หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1333 ปักหลัก
“ข้าชอบที่นี่” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของหวังเป่าเล่อดังออกมาจากทะเลแห่งความมืด
ตอนนี้เมื่อเขาก้าวเข้าไปเต็มตัวแล้ว ด้านนอกประตูที่พังทลาย ปราณมืดพวยพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด อาบย้อมทุกตารางนิ้วของร้านอาหารชั้นหนึ่ง ขณะที่มันกำลังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างผุพัง เปลวไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมาและเริ่มแผดเผา
ขณะที่เกิดการเผาไหม้ขึ้น หวังเป่าเล่อก็เดินไปยังบันได ขึ้นไปทีละขั้นๆ ทุกขั้นที่เหยียบลงไป บันไดตรงนั้นก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านแตกสลาย แต่ร้านอาหารร้านนี้กลับยังคงอยู่ ไม่มีร่องรอยพังทลายแม้แต่น้อย
เช่นนี้เอง หวังเป่าเล่อเดินไปถึงชั้นสอง ชั้นสองของร้านแห่งนี้มีห้องแยกส่วนตัวอยู่หลายห้อง ตอนนี้ในชั่วพริบตาที่เขาก้าวลงไป ประตูห้องแยกทั้งหมดพลันเปิดออก ผู้ฝึกตนหลายคนตาแดงก่ำ พุ่งออกมาจากข้างใน ทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ
แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ในทะเลแห่งความมืดบนตัวของหวังเป่าเล่อก็พลุ่งพล่านดีดดิ้นไปมา ก่อนจะมีเงาหมอกหลายสายคล้ายกับผีร้ายพุ่งออกมา แต่ละตัวบินว่อนอย่างดุดัน ก่อนจะถลันไปหาพวกผู้ฝึกตน ผ่านไปที่ใด เสียงร้องน่าเวทนาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง ครั้นถูกสัมผัสเข้า ร่างกายของผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็เหี่ยวแห้งไปตามๆ กัน จนกระทั่งสลายหายไป
เหลือเพียงเงาวิญญาณหลายสิบร่างเท่านั้น ตอนนี้พวกมันกรีดร้องไร้เสียงออกมา พร้อมแผ่กลิ่นอายแห่งปรารถนาอันเข้มข้น เดินตระเวนอยู่ที่ชั้นสอง สุดท้ายก็กลับมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แล้วคืบคลานมาหาทีละตนๆ
“กฎเกณฑ์แห่งความกระหายอยาก หลังจากตระหนักรู้ถึงระดับหนึ่งแล้วก็สามารถสร้างฝันร้ายของตัวเองออกมาได้ ฝันร้ายแห่งความปรารถนาเหล่านี้ ไม่ว่าจะโยนตัวไหนเข้าไปในโลกใบเล็ก ก็ล้วนทำให้โลกแห่งนั้นกลายเป็นทะเลทุกข์”
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า โบกมือขึ้น ชั้นที่สองก็ผุพังทั้งหมด เท้าของเขาเดินไปยังชั้นที่สาม ในชั้นที่สามมีอยู่แค่สามห้อง
และเมื่อฝันร้ายแห่งความปรารถนาเหล่านี้พวยพุ่งเข้าไป ห้องทั้งสามก็กลายเป็นเถ้าถ่านและเผยให้เห็น…เงาร่างของผู้ฝึกตนสามคนที่นั่งสมาธิอยู่ในนั้น
สองคนเป็นชายชรา หนึ่งคนมีเกล็ดโลหิตลักษณะเหมือนอสูรร้าย
ตอนนี้ร่างกายของชายชราทั้งสองสั่นกระตุกราวกับอยากจะลืมตาแต่ไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ฝันร้ายแห่งความปรารถนาเข้ามาใกล้อย่างตะกละตะกลาม สอดแทรกเข้าไปอย่างดุเดือดผ่านรูขุมขนและทวารทั้งเจ็ดของพวกเขา
ส่วนเกล็ดโลหิตนั้น หลังจากหวังเป่าเล่อก้าวขึ้นมายังชั้นที่สาม อักขระบนเกล็ดที่หว่างคิ้วก็เปล่งประกายราวกับกำลังต่อต้าน จึงพอจะฝืนลืมตาขึ้นมาได้ ทำให้เห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดกำลังมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างตื่นตระหนก
“นี่ของเจ้าหรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบ เขาสะบัดมือ เกล็ดโลหิตที่นำมาจากบนโต๊ะในร้านก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าเกล็ดโลหิต
เกล็ดโลหิตตัวสั่นเทิ้ม ลูกตาของเขาคล้ายดิ้นรนเพื่อมองขึ้นไปด้านบน แต่ในขณะที่เขาพยายามมองขึ้นไปนั้น เสียงถอนหายใจก็ค่อยๆ ดังออกมาจากชั้นที่สี่ของร้านอาหารแห่งนี้
“สหายเต๋า เจ้าทำเกินไปหน่อยแล้ว หากจากไปตอนนี้ ข้าผู้เฒ่าจะทำเป็นว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น”
ขณะที่เอ่ย เพดานกั้นระหว่างชั้นสามและชั้นสี่ของร้านอาหารก็พร่าเลือนในชั่วพริบตา ด้านบนของหวังเป่าเล่อเผยให้เห็น…ร่างที่อยู่บนชั้นสี่
เงาร่างนี้คล้ายคลึงกับเขา ดำมืดไร้ใดเทียบเทียม เหมือนกับวังน้ำวนกลุ่มหนึ่ง ทำได้เพียงมองเห็นรางๆ ในนั้นมีคนนั่งสมาธิอยู่กลางไอหมอกกลิ้งเกลือก ตอนนี้เองก็มีดวงตาคู่หนึ่งซึ่งมองตรงมายังหวังเป่าเล่อ
ขณะเดียวกันภายในวังน้ำวนของร่างร่างนี้ ฝันร้ายแห่งความปรารถนาแบบเดียวกันหลายสิบตนก็แผ่ขยายออกมาทีละตัวๆ มันร้องคำรามไปทางหวังเป่าเล่อ ทำให้ฝันร้ายแห่งปรารถนารอบตัวหวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น จิตสังหารของแต่ละตนระเบิดออกมาคล้ายเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ตอนนี้เมื่อเกล็ดโลหิตมองเห็นเงาร่างบนชั้นสี่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด แต่เกล็ดที่ลอยอยู่ตรงหน้าเกล็ดโลหิตพลันระเบิดออก ก่อนกลายเป็นหนามแหลมคมทะลวงไปยังหว่างคิ้วของเกล็ดโลหิตในพริบตา แล้วไประเบิดในร่างของเขาต่อ ทำให้เกล็ดโลหิตไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง ร่างวิญญาณของเขาแตกสลายทันที
ภาพนี้เห็นได้ชัดว่าทำให้เงาร่างบนชั้นสี่โกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“รนหาที่ตาย!” เมื่อเสียงอื้ออึงเหมือนสายฟ้าดังขึ้น เงาร่างบนชั้นสี่ก็คล้ายลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ ทันใดนั้นวังน้ำวนที่เขาอยู่ก็ขยายใหญ่อย่างฉับพลัน มันกลายเป็นยักษ์ตัวสูงถึงยี่สิบกว่าจั้งสะเทือนฟ้าดินทันที
ทั่วร่างของยักษ์ดำมืดสนิท ไอหมอกพันรอบ พลานุภาพทั้งตัวมีมหาศาล ตอนนี้เมื่อมันยืนขึ้นก็ราวกับสามารถค้ำยันท้องฟ้าได้ มันยกมือขวาตบลงมาที่หวังเป่าเล่อทันที
ขณะที่ลงมือ คลื่นผันผวนแห่งความปรารถนาทั่วร่างก็ยิ่งระเบิดออกจนส่งผลกระทบไปทั้งแปดทิศ ทำให้ชาวเมืองในเมืองปรารถนารสพากันจิตใจสั่นสะท้าน
สายตาหลายคู่ก็ยิ่งมารวมกันจากทั้งสี่ทิศ
“เป็นสาวกเนื้อ!”
“สาวกเนื้อคนหนึ่งกำลังโจมตี!”
ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางเสียงดังก้องเหล่านี้ ในเมืองปรารถนารสก็มีเงาร่างมหึมาสูงร้อยจั้งแปดร่างปรากฏขึ้นมาจากแปดทิศในเมืองปรารถนารสอย่างเลือนราง แต่ละร่างล้วนเหมือนกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่งพร้อมกับอานุภาพกดดันเข้มข้นน่าตะลึง กำลังมองมาที่นี่
การปรากฏตัวของทั้งแปดคนนี้ทำให้เสียงฮือฮาทั้งหมดหายวับ กลายเป็นความกริ่งเกรง เพราะพวกเขาก็คือ…เจ้าสวาปามทั้งแปดแห่งเมืองปรารถนารสนั่นเอง
และในชั่วพริบตาที่สายตาของเจ้าสวาปามทั้งแปดมองเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้ ฝ่ามือของยักษ์ที่แปลงมาจากสาวกเนื้อผู้นั้นก็กดลงมาทันที ฝ่ามือผ่านไปที่ใด ร้านอาหารก็จะพังทลายอย่างสมบูรณ์ และมันก็กดลงบนศีรษะของหวังเป่าเล่อ
แต่…กลับไม่อาจกดลงต่อได้!
ใต้ฝ่ามือนี้ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน สิ่งที่ยันฝ่ามือนี้เอาไว้คือฝันร้ายแห่งความปรารถนาพวกนั้นที่เขาแผ่ออกมา
ถึงตาข้าพูดสามคำนั้นแล้ว…เจ้า หาที่ตาย” ชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างนิ่งสงบ ก็มีเสียงดังลั่นออกมาจากร่างของเขา วังน้ำวนที่เขาอยู่พลันขยายใหญ่แล้วระเบิดออกมาทันที สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง สามสิบจั้ง สี่สิบจั้ง!
เมื่อมันแผ่ขยาย มือยักษ์ก็ถูกดันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดันถึงขีดสุด มันคล้ายคิดจะถอนมือกลับไป แต่กลับถูกหวังเป่าเล่อจับเอาไว้ พริบตาต่อมา เมื่อวังน้ำวนที่หวังเป่าเล่ออยู่ระเบิดจนถึงสี่สิบจั้ง เขาก็ก้มหน้าลง มองไปยังสาวกเนื้อที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
“เจ้า…” สาวกเนื้อเพิ่งจะเอ่ยออกมา หวังเป่าเล่อก็อ้าปากกว้าง ดูดอีกฝ่ายเข้าไปทันที คล้ายกับลมพายุพัดม้วน และเหมือนกับหลุมดำระเบิดออก แรงสูบมหาศาลพุ่งออกมาจากปากของหวังเป่าเล่อทันที ทำให้กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสบนร่างของสาวกเนื้อผู้นี้พังโค่นในชั่วพริบตา แล้วพุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ
“บังอาจ!” ที่ไกลๆ เงาเลือนรางของเจ้าสวาปามสูงร้อยจั้งก็ส่งเสียงคำรามต่ำออกมา ยกมือขวาขึ้นพุ่งไปจับหวังเป่าเล่อทันที มือของมันผ่านไปที่ใด ฟ้าดินล้วนเปลี่ยนสี เมฆลมพลิกม้วน ท้องฟ้าถูกปกคลุม บางส่วนของมือยักษ์กำลังจะจับลงไป
แต่ตอนนี้เอง เสียงหัวเราะเยาะก็ดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เงาร่างเลือนรางของเจ้าสวาปามอีกคนทางด้านนั้นก็ยกมือขึ้นเช่นกัน ฝ่ามือพุ่งตรงไปหาท้องฟ้า
“ถัวหลิงจื่อ การต่อสู้ของชาวเนื้อเจ้าอย่าเข้าร่วมด้วยดีกว่า”
“โจวหั่ว เจ้ากล้าขวางข้าหรือ!”
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น มือยักษ์สองข้างบนท้องฟ้าก็ปะทะเข้าด้วยกัน แต่ขณะที่พวกเขากำลังห้ำหั่นกันอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็สูบพลังสาวกเนื้อผู้นั้นจนหมดสิ้นแล้ว ทำให้วังน้ำวนสีดำบนร่างของคนผู้นั้นแตกสลาย เผยให้เห็นเงาร่างแก่ชราหายใจรวยริน หลังถูกโยนไปข้างๆ ความปรารถนาในร่างของเขาก็เกลือกกลิ้ง เงาร่างของเขาพุ่งพรวดจากสี่สิบจั้งไปถึงห้าสิบจั้ง เขายืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองท้องฟ้า
หวังเป่าเล่อประสานหมัดคำนับให้เจ้าสวาปามที่ช่วยเหลือตนผู้นั้นโดยไม่กล่าวอะไร จากนั้นก็หันกาย เดินไปยังทิศทางที่ร้านของเขาตั้งอยู่ทีละก้าวๆ เมื่อเขาเดินจากไป เงาร่างของเขาก็ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นคนธรรมดา
แต่สายตาที่มองมาทางเขาไม่เพียงไม่น้อยลง กลับยังมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มอิทธิพลจะกลมเกลียวกัน โดยเฉพาะสถานที่ที่ฝึกบำเพ็ญความปรารถนาแบบนี้ ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ภายในและแบ่งฝักฝ่ายได้เลย ดังนั้นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำก็คือแสดงคุณค่าของตนเองออกมา
น้ำเย็นหล่อวิญญาณคือคุณค่า กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาอันแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งเป็นคุณค่า
ครอบครองสองอย่างนี้ได้ แม้จะมีคนเพ่งเล็ง แต่ก็ต้องมีคนอยากคบค้าสมาคมและมอบน้ำใจให้อยู่แล้ว
…………………………………….