หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1280 เต๋าธาตุไฟสยบ!
โลกที่เกิดจากธาตุน้ำมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด ในทางทฤษฎีมันไม่มีขอบเขตเนื่องจากทุกสิ่งที่นี่ล้วนเป็นการกลับมาเกิดมายา
สิ่งที่อยู่ในนี้มีเพียงสิ่งที่เกิดจากกฎแห่งน้ำ เช่น ทะเล ธารน้ำแข็ง ฝนที่ตกลงมา เป็นต้น แต่…ทั้งหมดนี้ก็เปลี่ยนไปเพราะการพังทลายของตะขาบสีเลือด
ร่างที่พังทลายของเด็กหนุ่มชุดแดงแตกกระจายหลายชิ้นจนไม่อาจคำนวณได้ในระยะเวลาสั้นๆ และทุกชิ้นส่วนที่แตกออกมาก็ได้แทรกซึมไปทั่วทั้งโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำแล้ว
แทบจะในทันทีที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้างเหมือนกัน บ้างแตกต่างกัน ดังนั้น…จึงเหมือนกับว่าสิ่งมีชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้เอง ในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำจึงปรากฏชีวิตขึ้น
ในทะเลมีปลาและกุ้ง มีสัตว์ยักษ์ มีสิ่งของลอยอยู่ มีสาหร่ายและทุกอย่าง ส่วนบนท้องฟ้าก็ปรากฏนกทุกชนิด พื้นดินเกิดเป็นธารน้ำแข็งและเริ่มปรากฏสัตว์ต่างๆ จนกระทั่ง…ปรากฏมนุษย์
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพืชพันธุ์ต่างๆ สีสันของโลกูเปลี่ยนไปเพราะพวกมันปรากฏตัวขึ้น ยิ่งกว่านั้นในการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกชีวิตที่ปรากฏขึ้นในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำนี้ต่างมีเจตจำนงเหมือนกัน
นั่นก็คือ…ทำลายที่นี้ หลบหนีออกจากที่นี่ ฉีกทึ้งทุกสิ่ง ทำให้การเกิดใหม่ของเต๋าธาตุน้ำพังทลาย เพื่อพลิกสถานการณ์
และการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในโลกเต๋าธาตุน้ำก็เสร็จสิ้นในเวลาเพียงแค่ประโยคเดียว
ประโยคนั้นคือห้าคำที่ดังออกมาจากรูปปั้นที่จมลงสู่ทะเล
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
หลังจากเอ่ยประโยคนี้ออกไปก็ดูเหมือนภายในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำจะมีเสียงสะท้อนกลับมา เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และซ้อนทับกันมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตต่างกำลังเอ่ยประโยคนี้ออกมาเช่นกัน…
บางทีอาจต้องลบคำว่าราวกับว่าออกไป เพราะ…ในพริบตาที่ห้าคำนี้ดังออกมา ในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนี้ จู่ๆ…ก็มีสิ่งมีชีวิตปรากฎตัวเพิ่มขึ้น มีปลากุ้ง มีสัตว์ยักษ์ มีสิ่งของลอย มีนก สัตว์ กระทั่งมนุษย์เหมือนกัน
มีพืชพันธุ์ กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระจายตัวไปทุกพื้นที่ และทุกชีวิตที่แปลงกายมาจากเด็กหนุ่มชุดแดงก็…เริ่มต่อสู้!
ขณะนี้หากยืนดูจากมุมสูงไม่ว่าจะพลังมากหรือพลังน้อยก็จะเห็นว่ากำลังเกิดสงครามที่ส่งผลกระทบมหาศาลไปทั่วทั้งโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำ
เหตุที่เรียกว่าสงครามก็เพราะทุกชีวิต ทุกการดำรงอยู่ต่างกำลังฟาดฟันกันอยู่ในตอนนี้!
จะเห็น…ในทะเล ปลากำลังกินกุ้ง กุ้งกำลังกลืนสิ่งลอยน้ำ
จะเห็น…ปลาใหญ่กำลังกินปลาเล็ก สัตว์ยักษ์กำลังกินปลาใหญ่
จะเห็น…สาหร่ายกำลังพันรัดฉีกกินกันและกัน
จะเห็น…นกทุกตัวบนท้องฟ้ากำลังต่อสู้กันเอง
จะเห็น…ทวีปบนธารน้ำแข็ง สัตว์ต่างๆ กำลังกรีดร้อง พืชพันธุ์พันรัด สิ่งมีชีวิตกำลังแผดเสียงคำราม
การเข่นฆ่านับไม่ถ้วน การกลืนกินนับไม่ถ้วนพบเห็นได้ในทุกๆ พื้นที่ แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็กำลังต่อสู้กัน
เมื่อครู่สัตว์ป่าที่เพิ่งฉีกทึ้งสัตว์เล็กก็ถูกสัตว์ร้ายกัดเข้าที่คอ วินาทีต่อมาก็มียักษ์แห่งพงไพรตบฝ่ามือลงมาบดขยี้สัตว์ร้ายตัวนั้น ยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น อึดใจต่อมา…กลุ่มลมสีดำก็พัดมาแทรกซึมเจ้ายักษ์ จะเห็นได้ว่ามีแมลงเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในกลุ่มลมสีดำนั้น ทั้งกัดทั้งฉีก และเมื่อกลุ่มลมสีดำนั้นพัดผ่านไป เจ้ายักษ์ก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
และกลุ่มลมสีดำนั้นก็ไม่ได้พัดไปไหนไกลก็ถูกฝนที่ตกลงมาทำลายทิ้ง
ฝนนั้นยังคงอยู่ได้ไม่นาน หลังจากตกลงมาก็ถูกสิ่งมีชีวิตที่เผาผลาญทะเลเพลิงด้วยเปลวเพลิงที่เกินกำลังของมันระเหยไปทั้งหมด…
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไร้จุดเริ่มต้น ไร้จุดสิ้นสุด สิ่งมีชีวิตในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
และเมื่อจบการต่อสู้แต่ละครั้งจะมีประโยคหนึ่งที่สะท้อนออกมา
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ดังขึ้นกี่ครั้งแล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ จนกระทั่งมารวมตัวกันในที่สุดราวกับกลายเป็นเสียงของเต๋าสวรรค์ สะท้อนไปมาอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นนิรันดร์
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
ราวกับเป็นคำสาปทุกชีวิตและทุกวัตถุที่แปลงมาจากตะขาบสีเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว แม้สิ่งมีชีวิตที่แปลงมาจากหวังเป่าเล่อจะลดลงไปด้วย แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังได้เปรียบกว่ามาก
ในเวลาเดียวกันทะเลของโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำที่ถูกย้อมเป็นสีเลือดก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมา รูปปั้นที่จมลงสู่ทะเลก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาท่ามกลางคลื่นโหมกระหน่ำอีกครั้ง
เมื่อส่วนที่โผล่ขึ้นมานั้นใกล้จะถึงตำแหน่งตาของรูปปั้นแล้ว อีกทั้งเสียงเอ่ยประโยคนั้นก็ดังกังวานราวกับฟ้าแลบ ในพริบตาที่ทั้งโลกกำลังปะทุไม่หนุดนั้น…เสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าดินก็ดังมาจากปากของทุกสรรพสิ่งที่แปลงมาจากตะขาบสีเลือดที่เหลืออยู่
ในเวลาเดียวกันทุกสรรพสิ่งที่แปลงจากตะขาบสีเลือดก็เหมือนกับสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงระเบิดตัวกลายเป็นเส้นยาสูบสีแดงขนาดต่างกันไปและพุ่งจากทุกสารทิศไปรวมตัวกันบนท้องฟ้า ฉับพลันนั้นก็ก่อตัวเป็นร่างตะขาบอีกครั้ง ตะขาบตัวนี้กรีดร้องสะบัดร่างกายแล้วเชื่อมส่วนหัวกับหางเข้าด้วยกัน
เมื่อมันกลายเป็นวงกลม ภายในวงกลมก็ปรากฏกระแสน้ำวนขึ้น…ดวงตาจากร่างจริงของมหาเทพก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
สายตาของเขาเต็มไปด้วยอำนาจบารมีเหลือล้น ในพริบตาที่เขามองมายังโลก ทั้งโลกก็สั่นสะเทือนราวกับกำลังจะทนรับไม่ไหว สิ่งมีชีวิตที่แปลงมาจากหวังเป่าเล่อต่างพังทลายกลายเป็นเส้นด้ายนับไม่ถ้วนและผสานเข้าไปในรูปปั้นกลางทะเลในชั่วพริบตา ทำให้รูปปั้นนั้นยิ่งลอยสูงขึ้น ส่วนหัวโปล่พ้นน้ำ ดวงตาที่กำลังเบิกกว้างกวาดมองไปยังสายตาของมหาเทพ สายตาที่มองไม่เห็นสัมผัสกันทันใด
การปะทะสายตากันก่อให้เกิดพลังมหาศาลแผ่ขยายไปรอบบริเวณ ทุกที่ที่มันผ่านไปล้วนทำลายท้องฟ้า ทำลายธารน้ำแข็ง ทำลายท้องทะเล จนโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำแตกกระจายราวกับฟองอากาศ
ตะขาบสีเลือดกะพริบร่างกลายเป็นแสงเลือดและกำลังจะพุ่งออกไป ส่วนรูปปั้นหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยรอยร้าว เห็นได้ชัดว่าสายตาของมหาเทพมีอิทธิพลต่อเขามากเพียงใด
แต่ในตอนที่ตะขาบสีเลือดกำลังจะหนีออกจากตรงนี้นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ไฟ…แห่งธาตุทั้งห้า!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น โลกแห่งเต๋าธาตุน้ำที่แตกกระจายดั่งฟองอากาศก็พลิกกลับทันทีและกลายเป็นไฟที่ดูเป็นนิรันดร์ อีกทั้งท่ามกลางไฟนี้ยังแผ่ปณิธานแห่งเซียนสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมาด้วย
ปณิธานนี้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ด้วยความไร้พันธนาการห่อหุ้มตะขาบสีเลือดที่กำลังจะหนีอีกครั้ง และโลก…ก็เปลี่ยนไปในพริบตา ทะเลกลายเป็นทะเลเพลิง ธารน้ำแข็งกลายเป็นภูเขาไฟ ท้องฟ้ากลายเป็นสีเปลวไฟกดทับส่วนหัวของตะขาบสีเลือดไว้
และสกัดทางหนีของตะขาบสีเลือด!
หากมองจากที่ไกลๆ ท้องฟ้าที่กำลังร่วงหล่นราวกับพยายามจะบดขยี้ทุกสิ่ง
หากสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะเห็นว่าท้องฟ้าผืนนี้…ก็คืออักขระยักษ์ตัวหนึ่ง และบนอักขระนี้ก็มีใบหน้าของหวังเป่าเล่อปรากฏอยู่
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
……………………………