หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1341 อสูรเนินเขา
“ชิงหยางจื่อหรือ” ดวงตาหวังเป่าเล่อจดจ้องไปทางศีรษะของสตรีผู้นั้นทันที
แม้จะเป็นเพียงศีรษะ และใบหน้าดูดุร้าย แต่เพราะไม่ได้เน่าเปื่อย ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นความงามบนดวงหน้าได้ คาดว่าหลายปีก่อน สตรีผู้นี้ก็คงเป็นผู้ที่งดงามหาใครเทียบได้ในยุคนั้น
ทว่าน่าเสียดายตอนนี้คนได้เปลี่ยนไปแล้ว มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ราวกับผ่านความเป็นความตายนับไม่ถ้วนมานานหลายปี แล้วระเบิดมันออกมาต่อหน้าหวังเป่าเล่อ
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!” เสียงนางหวีดร้องแหลมและขมขื่น ขณะที่กล่าวผมดำสลวยนั้นราวกับงูพิษตัวแล้วตัวเล่า พุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อจากทุกทิศทางท่ามกลางความบิดเบี้ยว
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคำรามเสียงเย็น กฎเกณฑ์ปรารถนารสกระจายออกไปจากข้างในร่างทันที ชั่่วอึดใจเส้นผมเหล่านั้นก็คล้ายจะมีปัญญาวิญญาณอิสระ ก่อกบฎเส้นแล้วเส้นเล่า ภายใต้ผลกระทบของกฎเกณฑ์ปรารถนารส ต่างระเบิดความโลภอย่างแรงกล้า กลืนกินซึ่งกันและกันทันที
มีจำนวนหนึ่งกลืนศีรษะหญิงสาวเข้าไป ทว่านางกลับไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ราวกับ…ความเกลียดชังที่อยู่ภายในตัวนั้นอัดแน่นมากล้นจนแทนที่ทุกสิ่ง ไม่มีที่พอสำหรับความปรารถนาอื่น และเวลานี้มันได้นำพาความเกลียดชังพุ่งเข้าใส่ไปทางหวังเป่าเล่อ
ปากของนางยังคงหวีดร้องส่งเสียงกรีดแหลม
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!”
หวังเป่าเล่อร่างกายซวนเซ ชั่วอึดใจอมาก็ปรากฏอยู่บนศีรษะนี้ เขายกมือขวาขึ้น กดมันอย่างแรง ทันใดนั้นการระเบิดก็เกิดขึ้นดังกึกก้อง และตกลงบนศีรษะนี้ กลายเป็นฝันร้ายแห่งปรารถนานับไม่ถ้วน เข้าพันธนาการทันทีและทุบลงไปบนพื้นล่างอย่างแรง สุดท้ายก็เป็นตะปูตอกแน่นลงบนดินกลบศพ ไม่ว่าศีรษะนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้
และเส้นผมของนาง เวลานี้ท่ามกลางการกลืนกินซึ่งกันและกันก็ยิ่งน้อยลง
ทว่าเสียงกรีดร้องกลับไม่อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงดังลอดออกมาบ่อยครั้ง ทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ เข้าใจได้ว่า นาง…กรีดร้องได้เพียงคำนี้เท่านั้น
ขณะครุ่นคิดนั่นเอง เขามองไปที่ศีรษะที่ถูกตนตรึงไว้ที่พื้น หลังจากเดินเข้าไปใกล้ ท่ามกลางเสียงคำรามของสตรีผู้นี้ นิ้วของเขาก็กดไปที่หว่างคิ้ว เพื่อสัมผัสวิญญาณเทพของอีกฝ่าย
“ไม่มีวิญญาณอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง มองไปที่ศีรษะตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ภายในร่างของอีกฝ่ายไร้ร่องรอยวิญญาณ และดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นแรงขับให้ลงมือ ทั้งหมดคือความเกลียดชังภายในร่าง
“หรือว่าจะถูกปณิธานบางอย่างที่ข้าไม่อาจรับรู้ได้” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปรอบๆ เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจศีรษะของสตรีผู้นี้อีก ชั่วแวบเดียวร่างก็เหาะไปไกล
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!”
ด้านหลังของเขา เสียงแหลมรันทดของสตรีส่งมาไม่ขาดสาย และเสียงนั้นค่อยๆ หายไปขณะที่เขาเดินห่างออกไปไกล กระทั่งไม่ได้ยินเสียงอีก หวังเป่าเล่อจึงสะบัดมือ ตอนนั้นเองพื้นที่รอบด้านที่ถูกเขาตรึงไว้ รวมทั้งฝันร้ายแห่งปรารถนาที่พันธนาการนางไว้ก็สลายไปทันที
เวลานี้สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังในตอนแรก กลับกลายเป็นความงงงัน กระทั่งสุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่า เหาะขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก ล่องลอยอยู่รอบๆ…
กระทั่งล่องลอยอยู่เนิ่นนาน ขณะที่สายรุ้งทอดยาวอยู่ระหว่างฟ้าดินอันไกลโพ้น ฉับพลันก็เกิดแสงขึ้นในดวงตาที่ว่างกลวงของสตรีผู้นี้ ราวกับไฟลุกโชน ความเกลียดชังระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!” นางส่งเสียงแหลมรันทด ตรงไปที่ร่างนั้น ร่างนี้คือสาวกเนื้อผู้หนึ่ง ใบหน้าเผยความหวาดผวา เดิมทีขณะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเขาสัมผัสได้ถึงด้านหลังของตนตลอดเวลา เวลานี้อยู่ๆ ก็พบเข้ากับศีรษะนี้ ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่ทันได้หลบหลีกก็ถูกผมยาวจากสตรีผู้นั้นเข้ารัดพันธนาการโดยตรง ลากตรงเขาสู่ปาก ถูกกลืนกินลงไป
จนกระทั่งสาวกเนื้อผู้นี้ถูกกลืนกิน บนใบหน้าของเขานอกจากความหวาดกลัวแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยความงงันและสงสัยราวกับว่าก่อนจะเผชิญเข้ากับความตาย ก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายเมื่อเห็นตน จึงกล่าวว่าตนคือชิงหยางจื่อ
เหตุการณ์นี้ มีสาวกเนื้อเมืองปรารถนารสอีกผู้หนึ่งที่มาจากแดนไกลเห็นเข้า หนังศีรษะชาทันที รีบถอยห่างออกไปไกล
กระทั่งเขาจากไปแล้ว ขณะที่สตรีผู้นั้นกำลังเคี้ยวอยู่ สองตาก็ค่อยๆ สูญสิ้นความมีชีวิต ท่าทางไร้สติกลับมา ลอยล่องไปไกลโพ้น ไม่ได้สังเกตเห็นว่าเส้นผมของตนเวลานี้ กำลังร่วงหล่นบนพื้น กลายเป็นฝันร้ายแห่งปรารถนาที่เลือนรางสายหนึ่ง
ฝันร้ายแห่งปรารถนานี้ จดจ้องสตรีที่ลอยห่างออกไปไกล หลังจากนั้นไม่นาน ร่างมันก็ยิ่งเลือนราง กระทั่งสลายไปในที่สุด
ในขณะเดียวกัน ณ โลกอันไกลโพ้นที่ห่างไปไกลจากที่นี่ หวังเป่าเล่อที่กำลังบินสำรวจอยู่รอบด้าน อยู่ๆ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป หลังจากสัมผัสถึงมันได้สักพัก ความสงสัยที่มีอยู่ตรงหว่างคิ้วตลอดเวลาก็จางหายไปกว่าครึ่ง
“ที่แท้ เมื่อเห็นใครต่างก็ตะโกนประโยคนี้…” หวังเป่าเล่อหัวเราะมิได้ร้องไห้ไม่ออก ในความเป็นจริงก่อนที่เขาจะพบเข้ากับสตรีผู้มีแต่หัวผู้นี้ ก็สะเทือนใจกับความเกลียดชังและคำพูดที่ตะโกนออกมาอย่างฉับพลันของอีกฝ่ายไม่น้อย
เวลานี้จึงไม่ได้ครุ่นคิดอีกว่างผู้ใดคือชิงหยางจื่อ เขาก้มศีรษะลง เฝ้ามองพื้นโลก เสาะหาหนทางเข้าสู่พื้นล่าง
แม้ตามระดับการฝึกตนของเขา ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็สามารถเห็นทางเข้าของพื้นล่างได้ แต่ดินกลบศพผืนนี้ประหลาดนัก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า ดินกลบศพผืนนี้คล้ายจะมีดวงจิตที่วุ่นวายโกลาหล หากตนเลือกตามอำเภอใจ อาจทำให้เกิดความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น เขาจึงพยายามเสาะหาสถานที่ที่ดวงจิตบอบบาง
สถานที่เช่นนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อไม่ยากเลย หลายวันต่อมา ในการมองที่ไร้ขอบเขต หวังเป่าเล่อก็พบเนินเขาที่ดวงจิตอ่อนแอแห่งหนึ่งบนดินกลบศพซึ่งดูเหมือนไม่เปลี่ยนไปเลยชั่วนิรันดร์
ทั้งเนินเขาเป็นสีดำสนิท โครงสร้างภายในคล้ายกับภูเขาไฟ แต่ภายในกลับไร้เปลวไฟ มีเพียงเส้นทางที่คดเคี้ยวเชื่อมโยงกับพื้นล่างไว้ด้วยกัน
หวังเป่าเล่อกวาดสายตามอง เพิ่งจะเข้าใกล้ก็ต้องหรี่ตาลงทันที ยกมือขวาขึ้นกดไปข้างหน้าโดยตรง จากการกดนี้ พื้นดินพลันทรุดตัว วัตถุที่มีลักษณะเป็นท่อหนาหยาบนับสิบจั้งเส้นหนึ่ง ความยาวพันจั้งพอดิบพอดีก็แทงออกมาจากดินด้านล่างปรากฏขึ้นด้านบน เข้ามาทางหวังเป่าเล่อทันที
หลังจากสัมผัสมือขวาที่ยกขึ้นของหวังเป่าเล่อ ด้วยเสียงกังวานที่น่าตื่นตกใจนั้น แท่งยาวพันจั้งพลันหดเล็ก ก่อนจะตกลงพื้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน ณ เนินเขาแห่งนั้น…ยามนี้สั่นไหวไม่หยุด และโดยไม่คาดคิด…พื้นราบบก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นยกสูงขึ้นทีละน้อย!
พินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว นี่มันเนินเขาที่ไหนกันเล่า แท้จริงกลับเป็นอสูรประหลาดที่ดูเหมือนเนินเขาต่างหาก แท่งยาวที่มีความลึกคล้ายท่อนั่นก็เป็นเหมือนปากของมัน มักจะเจาะลึกลงไปในดิน เวลาคนมองเห็นก็จะคิดว่าเป็นทางเดิน
ตอนนี้ราวกับสัมผัสได้ถึงพลังของหวังเป่าเล่อ อสูรประหลาดเนินเขาจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหว คิดจะไปจากที่นี่ แต่ร่างที่มหึมากลับขาดซึ่งความคล่องตัว การเคลื่อนไหวเช่นนี้ แม้จะสั่นภูผาสะเทือนดิน ทรงพลังแข็งแกร่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเชื่องช้านัก
“ภายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดนี้ มีสิ่งแปลกประหลาดอยู่มากมาย สิ่งใดๆ ก็สามารถถือกำเนิดได้” หวังเป่าเล่อประหลาดใจมาก เวลานี้เขาบินวนรอบเนินเขา ปรากฏแสงประหลาดแก่ดวงตา
ต้องรู้ว่าด้วยระดับฝึกตนของหวังเป่าเล่อ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่อาจมองออกว่าเป็นสิ่งมีชีวิต เรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายความสามารถในการซ่อนตัวของอสูรเนินเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ เมื่ออสูรเนินเขาเคลื่อนตัว สถานที่ที่ดวงจิตเคยอ่อนบางก่อนหน้านี้ก็พลันหนาแน่นขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้แววตาของหวังเป่าเล่อยิ่งสว่างไสว เพียงแวบเดียวร่างกายของเขาก็ร่วงลงไปบนร่างของอสูรเนินเขา มันคล้ายจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว คำรามเสียงก้อง และในขณะที่ท่อกำลังจะดึงออกมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา กระจายศูนย์กลางของชีวิตออกมาจากร่าง
ตูม!
อสูรเนินเขาสั่นเทิ้ม ไม่แม้แต่จะขยับ
……………………………………..