หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1360 เล็กใหญ่มาเจอกัน
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้แน่ชัดว่าหลังตนจากไป ภายในเมืองปรารถนารสจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมถึงเรื่องที่เจ้าปรารถนารสถูกลงโทษด้วย แต่ทุกอย่างก็พอจะเดาและสรุปเองได้
ถึงอย่างไรกลุ่มคนเหล่านั้นที่แฝงด้วยเสียงของสรรพสิ่งซึ่งแปลงมาจากร่างต้นของเจ้าปรารถนาเสียง ก็เป็นตัวแทนเจตจำนงของผู้พิทักษ์และเป็นเมืองที่เชื่อฟังผู้พิทักษ์
อีกอย่างวิธีของเจ้าปรารถนารสก็เป็นทั้งการขัดขวางและยังเป็นการยั่วยุด้วย ในเมื่อเลือกที่จะช่วยหวังเป่าเล่อแล้ว ย่อมต้องเจอกับการลงโทษจากผู้พิทักษ์เป็นการแลกเปลี่ยน
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก มิเช่นนั้นเจ้าปรารถนารสคงไม่ตัดสินใจให้คำตอบหวังเป่าเล่อในชั่วเวลาสุดท้าย
“บางทีในอดีต เหตุผลที่เขาเลือกก้มหัวให้อาจเป็นเพราะ…มองไม่เห็นความหวังใดๆ” เบื้องลึกของจิตใจหวังเป่าเล่อซับซ้อน เพราะช่วงเวลาที่เขามาที่นี่ เขาก็ได้เข้าใจเรื่องพื้นฐานของโลกใบนี้แล้ว
ในโลกาชั้นแรก เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่กลายเป็นตัวจ่ายพลังเหล่านั้นคือผู้ที่ไม่เคยยอมจำนน สภาพของพวกเขาจึงน่าสังเวช ชั่วนิรันดร์ล้วนต้องถูกดูดกลืน ไม่อาจออกจากทะเลทุกข์ได้
ส่วนพวกเจ้าปรารถนารสและเจ้าปรารถนาเสียงก็เห็นได้ชัดว่าเลือกที่จะเชื่อฟัง พวกเขาถึงสามารถครอบครองตำแหน่งปัจจุบันได้ แต่ขณะเดียวกัน…การเชื่อฟังก็มีราคาที่ต้องจ่าย
ราคานั้นก็คือการสูญเสียอิสรภาพและอื่นๆ
หวังเป่าเล่อที่พุ่งไประหว่างฟ้าดินกำลังครุ่นคิด เขานึกถึงหม้อยักษ์สัมฤทธิ์ของเจ้าปรารถนารส ตอนนั้นอีกฝ่ายพูดว่าร่างกายของเขา…อยู่ภายในนั้น
“บางทีนั่นอาจเป็นราคาที่ต้องจ่ายอย่างหนึ่ง” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ เพราะเขารู้ว่าการปรากฏตัวของตนเป็นดั่งแสงอรุณแห่งความหวังของเจ้าปรารถนารส
แสงอรุณนี้เองที่ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เคยเลือกก้มหัว และกลายเป็นเจ้าปรารถนารสผู้นี้กลับมาฮึดสู้ขึ้นอีกครั้งและเดิมพันกับอนาคต
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าปรารถนาเสียงไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ด้วย แล้วยังเจ้าปรารถนาคนอื่นที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่อีก…” ขณะคิดดังนั้น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนกระทั่งผ่านไปสามวันต่อมาหวังเป่าเล่อก็เหาะข้ามป่า ข้ามภูเขาเนื้อ และในที่สุดตอนเที่ยงของวันที่สี่ ทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบก็ปรากฏในสายตา
ทะเลทรายผืนนี้ไม่ต่างจากตอนที่เขาจากไป ยังคงรกร้าง แห้งแล้ง และไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
แม้แต่หวังเป่าเล่อที่เป็นร่างแยกอิสระ ก็ยังไม่รู้สึกถึงร่องรอยของร่างต้นในบริเวณนี้เลยสักนิด
จินตนาการได้ว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติในที่แห่งนี้ได้ และไม่อาจรู้ได้ว่าภายใต้ทะเลทรายผืนนี้มีวิญญาณเทพที่เกือบจะเทียบเท่าเจ้าปรารถนาดำรงอยู่
“ร่างต้นขี้ขลาดตาขาวราวกับหนู หากพูดถึงทักษะการหลบซ่อนแล้ว เขาบอกว่าตนเป็นรองและก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง” หวังเป่าเล่อพึมพำและกำลังจะเหาะเข้าไปในทะเลทราย ทว่าในพริบตานั้นเองเขาก็หยุดลงอยู่ที่ขอบทะเลทรายกะทันหัน
ในดวงตาเกิดแสงวาววับ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะมองย้อนกลับไปยังทิศของเมืองปรารถนารส จากนั้นก็หันกลับมามองตำแหน่งที่ร่างต้นแบบของตนอยู่ข้างในทะเลทรายอีกครั้ง แล้วเงียบไปเป็นเวลานาน
“ถึงตอนนี้ข้าจะยังจัดการและวางแผนให้ร่างต้นไม่สำเร็จ แต่…ก็อดคิดไม่ได้ ร่างต้นความคิดเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องแยกตัวออกมาอีกแล้ว แต่นำข้ารวมเข้าไปในร่างกายแทน”
“หากเป็นเช่นนั้นร่างต้นแบบจะรับรู้คำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าปรารถนารสหรือไม่” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าก่อนจะถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่นอกทะเลทราย มือขวายกขึ้นชี้หว่างคิ้ว ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ฝันร้ายแห่งปรารถนาเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขา หลังจากมันแผ่ออกไปรอบๆ สองมือของหวังเป่าเล่อก็ผนึกมุทราแล้วประสานมือเข้าด้วยกัน
“แข็งตัว!”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ฝันร้ายแห่งปรารถนานับสิบก็พุ่งมารวมตัวกัน หลังจากมันหลอมรวมเข้าด้วยกันก็เกิดหมอกสีดำดิ้นไปมา แล้วค่อยๆ กลายเป็นร่างที่เหมือนกับหวังเป่าเล่อทุกประการ
ร่างนี้ประกอบขึ้นจากฝันร้ายแห่งปรารถนา สิ่งที่ต่างจากหวังเป่าเล่อคือดวงตาของมันเป็นสีแดงฉานราวกับกำลังสะกดความบ้าคลั่งเอาไว้ มันกำลังก้าวมาหาหวังเป่าเล่อทีละก้าวและสุดท้ายก็คุกเข่าคำนับอยู่เบื้องหน้าเขา
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาแตะกลางหว่างคิ้วฝันร้ายแห่งปรารถนาเบาๆ ดวงจิตในร่างแยกออกไปหลอมรวมเข้ากับมันสามส่วน ส่งผลให้สีแดงฉานในดวงตามันสลายไปจนเผยให้เห็นความกระจ่างชัด มันหันหลังพุ่งตรงเข้าไปยังทะเลทรายทันที
หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างฝันร้ายแห่งปรารถนาที่ตนสร้างขึ้น ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง ร่างนั้นนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าภายนอกร่างกายของเขาเวลานี้กลับมีวังวนจางๆ ปรากฏขึ้น นี่คือพลังของกฎปรารถนารสซึ่งสามารถป้องกันหวังเป่าเล่อจากอันตรายได้
หวังเป่าเล่อกำลังจับปลาสองมือ ทั้งนั่งสมาธิอยู่ตรงนี้และควบคุมฝันร้ายแห่งปรารถนาเอาไว้ ก่อนจะควบวิ่งไปยังจุดที่ร่างต้นแบบอยู่ช้าๆ
กระทั่งผ่านไปอีกสี่ชั่วยาม ณ ใจกลางทะเลทราย ฝันร้ายแห่งปรารถนาของหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักและมองค้นไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดมันก็กระทืบเท้า ร่างกายพลันกลายเป็นหมอกสีดำมหาศาล ก่อนจะเจาะทะลวงเข้าไปยังก้นทะเลทราย
มันแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว เพียงสิบกว่าอึดใจ ณ ส่วนลึกของก้นทะเลทรายผืนนี้ก็มีร่างหนึ่งกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ภายในถ้ำที่ถูกขุดขึ้น
ร่างนี้ไร้พลังปราณใดๆ แผ่ออกมาแม้แต่น้อย แต่ใครก็ตามที่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ล้วนต้องสัมผัสสวรรค์คำราม เกิดความรู้สึกราวกับถูกกดขี่คล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้า
นั่นก็คือ…ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อ
ขณะนี้เบื้องหน้าของร่างต้นแบบพลันปรากฏละอองหมอกแผ่ขยายออกจากพื้นดินโดยรอบ ก่อนจะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและกลายเป็นฝันร้ายแห่งปรารถนาของหวังเป่าเล่อในพริบตา หวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบที่นั่งทำสมาธิอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ
เมื่อลืมตาขึ้นดวงตาสองดวงที่ราวกับสายฟ้าฟาดก็กวาดมองฝันร้ายแห่งปรารถนา แรงกดดันจากสายตาส่งผลให้ฝันร้ายแห่งปรารถนาไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ฉับพลันก็ถูกหวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบมองออก
“สมกับเป็นร่างแยกที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ช่วงเวลาที่ออกไปคงจะเรียนรู้มาไม่น้อย” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบยิ้ม
“พูดสิ มีเรื่องใดจึงกลับมา”
หวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบเอ่ยเบาๆ ก่อนจะถอนสายตากลับ ทำให้ฝันร้ายแห่งปรารถนาคลายความกดดันลง ตอนนี้มันถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วจ้องมองร่างต้นแบบอย่างระแวงและสับสน หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“ข้ากลายเป็นเจ้าสวาปามของเมืองปรารถนารสแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎปรารถนารส…” ฝันร้ายแห่งปรารถนาพูดถึงตรงนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี มันกำลังจะถอยหนี ทว่าก็ยังสายเกินไป
พริบตาที่ได้ยินประโยคแรก ร่างต้นแบบก็เงยหน้าขึ้น มือขวายกขึ้นคว้าเล็กน้อย ทันใดนั้นฝันร้ายแห่งปรารถนาก็พังทลาย หมอกมหาศาลกระจายตัวออก ดวงจิตร่างแยกหวังเป่าเล่อที่อยู่ในร่างก็ถูกร่างต้นแบบจับมาและกดลงตรงหว่างคิ้ว
ไม่ใช่เพื่อดูดซับแต่เพื่อสัมผัสเชื่อมต่อ
พริบตาต่อมาทุกเรื่องราวที่หวังเป่าเล่อร่างแยกพบเจอ ตั้งแต่ออกไปจนถึงเวลานี้ก็ถูกหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบควบคุมอย่างสมบูรณ์
จากนั้นไม่นาน ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏแสงแปลกประหลาดในดวงตา ก่อนจะทอดมองดวงจิตของร่างแยกในมือ
“เจ้าอยากเป็นอิสระไหม”
…………