หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1311 เจ้าเป็นทั้งรางวัลและด่านเคราะห์
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 1311 เจ้าเป็นทั้งรางวัลและด่านเคราะห์
แม้กลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้ายังคงหนาแน่น แต่สายฝนกลับไม่ได้ยิ่งตกยิ่งแรง ยังคงรักษาระดับเปาะแปะปรอยๆ อยู่ตลอด ราวกับบนชั้นเมฆนั้นมีเซียนผู้หนึ่งที่กำลังบิดอย่างช้าๆ ไม่ออกแรงสักเท่าไร
ดังนั้น เมื่อมองจากไกลๆ แม้ฉากฝนจะกลายเป็นม่านมุก แต่ก็มีความสวยงามต่างออกไป ทำให้ทั่วทั้งคูเมืองตกอยู่ท่ามกลางความขมุกขมัวดั่งภาพลวงตาที่ปรากฏกลางน้ำราวกับเป็นของจริง
ฟ้าค่อยๆ มืดลง บางทีอาจเป็นเพราะอาทิตย์ยามอัศดงถูกกลุ่มเมฆบดบัง แสงจึงลอดออกมาจากกลุ่มชั้นเมฆไม่มากนัก ทำให้ยามตะวันรอนนี้มีเพียงส่วนที่ถูกแสงส่องถึงเป็นปกติ ส่วนที่อื่นๆ ราวกับถูกความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนบนท้องถนนยังคงเดิม พ่อค้าและเด็กน้อยก็ยังเป็นเหมือนตอนที่หวังเป่าเล่อลืมตามอง ดูไม่แตกต่างสักเท่าไรนัก และชายขี้เมาในตรอกนั้นที่พลิกตัวนอนกรนก็กำลังฝันหวาน
“น่าสนใจ” ในพระราชวัง หวังเป่าเล่อก้าวเดินไปอย่างไม่เร่งร้อน สีหน้าเป็นปกติ มีเพียงนัยน์ตาที่ฉายแววครุ่นคิดวาบผ่าน
“มิติฝันนี้ราวกับแฝงความนัยลึกซึ้ง” หวังเป่าเล่อพลันชะงักเท้า หันหน้ามองตำหนักที่จักรพรรดิเสวียนเฉินอยู่ ด้วยพลังปราณของเขาในตอนนี้ย่อมมองออกว่าจักรพรรดิเสวียนเฉินนั้นผิดปกติ
ดูคล้ายไม่ค่อยปราดเปรียวเท่าไรนัก ราวกับมีแม่แบบกำหนด ถูกวางพฤติกรรมและคำพูดคำจาไว้ก่อนแล้ว เป็นเหมือนกับสรรพสิ่งนอกพระราชวังแห่งนี้ ที่เห็นแค่ปราดเดียวก็สมจริงราวกับมีชีวิต ทว่าเมื่อพินิจให้ละเอียดก็เป็นเหมือนกับจักรพรรดิเสวียนเฉินทั้งสิ้น
“มีเพียงอู๋น้อย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำแล้วเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง พริบตาต่อมาเงาร่างของเขาก็หายไปทันที ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ตำหนักข้างแห่งหนึ่ง เห็นอู๋น้อยที่กลับมาอย่างร้อนรนด้วยความน้อยใจและปั้นปึ่ง
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเห็นอู๋น้อย อู๋น้อยเองก็เห็นหวังเป่าเล่อ เท้าหยุดชะงักก่อนเอ่ยออกมา
“เจ้าไม่ควรมา ”
เมื่อคำพูดนี้ลอยมา ความปราดเปรียวบนร่างของเขาราวกับวิ่งหนีไป แล้วหายลับอย่างไร้ร่องรอย ทั้งร่างกลายเป็นเหมือนจักรพรรดิเสวียนเฉิน อารมณ์ความรู้สึกนัยน์ตาก็หายไปกลายเป็นราบเรียบ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันที เลิกสนใจอู๋น้อยก่อนไหวร่างครั้งหนึ่งพร้อมตะปบลงบนกระหม่อมของอู๋น้อย เขารู้สึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ ความคล่องแคล่วปราดเปรียวบนร่างเขาราวกับได้กลายเป็นจิตสำนึกสายหนึ่งที่กำลังจะลอยจากไปด้วยความเร็วรี่
แต่จิตสำนึกที่ปราดเปรียวสายนี้ซับซ้อนมาก เมื่อหวังเป่าเล่อคว้าได้ จิตสำนึกนี้ก็ดูเหมือนถูกจับไว้ ทว่าพริบตาต่อมากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว
“เป็นสีสันหนึ่งเดียวในภาพขาวดำงั้นหรือ?”
“จิตสำนึกนี้อยู่ในร่างใคร ผู้นั้นก็จะปราดเปรียวคล่องแคล่วราวกับมนุษย์จริง ส่วนเจ้าของมิติฝันก็คือเจ้าของของจิตสำนึกสายนี้”
หวังเป่าเล่อพลันเข้าใจกระจ่าง ถือโอกาสเดินไปทางท้องฟ้า เพียงไม่กี่ก้าวก็ออกจากพระราชวังก่อนปรากฏขึ้นอีกครั้งที่กลางท้องนภาของคูเมืองแห่งนี้ เขาก้มหน้ามองไปทางคูเมือง ค้นหาร่องรอยของของจิตสำนึกปราดเปรียวสายนั้น หวังเป่าเล่อหาตำแหน่งของมันพบแทบจะในพริบตา ประกายวาววับพาดผ่านนัยน์ตา จับจ้องอยู่ที่ร่างชายขี้เมาซึ่งกำลังนอนกรนหลับลึกอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง
ทว่าพริบตาที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเข้าไป ตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในคูเมืองแห่งนี้ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ล้วนเงยหน้าขึ้นทั้งหมด ทั้งคนเดินถนน พ่อค้า เด็กเล็ก นักร้อง เวลานี้ต่างเงยหน้ามองมายังหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟ้า
“เจ้าไม่ควรมา”
“เจ้าไม่ควรมา”
“เจ้าไม่ควรมา”
คำพูดแบบเดียวกันลอยออกมาจากทุกคนที่เงยหน้ามองหวังเป่าเล่อในคูเมืองแห่งนี้ เมื่อประสานเข้าด้วยกันก็เป็นดั่งการคำรามของคูเมืองราวกับระเบิดก้องฟ้า ราวกับพายุโหมซัดสาด สะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าดิน
กลายเป็นอุปสรรคแข็งแกร่งขุมหนึ่งที่ราวกับจะขัดขวางดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ และในเวลาเดียวกันก็มีแรงขับไล่อันน่าสะพรึงขุมหนึ่งระเบิดสนั่นขึ้น แรงขับไล่นี้มาจากสิ่งมีชีวิตแห่งนี้ ราวกับด้วยการประสานรวมกันของดวงจิต พวกเขาได้เข้าใช้แทนเต๋าสวรรค์ ใช้แทนกฎเกณฑ์
ดังนั้น การไม่ต้อนรับของพวกเขาได้ส่งผลให้โลกผืนนี้กลายเป็นแรงขับไล่หวังเป่าเล่อแทน
หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว มือขวายกขึ้นช้าๆ ขณะที่กำลังจะสะกด ตอนนั้นเองเสียงไอค่อกแค่กก็ลอยออกมาจากชายขี้เมาในตรอกแห่งนั้น
จากนั้น โลกใบนี้ก็กลับมาเป็นดังเดิมทันที ราวกับทุกคนลืมการโห่ร้องก่อนหน้า ทยอยกันกลับคืนเป็นปกติ ขณะเดียวกัน เปลือกตาปรือปรอยของชายขี้เมาก็ลืมขึ้นช้าๆ และพริบตาที่ดวงตาทั้งสองข้างเปิดขึ้น…
สายฝนที่ตกลงในคูเมืองแห่งนี้พลันหยุดลง แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตก็เป็นเช่นเดียวกัน เพิ่งจะฟื้นคืนกลับมา คนเดินถนนที่กำลังรีบเร่งไม่ขยับเขยื้อน พ่อค้าที่หยิบของให้ลูกค้าก็ค้างเติ่งในท่าหยิบของ เด็กน้อยที่เริงร่าก็หยุดอยู่ในท่าวิ่งเช่นเดียวกัน
แววตาลึกล้ำพาดผ่านนัยน์ตาหวังเป่าเล่อ เขาสาวเท้าลงมาจากท้องฟ้าไปยังตรอกเส้นนั้น ยืนอยู่หน้าชายขี้เมาที่ในเวลานี้ลุกขึ้นจากท่าเอนนอนอยู่ในท่านั่งพิงกำแพง
ผมเผ้าของเขากระเซอะกระเซิง ดวงตาขมุกขมัว ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา แต่ก็ยังพอมองออกได้อย่างเลือนรางว่าเหมือนกับจักรพรรดิเสวียนเฉินไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็กระจ่างใส ในใจได้คำตอบแล้ว คนตรงหน้าถึงจะเป็นจักรพรรดิเสวียนเฉินตัวจริง นี่คือมิติฝันของเขา ส่วนคนที่อยู่ในพระราชวังผู้นั้นก็เป็นแค่ตัวเองในความฝันของคนผู้นี้เท่านั้น ล้วนเป็นมายา
ชายขี้เมาในเวลานี้ศีรษะเอียงพิงกำแพงพลางหยิบกาสุราข้างกายขึ้นมา เมื่อดื่มน้ำเมาที่เหลือไม่มากไปอึกหนึ่งก็พ่นลมหายใจผสมกลิ่นสุราออกมายาวๆ ก่อนมองไปยังหวังเป่าเล่อ
“เจ้าว่างมากจนมารบกวนฝันหวานผู้อื่น หากไม่ใช่เพราะบนตัวเจ้ามีกลิ่นอายไม่ได้เรื่องของลูกข้า ข้าคงไล่เจ้าออกไปแต่แรกแล้ว”
“ผู้อาวุโส ขออภัยที่รบกวน” หวังเป่าเล่อประสานมือคารวะเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เข้ามิติฝันมาที่นี่ ตามหาเจ้าของความฝัน เจ้าจะยืมใช้มิติฝันเข้าไปในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด?” ชายขี้เมาเขย่ากาสุราในมือไปมาก่อนโยนไปข้างๆ
“ผู้อาวุโสโปรดช่วยเหลือด้วย” หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจที่คนตรงหน้ารู้สิ่งเหล่านี้ สำหรับชนชั้นสูงอย่างจักรพรรดิเสวียนเฉิน เรื่องราวต่างๆ เพียงปราดเดียวก็มองทะลุปรุโปร่ง
“ฟ้าใกล้มืดแล้ว” ชายขี้เมาเอ่ยตอบทันที คำพูดนี้ดูไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาก่อนหน้า ก่อนปิดตาลง
“หืม?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าพริบตาถัดมาสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไป ดวงจิตเทพกวาดไปทั่วเมือง เวลานี้เมฆดำบนฟ้าได้บดบังแสงอาทิตย์สุดท้ายจนมิด พื้นดินมืดสลัว ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตที่เดิมถูกหยุดค้างไว้ ตอนนี้ก็ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดแล้ว
แต่…สีหน้าท่าทางของพวกเขากลับแตกต่างไปจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง อิงแอบอยู่ด้วยกัน คู่รักที่อยู่ใต้ร่มกระดาษน้ำมันคันเดียวกันระหว่างเดินไปเบื้องหน้าพลันทะเลาะกันขึ้นมา สีหน้าทั้งคู่ดูน่าเกลียดพ่นคำว่าร้าย
เด็กน้อยที่กำลังเล่นซุกซน เพียงพริบตาก็ดูดุร้ายตบตีกัน
อีกทั้งพ่อค้าที่กำลังค้าขายอยู่ก็ควักมีดออกมาจากอกอย่างกะทันหัน กระโจนไปทางลูกค้าแทงออกไปอย่างโหดเหี้ยม
แม้แต่นักร้องที่เดิมกำลังร้องรำทำเพลงก็เช่นกัน ราวกับกลายเป็นปีศาจร้าย ทุกๆ คนทั่วทั้งคูเมืองล้วนเป็นเช่นนี้ คูเมืองตอนกลางวันสามัคคีสงบสุข ยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองปีศาจ
เสียงคำราม เสียงกรีดร้อง เสียงก่นด่า เสียงบ้าคลั่งล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้
กลางวันดั่งมิตรภาพ
กลางคืนชั่วร้ายอย่างยิ่ง
เหตุการณ์ฉากนี้ทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ เขาไม่เข้าใจ ต้องเป็นสภาพจิตใจแบบไหนกันถึงจะสามารถทำให้เกิดภาพดีและร้ายกลับไปกลับมาเช่นนี้ให้เกิดขึ้นในความฝันได้
“ในฝันนี้ แต่ละคนล้วนมีด้านดีและด้านร้าย” ชายขี้เมาหลับตาลงท่าทางคล้ายละเมอพูด ไม่รู้ว่าคลำหยิบกาสุราอีกกาหนึ่งมาจากตรงไหนข้างกาย
“เจ้าอยากใช้ข้าเป็นทางผ่านไปจากที่นี่ เข้าสู่มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด เช่นนั้นเจ้าต้องตอบคำถามข้าข้อหนึ่งก่อน เจ้าว่า…”
“ข้าดีหรือชั่ว?”
“หากเดาถูก ข้าจะยอมฟื้นตื่นให้เจ้าเข้าไปในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด หากเดาผิดหวังว่าเจ้าจะจากไป เจ้า…ไม่ควรมา”
หวังเป่าเล่อมองไปยังชายขี้เมา เงียบงันครู่ใหญ่ก่อนเงยหน้ามองไปทางพระราชวัง
“มองว่าดีก็ดี มองว่าชั่วก็ชั่ว อยู่กับความคิดของท่าน”
เมื่อคำพูดนี้ลอยออกมา ท่วงท่าที่กำลังจะยกกาสุราของชายขี้เมาพลันชะงัก นิ่งงันไปทั้งร่าง ครู่ต่อมาดวงตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ เปิดออก เส้นเลือดแผ่กระจายแฝงด้วยความซับซ้อนยากจะเอื้อนเอ่ย ก่อนมองไปยังหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“เป็นเจ้าจริงสินะ…” ชายขี้เมางึมงำพลางยิ้มเฝื่อน มือขวายกโบกเต็มแรง เพียงพริบตาโลกที่คูเมืองอยู่พลันพร่ามัวทันที ราวกับฟองอากาศที่แตกละเอียดเริ่มจากขอบทั้งสองก่อนค่อยๆ จางหายไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว คำพูดเมื่อครู่ของจักรพรรดิเสวียนเฉินทำให้เขารู้สึกประหลาดชอบกล
“ผู้อาวุโสหมายความเช่นไร?”
ชายขี้เมาไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะร่า หัวเราะไปหัวเราะมา โลกใบนี้ก็ยิ่งพร่ามัว กระทั่งตรอกที่พวกเขาอยู่ก็เริ่มจะเลือนหายไป
มีเพียงเสียงหัวเราะที่ซับซ้อนและฝืดเฝื่อนของเขาที่สะท้อนก้องอยู่
“เดิมเฝ้าตะเกียงน้ำมันเดินทางธรรม กลับติดอยู่ในโลกวุ่นวายด้วยสุรา สามชาติมีโชคได้พบเจ้า เจ้าเป็นทั้งรางวัลและด่านเคราะห์…”
”ผู้อาวุโส?” สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ถ้อยคำนี้ทำให้ความรู้สึกประหลาดในใจทวีความรุนแรงขึ้น
“ข้าถามเจ้าอีกสักข้อ” ทั้งคูเมืองนี้ แม้แต่ตรอกเส้นนี้ เวลานี้ล้วนจางหาย ร่างของชายขี้เมาก็เช่นเดียวกัน แต่ขณะที่เขากำลังจะจางสลายไปจนสิ้น ชายขี้เมาก็มองหวังเป่าเล่อพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าล่ะ? ดี ชั่ว หรือ…ขึ้นอยู่กับความคิดเหมือนกัน?”
……………………………………….