝ่ามือหลัวก็ไม่สนใจเฉินชิงทำให้เขาค่อยๆ เดินไกลออกไปในความว่างเปล่าได้อย่างราบรื่น
สงครามที่นี่ยังคงดำเนินต่อไป ภารกิจของฝ่ามือหลัวไม่ใช่แค่ป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตในโลกศิลาออกไป แต่ยังต้องป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาด้วย
ในตอนที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปนั้นเอง เฉินชิงผู้ซึ่งสูญเสียจิตวิญญาณและถูกเด็กหนุ่มชุดแดงควบคุมก็เดินออกไปในความว่างเปล่าทีละก้าว จนถึง…ใจกลางโลกศิลาและเป็นในจักรพิภพเต๋า
แทบจะในพริบตาที่เขาเหยียบเข้าไป สีแดงเลือดของจักรวาลในโลกศิลาก็ระเบิดกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมาราวกับพายุปกคลุมไปทั่วทั้งโลกศิลา ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ร่างของเฉินชิงปรากฏขึ้นที่ใจกลางกระแสน้ำวน ชุดคลุมยาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปแล้ว
สีหน้าท่าทางไร้อารมณ์นั่นก็เปลี่ยนไป เริ่มมีความว่องไว เพียงแต่…สิ่งที่เรียกว่าความว่องไวนั้นกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่สีแดงจางๆ อีกต่อไป แต่เป็นสีแดงฉานเลยทีเดียว
“ในที่สุดก็เข้ามา” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างไประบายยิ้มจางๆ ก่อนจะเงยหน้ามองจักรวาล จักรวาลในสายตาเขาตอนนี้มีดวงตาสี่ตาลอยอยู่
“สองขั้นสุดท้ายของก้าวที่สามยังมีอีกอย่างที่น่าสนใจ ส่วนขั้นสุดท้าย…” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างไปหรี่ตามองไปยังระบบสุริยะและบนดาวอังคาร ก่อนจะสบตากับหวังเป่าเล่อที่แววตาเศร้าโศก ตัวสั่นเทิ้มในทันที
“เจ้านี่เอง” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างยิ้ม
“เป่าเล่อ ข้าคือศิษย์พี่ของเจ้า จะไม่มาหาข้าหน่อยหรือ”
เสียงเขาดังก้องไปทั้งจักรวาลและดังเข้าไปในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อบนดาวอังคาร หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็หลับตาลง ปิดบังความโศกเศร้า เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็จ้องมองเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าปฐพีตรงหน้าและใช้กำลังทั้งหมดเพื่อหลอมมัน
“ไม่เป็นไร เด็กน้อย เดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าเอง” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างยิ้มแล้วถอนสายตากลับไปก้มมองร่างกายตนราวกับพอใจมาก เขาหันกลับไปมองเข้าไปในส่วนลึกของกระแสน้ำวน ตรงนั้น…ร่างต้นแบบของเขากำลังต่อสู้กับฝ่ามือหลัวซึ่งเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถจบได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ไม่เป็นไร แม้ร่างกายนี้จะยังมีปัญหาบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถช่วงชิงร่างมาได้ทั้งหมด และผสานดวงจิตเทพเข้าไปได้บางส่วนเท่านั้น แต่เขาก็รู้สึกว่าเพียงพอที่เขาจะทำทุกอย่างในโลกศิลาได้แล้ว
“เช่นนั้นต่อจากนี้…ก็หลอมทุกชีวิตในโลกนี้กลั่นวิญญาณโลหิตมาเสริมพลังดวงจิตเทพของข้า รักษาอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้…”
“แล้วก็ไปหาเจ้าหนูนั่น อีกครึ่งของเซียนรวมทั้ง…คนที่ผสานวิญญาณตะปูไม้สีดำตัวสุดท้าย ทำลายทิ้งให้หมด!” เด็กหนุ่มชุดแดงที่ช่วงชิงร่างเฉินชิงไปแย้มยิ้ม ขณะพูดกับตัวเองก็ยกมือขวาขึ้นมา ทันใดนั้นสีแดงเลือดรอบตัวเขาก็มารวมตัวกันบนมือของเขาเกิดเป็นก้อนเลือดขนาดเท่ากำปั้น
เขาถือก้อนเลือดเดินไปในจักรวาลแล้วเหวี่ยงมือขวาไปทางดาราจักรอันไกลโพ้น
ทันใดนั้นก้อนเลือดก็พุ่งตรงไปยังดาราจักรนั้น และไม่กี่อึดใจดาราจักรนั้นก็เกิดเสียงคำรามดังสนั่น แสงเลือดในนั้นพลันแผ่ซ่านไปพร้อมกับความทุกข์ทรมานของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน อารยธรรมนั้นแตกสลายเป็นชิ้นๆ ในเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจ ทั้งดวงดาวในนั้นและสิ่งมีชีวิต ทุกสรรพสิ่งพังทลายลงในวินาทีนี้
หากมีใครก้าวเข้าไปในดาราจักรนั้นก็จะมองเห็นดวงดาวกำลังหลอมละลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายกำลังเหี่ยวเฉา และเกิดเป็นรอยเลือดมหาศาลในที่สุด เมื่อลอยออกมาจากดาราจักรที่แตกสลายนั้นก็มารวมตัวเป็นก้อนเลือดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดแดงอีกครั้ง หลังจากดูดกลืนอารยธรรมแล้วก้อนเลือดนั้นก็สีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เลวนี่” เด็กหนุ่มชุดแดงยิ้มแล้วก้าวต่อไป
เป็นเช่นนี้ต่อไปจนเวลาผ่านไป 10 วัน
ใน 10 วันนี้เด็กหนุ่มชุดแดงท่องไปในจักรวาลอย่างไม่เร่งรีบ แต่ทุกอารยธรรมที่เขาผ่านไปไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนพังพินาศไปพร้อมกับการย่าฃก้าวของเขา ทุกสรรพสิ่งข้างในล้วนกลายเป็นรอยเลือดและทำให้ก้อนเลือดนั้นสีเข้มขึ้น
พื้นที่ที่เขาอยู่นั้นคือพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นในอดีต ดังนั้นในไม่ช้า…เขาก็อาศัยสัมผัสเชื่อมต่อมาถึงตระกูลไม่รู้สิ้นที่กกลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
เขาไม่ได้หยุดเพราะเห็นว่าเป็นตระกูลเดียวกัน ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มชุดแดงที่กำลังตื่นเต้นพลันหยุดอยู่ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นนานกว่าปกติและหลอมทุกอย่างอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
จนกระทั่งเขาจากไป ในโลกศิลาก็ไม่มีตระกูลไม่รู้สิ้นอีกต่อไป การปรากฏตัวของเขารวมทั้งการกระทำของเขาได้สั่นสะเทือนไปทั้งโลกศิลาแห่งนี้
แต่…ไม่ว่าปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยหรือปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณหรือปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์รวมทั้งหวังเป่าเล่อกลับยังนิ่งเงียบ
ทว่าในความนิ่งเงียบนั้นราวกับมีพายุกำลังก่อตัว!
……………………………………