หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1269 ปรมาจารย์ดาราจันทร์!
ในฐานะดวงจิตเทพที่มหาเทพส่งมายังที่แห่งนี้พร้อมภารกิจสำคัญ ดวงจิตเทพนี้จึงแข็งแกร่งยิ่งนัก ถึงระดับขั้นที่สี่เลยทีเดียว
โดยพื้นฐานแล้วพลังต่อสู้และระดับการฝึกตนที่ดวงจิตเทพสำแดงออกมาได้ ทั่วทั้งจักรวาลก็แทบจะไม่มีคู่ต่อสู้มากนักแล้ว แค่มาตรวจสอบโลกสุดท้ายที่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอกและทำภารกิจให้สำเร็จก็มากเกินพอแล้ว
เด็กหนุ่มชุดแดงเองก็คิดเช่นนั้น
หากทำไปตามลำดับทีละขั้น เขาก็ใกล้จะได้ทะลวงประตูศิลาในอนาคตอันใกล้ ใช้พลังอันเฟื่องฟูเข้ามาสยบฝ่ามือหลัว เข้าไปยังใจกลางโลกศิลาและกวาดล้างวิญญาณสุดท้ายของตะปูไม้สีดำ
แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน เฉินชิงโผล่ออกมาและต่อสู้กับเขา แม้สุดท้ายตนจะชนะและยังช่วงชิงร่างเฉินชิงมาได้ แต่ร่างของเขากลับบาดเจ็บสาหัสที่ยังไม่หายดีมาจนถึงวันนี้จากการสังเวยชีวิตของอีกฝ่าย
อาการบาดเจ็บส่งผลกระทบกับดวงจิตเทพของเขาทำให้พลังต่อสู้และระดับลดลงจนไม่สามารถรักษาสถานะของขั้นที่สี่ได้ตลอดเวลา แต่ก็เพราะช่วงชิงกายเนื้อของเฉินชิงมา แม้จะสูญเสียไปไม่น้อยแต่ก็ได้ประโยชน์มากมายเช่นกัน
อย่างแรกประตูศิลาไม่จำเป็นต้องให้เขาโจมตีหลายครั้งก็เข้ามาได้แล้ว จากนั้นกายเนื้อของเฉินชิงซึ่งฝ่ามือหลัวเพิกเฉยทำให้หนีออกไปได้ นั่นทำให้เขาทำภารกิจสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและสำเร็จก่อนเวลาที่ตั้งไว้ด้วย
แต่เขาไม่คาดคิดว่า…เขาจะตรวจไม่พบเคล็ดวิชาที่เฉินชิงทิ้งไว้ในร่างกายซึ่งนั่นได้กลายมาเป็นกับดัก
และกับดักนี้ยังทำลายดวงจิตเทพของเขาไปได้ถึงสามส่วน!
กอปรกับอาการบาดเจ็บของร่างกายเรียกได้ว่าบอบช้ำรุนแรงทำให้ระดับของเขาในตอนนี้ตกลงมาจากขั้นที่สี่แล้ว เป็นเพียงจุดสูงสุดของขั้นที่สามเท่านั้น
โชคดีที่ฝ่ามือหลัวในตอนนี้ไร้ราก ในสภาวะที่อ่อนล้าลงเรื่อยๆ และเหลือพลังอีกไม่มาก แม้ระดับการฝึกตนของเขาจะตกลง แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางได้นานเกินไป
แต่เขาก็จำต้องเคร่งเครียดเพราะในโลกศิลาตอนนี้ ฝ่ายหนึ่งมีการเตรียมการมา อีกฝ่ายหนึ่งคือหวังเป่าเล่อ นั่นทำให้ควมมั่นใจเต็มร้อยของเขาลดเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น
“เฉินชิง! !” เด็กหนุ่มชุดแดงกัดฟัน นัยน์ตาเผยแววโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด การปรากฏตัวของอีกฝ่ายทำให้ทุกอย่าง…ผิดแผนไปหมด
ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้…เป็นไปได้!
“ต้องจัดการให้เร็วที่สุด จะให้พวกนั้นมีเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้!” เด็กหนุ่มชุดแดงตัดสินใจบางอย่าง ตะขาบสีเลือดที่เขายิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้กับฝ่ามือหลัวยิ่งรุนแรงขึ้นทำให้ความว่างเปล่าสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศไม่หยุด และยังส่งผลกระทบต่อจักรพิภพเต๋าใจกลางโลกศิลาด้วย มันทำให้กฎและข้อบังคับในจักรพิภพเต๋าเกิดความปั่นป่วน
ภายในดาวอังคารหวังเป่าเล่อถอนสายตาจากการเพ่งมองไปยังจักรวาลและข่มกลั้นจิตสังหารในดวงตา สีหน้าเขาดูสงบนิ่ง เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุดินที่เปล่งแสงส่องประกายอยู่ตรงหน้าผสานเข้ากับร่างของเขา
พลังแห่งเต๋าธาตุดินแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างหวังเป่าเล่อ แม้เต๋าธาตุดินกับเต๋าธาตุไม้และเต๋าธาตุน้ำของหวังเป่าเล่อจะไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อสามารถสร้างหมื่นวิถีได้ เมื่อหมุนเวียนเพียงเล็กน้อยจนเกิดเป็นเต๋าธาตุไฟแล้ว ทันใดนั้นพลังปราณในร่างกายเขาก็ปะทุขึ้น
น้ำก่อกำเนิดไม้ ไม้ก่อกำเนิดไฟ ไฟก่อกำเนิดดิน!
สามจริงหนึ่งมายา นี่คือสี่ธาตุสี่เต๋า!
“เต๋าแปดปรมัตถ์สำเร็จไปสาม…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขายังขาดเต๋าธาตุทองกับเต๋าธาตุไฟ และเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว
เต๋าธาตุทองนั้นต้องได้พบกับสิ่งที่นำพาไปสู่เต๋าที่เหมาะสม หวังเป่าเล่อจะเลือกกระบี่สำริดโบราณ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่นำพาไปสู่เต๋าทั้งสามของตนแล้ว แม้กระบี่สำริดโบราณจะมีค่าที่สุดในจักรวาล แต่ก็ยังไม่พอ
ส่วนเต๋าธาตุไฟนั้น เปลวไฟสีดำคือทางหนึ่ง เปลวไฟแห่งคำสาปที่อาจารย์เพลิงกัลป์เคยสอนก็คืออีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังนำพาไปสู่เต๋าได้ไม่สมบูรณ์
หากมีเวลามากพอ บางทีหวังเป่าเล่ออาจจะเลือกทางอื่น แต่สถานการณ์ตอนนี้มีเวลาน้อยนัก ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเตรียมใจไว้แล้ว เขาจะใช้กระบี่สำริดโบราณหรือไม่ก็เปลวไฟแห่งคำสาปเพื่อรวมธาตุทั้งห้า
“แต่ก่อนจะทำ ข้ายังจำเป็นต้องไป…สำนักดาราจันทร์ก่อน!” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยแสงล้ำลึก
“ปรมาจารย์ขอเชิญเจ้าในวันที่สิบเก้าเดือนเจ็ดในอีกหกสิบแปดปีข้างหน้า บนหน้าผาของสำนักดาราจันทร์ เจอกัน!” คำพูดของหลี่หว่านเอ๋อร์ในตอนนั้นผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ
ตอนนี้เหลืออีกเจ็ดวันก็จะถึงเวลาที่ตกลงกันไว้
เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อ 68 ปีก่อน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เกินไป ตัวเขาในตอนนั้นแม้จะพลังต่อสู้แข็งแกร่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับสูงสุด
ตอนนั้น…อาจารย์ยังอยู่ ศิษย์พี่ก็ยังอยู่
ตอนนั้น…เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงนัดให้ไปที่นั่นและทำไมเวลาที่นัดกันไว้ถึงช่างละเอียดและแปลกประหลาดนัก
ตอนนั้น…เขาไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายและยิ่งไม่รู้ว่าอีก 68 ปีต่อมา โลกศิลาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ตอนนี้…พลังต่อสู้ของเขามาถึงจุดสูงสุดของโลกศิลาแล้ว แต่อาจารย์ไม่อยู่แล้ว ศิษย์พี่ก็ด้วย
และเขาก็รู้แล้วว่าเหตุได้เวลานัดหมายของอีกฝ่ายถึงได้เจาะจงเช่นนี้ ดูท่า…ปรมาจารย์ดาราจันทร์ผู้นี้คงจะมีพลังเทพอันน่าอัศจรรย์ถึงมองเห็นอนาคตได้
อีกทั้งในใจเขายังพอจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้เกือบทั้งหมดแล้ว
หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนจะปิดตาลง ปล่อยให้เวลาเจ็ดวันผ่านไปด้วยการทำสมาธิ จนกระทั่งวันที่เจ็ดมาถึง ร่างธรรมกายที่อยู่นอกระบบสุริยะก็ผุดลุกขึ้น ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึงจักรพิภพสำนักเสริม
เมื่อเข้ามาในสำนักเสริม หวังเป่าเล่อก็ก้าวเดินอีกหนึ่งก้าว คราวนี้…เขามาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ที่มองไม่เหมือนกันด้วยตาเปล่า แม้แต่ดวงจิตเทพของผู้ฝึกตนระดับจักรวาลก็ยังตรวจไม่พบ เขามองดูจักรวาลอันว่างเปล่าตรงหน้าและเห็นร่างคุ้นตาสองร่างที่ดูเหมือนจะยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้วและกำลังโค้งคำนับให้เขา
“ศิษย์สำนักดาราจันทร์ หลี่หว่านเอ๋อร์ ทำความเคารพเจ้าแห่งเต๋า ศิษย์มาต้อนรับเจ้าแห่งเต๋าเข้าสู่สำนักดาราจันทร์ตามคำสั่งของปรมาจารย์ขอรับ ”
“ศิษย์สำนักดาราจันทร์ จั่วอี้ฟาน ทำความเคารพ…เจ้าแห่งเต๋า”
“อี้ฟาน…” หวังเป่าเล่อกวาดตามองทั้งสองคนแล้วหยุดอยู่ที่จั่วอี้ฟาน ใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานขึ้น
ความทรงจำในอดีตค่อยๆ ผุดขึ้นมา จากนั้นไม่นานหวังเป่าเล่อก็เดินเข้าไปกอดจั่วอี้ฟาน จั่วอี้ฟานเองก็สวมกอดหวังเป่าเล่อแรงๆ ด้วยความตื่นเต้น
สองพี่น้องได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน
หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปรบกวน จนกระทั่งเห็นทั้งสองรำลึกความหลังกันแล้วจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เป่าเล่อ ปรมาจารย์รอเจ้าอยู่”
หวังเป่าเล่อหันไปมองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนจะเข้าไปกอดเขาอีกคน เมื่อคลายอ้อมกอดอารมณ์ของเขาจึงกลับมาเป็นปกติ และเดินตามจั่วอี้ฟานกับหลี่หว่านเอ๋อร์ไปยังจักรวาลอันว่างเปล่าตรงหน้า เมื่อเหยียบก้าวแรก จักรวาลก็เปลี่ยนไป ดวงดาวสีฟ้าขนาดมหาปรากฏแก่สายตาหวังเป่าเล่อ
อันที่จริงหากเขาไม่อยากไปตามทาง เพียงแค่โบกมือก็สามารถยกทุกสิ่งที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ออกไปได้แล้ว แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ในฐานะแขกผู้มาเยือน เขาก้าวตามหลี่หว่ายเอ๋อร์กับจ้่วอี้ฟานเป็นก้าวที่สองก็มาปรากฏตัวอยู่กลางท้องฟ้าภายในดวงดาวสีฟ้า
พื้นดินเขียวขจี มองเห็นภูเขา แม่น้ำ ทะเลอันกว้างใหญ่ตลอดจนอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
“ยินดีต้อนรับสู่สำนักดาราจันทร์” หลี่หว่านเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกวาดตามองรอบๆ และไปหยุดอยู่บนยอดเขา ที่ตรงนั้น เขามองเห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขา
จุดที่ร่างนั้นนั่งอยู่เป็นหน้าผา มีน้ำตกไหลอยู่ด้านหน้า เสียงน้ำไหลซู่ราวกับมีกระแสเต๋าแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อก้าวเป็นครั้งที่สามก็มาปรากฏตัว…ข้างกายคนคนนั้น
“เจ้ามาแล้ว” แผ่นหลังนี้เผยให้เห็นความแปรผันของชีวิต แต่น้ำเสียงกลับดังกังวานเหมือนกับจะผ่าเมฆหมอกเป็นชิ้นๆ ขณะที่เอ่ยออกมา เขาก็ค่อยๆ หันหน้ามา
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาหวังเป่าเล่อคือใบหน้าแก่ชราที่ไม่คุ้นเคย
“ข้าแซ่สวี่ นามลี่กั๋ว…ผู้ปกป้องเต๋าให้นายน้อยตระกูลเรา”
……