หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1325 เทศกาลสวาปาม
หลังจากมองดูทั้งหมดนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ร่างกายหายวาบ ชั่วพริบตาก็ปรากฏตัวอยู่กลางกลุ่มผู้คนพร้อมเดินตามฝูงชนเข้าประตูเมือง
เมื่อเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมอวลชวนน้ำลายสอที่ลอยมาจากในเมืองก็ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ต่อแถวเข้าเมืองอยู่หายใจถี่รัวเล็กน้อย
แม้จะส่งผลต่อหวังเป่าเล่อน้อยมาก แต่ความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาเช่นนี้ก็ยังชวนให้นึกถึงความทรงจำเรื่องการกินของร่างจริงในวัยเด็กขึ้นมา
มันทำให้หวังเป่าเล่ออดลูบคลำกระเป๋าคลังเก็บไม่ได้ น่าเสียดายที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ด้านในจึงไม่มีน้ำเย็นหล่อวิญญาณ
“จู่ๆ ก็คิดถึงขึ้นมา…” ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขาก็เงยหน้ามองประตูเมืองที่อยู่ไกลๆ แม้ที่นี่จะมีทหารรักษาการณ์อยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจคนเข้าเมืองพวกนี้ ทว่ากลับมีม่านแสงบังอยู่ที่ประตูเมือง
เห็นได้ชัดว่ามันคือเทพวัตถุอย่างหนึ่ง ผู้ที่ก้าวผ่านม่านแสงเข้าเมืองทุกคนล้วนได้รับการระบุป้ายคำสั่งและจำนวนครั้งการใช้งานโดยอัตโนมัติ ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขย่อมผ่านไปได้โดยไม่ถูกขัดขวาง แต่บางครั้งก็จะมีคนที่พยายามจับปลาในน้ำขุ่นอยู่เช่นกัน
คนเหล่านี้ล้วนถูกขวางเอาไว้ข้างนอกโดยไม่มีข้อยกเว้น ถ้ายังวอแวอยู่อีกล่ะก็ ทหารรักษาการณ์เหล่านั้นก็จะลงมือโยนคนพวกนี้ออกไปไกลๆ
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อสนใจไม่ใช่คนที่ถูกโยนออกไปเหล่านั้น แต่เป็นม่านแสงเทพวัตถุนั่นต่างหาก และถึงแม้ทหารรักษาการณ์เหล่านี้จะสวมชุดแบบมาตรฐาน แต่ดูจากเกราะอันหรูหราและใบหน้าท่าทางดูมีสง่าราศีแล้ว ก็คล้ายกับได้กินของบำรุงชั้นยอดที่ยังไม่ย่อยสลายเข้าไป สีหน้าของแต่ละคนเต็มเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง ยามกวาดตามองคนเข้าเมือง ส่วนใหญ่ก็จะมีประกายเหยียดหยามเล็กน้อย
จากความเข้าใจในธรรมชาติมนุษย์ของหวังเป่าเล่อแล้ว สิ่งที่ทำให้ทหารรักษาการณ์มีพฤติกรรมเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของและภาคภูมิใจต่อเมืองแห่งนี้ ถึงได้ประพฤติตนเช่นนี้ออกมา
ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจต่อเมืองปรารถนารสมากขึ้นไปอีก
ไม่นานนัก หลังจากกลุ่มคนเข้าเมืองที่หวังเป่าเล่ออยู่เดินผ่านม่านแสงเข้าไปทีละคนๆ จนมาถึงคราวของหวังเป่าเล่อ เขาก็ก้าวเข้าไปใกล้กับม่านแสงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และในชั่วขณะที่ก้าวเข้าไป เขาก็สัมผัสได้ว่าป้ายสิทธิเข้าเมืองที่ตนได้มากะพริบวูบ จากนั้นในหัวก็มีดวงจิตเทพดวงหนึ่งดังขึ้น
“เจ็ดวัน หนึ่งครั้ง”
ดวงจิตเทพนี้เย็นชาเหมือนเครื่องจักร ไม่มีความผันผวนทางอารมณ์ใดๆ เห็นได้ชัดว่ามันมาจากเทพวัตถุของประตูเมือง สิ่งที่บอกมาก็กระชับเรียบง่ายอย่างยิ่ง ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าตนสามารถรั้งอยู่ในเมืองนี้ได้เจ็ดวัน ขณะเดียวกันก็เหลือสิทธิเข้าเมืองอีกแค่ครั้งเดียว
“น่าสนใจนี่” เขาพึมพำอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อเดินออกจากม่านแสง ก้าวเข้าไปในเมือง แทบจะทันทีที่เขาเข้าสู่เมืองนี้ กลิ่นหอมฟุ้งตลบก็พุ่งเข้ามาหา ขณะเดียวกันยังมีเสียงกู่ร้องราวกับอีกเดี๋ยวก็จะดังกึกก้องไปทั่วทั้งหูของหวังเป่าเล่อแล้ว
เขามองเห็นว่าที่ถนนสายหลักข้างหน้าในเมืองอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ตอนนี้กำลังมีผู้คนสวมชุดสีสันสดใส ท่าทางตลกขบขันจำนวนมากโห่ร้องพลางก้าวไปข้างหน้า
คนสวมชุดสีสันสดใสเหล่านี้พิเศษอย่างยิ่ง ตัวของพวกเขาโป่งพอง โดยเฉพาะคนที่อยู่ด้านหน้าสุด ไม่ได้ต่างจากสมัยนั้นที่หวังเป่าเล่ออ้วนที่สุดเลยสักนิด คนทั้งคนดูแล้วคล้ายกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่ง
ภูเขาเนื้อคนนี้ไม่ได้เดินด้วยตัวเอง แต่ถูกผู้ฝึกตนสวมชุดสดใสหลายสิบคนแบกอยู่
ส่วนด้านหน้าอาคารมากมายบนสองข้างทางตอนนี้ล้วนมีผู้คนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดกัน มองดูภูเขาเนื้อและขบวนแห่พร้อมส่งเสียงโห่ร้องกันทั้งคณะ
ขณะที่ฝูงชนจากสองข้างทางกู่ร้องอยู่นั้น บางคราวกลุ่มคนสวมชุดสีสันสดใสในขบวนแห่บนถนนหลักก็โยนอาหารปรุงสุกต่างๆ ออกมา เนื้อเอย ผลไม้เอย ผักเอย และยังมีของกินได้จำพวกโอสถบำรุงอีกด้วย ก่อนจะถูกกลุ่มคนที่อยู่สองข้างทางพากันแย่งชิงแล้วกินเข้าไป
ดูคล้ายจะสนุกสนาน แต่ภาพนี้กลับมีความประหลาดแฝงอยู่
เพราะว่า…นอกจากกลุ่มขบวนแห่ที่สวมชุดสีสันสดใสแล้ว แทบทุกคนจากสองข้างทางต่างก็…ผอมโซมีแต่กระดูก ใบหน้าเหลืองซูบ ในดวงตามีเส้นเลือด ยิ่งตอนกินอาหารก็เผยความตะกละตะกลามออกมา
ถึงขั้นที่หวังเป่าเล่อยังเห็นว่ามีหลายคนฆ่ากันเองเพียงเพื่อเนื้อชิ้นหนึ่ง และคนที่ตกตายเพราะฝูงชนรอบข้างแน่นขนัดเกินไปเหล่านั้นก็ไม่อาจล้มลงได้เลย แต่ถูกอัดเอาไว้ตรงนั้น ดูแล้วยิ่งแปลกพิลึกไปใหญ่
ราวกับ…ทุกคนล้วนเป็นบ้าไปหมด
ยิ่งกว่านั้นที่ด้านหลังของกลุ่มขบวนแห่ชุดสีสันสดใสยังมีคนผอมแห้งติดกระดูกจำนวนมากกว่าเดินตามคณะมา ตลอดทางต่างโห่ร้อง ตลอดทางต่างยื้อแย่งอาหาร และเมื่อคณะขบวนแห่ไปไกลแล้ว คนที่อยู่สองข้างทางก็พุ่งเข้าไปอยู่ในฝูงชนที่อยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว แล้วตามขบวนแห่ไป ราวกับงูยักษ์ที่ตัวยาวขึ้นไม่หยุดและกำลังทะลักไปข้างหน้า
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การมีอยู่ของเขาแทบจะไม่มีใครให้ความสนใจด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้เขาจะเข้าไปในฝูงชนแล้วเดินตามกลุ่มคนไปด้วย ก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนใส่ใจ
เป็นเช่นนี้ ขณะที่สังเกตการณ์และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ สองชั่วยามต่อมา ขณะที่ขบวนแห่เคลื่อนตัว ฝูงชนที่ตามอยู่ข้างหลังก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแน่นขนัด คงจะมีมากถึงหลายล้านเลยทีเดียว แม้แต่หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยังรู้สึกเวียนหัวเพราะเสียงกู่ก้องอื้ออึงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น เมื่อเทียบกับหวังเป่าเล่อที่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้แล้ว คนที่ทำไม่ได้ย่อมมีอยู่มากมาย อีกทั้งเมื่อไม่อาจต้านทานก็เหมือนกับติดเชื้อ จะเสียสติอยู่ในอาการวิงเวียน พฤติกรรมก็จะยิ่งคล้อยไปกับคนหมู่มากเป็นธรรมดา
ส่วนอาหารที่ถูกโยนมาให้นั้น หวังเป่าเล่อไม่เคลื่อนไหว สัญชาตญาณบอกเขาว่าอาหารเหล่านี้มีปัญหา และก็เป็นเช่นนี้ เมื่อผ่านมาสองชั่วยาม จู่ๆ ขบวนแห่ข้างหน้าก็หยุดลง เสียงโห่ร้องหายวับอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นความเงียบงัน
หวังเป่าเล่อแผ่ดวงจิตเทพออกมา เขามองเห็นทันทีว่าตอนนี้จุดที่อยู่ข้างหน้าขบวนแห่คือแท่นบูชาขนาดใหญ่ ทั่วทุกทิศรอบแท่นบูชาล้วนมีกลุ่มขบวนแห่อออยู่ตลอด ผู้นำต่างเป็นคนที่เหมือนกับภูเขาเนื้อ และด้านหลังก็มีคนผอมแห้งจำนวนมากตามอยู่เหมือนกัน
ราวกับ…คนทั้งเมืองรวมถึงคนนอกล้วนมารวมตัวกันที่นี่
และบนแท่นบูชานั้น เดิมทีมันว่างเปล่า แต่ตอนนี้ขณะที่ประกายแสงกะพริบวาบ เงาร่างมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้น
คนผู้นี้สูงถึงพันจั้งและสั่นสะเทือนจิตใจของผู้คนไปพร้อมกัน เป็นเพราะรูปร่าง จึงทำให้ความรู้สึกกดดันจากตัวเขาน่าตะลึงยิ่งกว่าเดิม
ถ้าหากเทียบกับคนธรรมดาแล้ว หากการที่คนอ้วนแปดคนที่ถูกผู้คนแบกไว้จากแปดทิศทางรอบแท่นบูชาถูกเรียกว่าภูเขาเนื้อ เช่นนั้นตอนนี้พอนำมาเทียบกับยักษ์ใหญ่สูงพันจั้ง พวกเขาก็เหมือนกับเด็กทารกอย่างไรอย่างนั้น
ในแง่หนึ่ง ยักษ์ใหญ่สูงพันจั้งผู้นี้ไม่อาจนับว่าเป็นมนุษย์แล้ว แต่เป็นเนื้อชิ้นหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างทุกกระเบียดนิ้ว!
คลื่นผันผวนของพลังฝึกตนที่เทียบได้กับขั้นห้าสูงสุดแผ่ออกมาจากตัวของก้อนเนื้อชิ้นนี้ ช่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน กดดันทุกผู้คนยิ่งนัก
“คารวะเจ้าปรารถนา!” เมื่อเสียงร้องคำรามของเจ้าอ้วนทั้งแปดจากแปดทิศรอบแท่นบูชาดังขึ้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็เป็นบ้าขึ้นมา แววตาคลั่งไคล้ พากันตะโกนร้องเสียงดังลั่น
ขณะที่ทุกคนตะโกนร้องอยู่นั้น ก้อนเนื้อบนแท่นบูชาก็ค่อยๆ ยกมือขวาอันน่าสะพรึงขึ้นมาแล้วกดลงไป ทันใดนั้นรอบข้างก็เงียบงันอีกครั้ง ขณะเดียวกัน เส้นสีทองนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อน แล้วปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง
มันคือหนวดทองที่หวังเป่าเล่อเคยกินไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งนั่นเอง ตอนนี้กำลังก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ยักษ์ หนวดทั้งหมดในนั้นล้วนดิ้นไปมา ดูแล้วน่าสะพรึงอย่างยิ่ง