หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1376 ตกปลา
ที่ตกลงไม่ใช่เพราะเพื่อบันทึกอักขระดนตรีเพียงอย่างเดียว หวังเป่าเล่อคิดเสมอว่าตนเป็นคนมีหลักการซึ่งต่างจากร่างต้นแบบอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดว่าร่างต้นแบบไร้ยางอายและไม่อาจนำมาเทียบกับตนได้เลย หลักการคือความหมายในการดำรงอยู่ของเขา เขาจึงให้ความสำคัญกับหลักการมาก
ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงคิดว่าตนมาอยู่เมืองปรารถนาเสียงนานขนาดนี้ นอกจากถ้ำที่พักของสำนักเหอเสียนก็อาศัยอยู่ที่ร้านนี้มาตลอด อีกทั้งเจ้าของร้านอาหารที่เขายังไม่เคยพบหน้าคนนั้นก็ให้อะไรเขามากมาย เรียกได้ว่าให้ความกรุณาเขามาตลอด
ไม่ว่าจะยกระดับห้องพักให้อย่างรวดเร็วหรือให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงบันทึกอักขระดนตรีนี่ด้วย แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นวิธีการทำธุรกิจของอีกฝ่ายเพื่อผูกมิตรกับเขา แต่หวังเป่าเล่อคิดว่าในเมื่อตนสุขสบายแล้วจะช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นครั้งคราวบ้างก็ไม่เป็นไร
“หากเปลี่ยนเป็นร่างต้นแบบกลัวว่าคงจะปฏิเสธทันควันล่ะสิ ต่อให้เห็นด้วยก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปหมด เหอะ! ข้าแซ่หวังรังเกียจพฤติกรรมของเขานัก” คิดได้ดังนั้นในใจหวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหนือกว่าขึ้นมาทันทีจึงเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจ
พ่อบ้านที่อยู่ตรงหน้าเห็นอาการหวังเป่าเล่อก็สับสนไปเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงแสดงท่าทีแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม หลังจากเห็นว่าหวังเป่าเล่อตกลงแล้ว เขาก็ระงับความสงสัยเอาไว้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มขอบคุณแล้วโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง
“ขอบพระคุณท่านผู้สูงส่ง!”
ขณะที่พูดก็หยิบเอากระเป๋าคลังเก็บสีแดงออกมา นี่คือกระเป๋าสำหรับเก็บเฉพาะของแปลกประหลาด ซึ่งหวังเป่าเล่อเองก็มี แต่เขากินของเหล่านั้นไปเกือบหมดแล้ว และยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปจับพวกมันใหม่
หลังจากวางกระเป๋าคลังเก็บลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว พ่อบ้านก็ยืนต่ออีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่มีอะไรจะถามจึงถอยออกไปอย่างนอบน้อม หลังออกจากห้องแล้วก็ปิดประตูเบาๆ อย่างระมัดระวัง รายละเอียดเหล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อพึงพอใจยิ่งขึ้น
“งั้นก็ช่วยพวกเขาจับปลาดนตรีครามสักหน่อยแล้วกัน” หวังเป่าเล่อหลับตานึกถึงจุดที่เขาเจอปลาดนตรีคราม หลังจากคิดคำนวณในใจเสร็จสรรพก็เฝ้าคอยรอเวลาฟ้ามืด
เวลาไหลผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เวลาพลบค่ำถูกความมืดกลืนกิน ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงพร้อมกับความคึกคักของเมืองปรารถนาเสียงในเวลากลางวันที่กลายเป็นเงียบสงัด หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งทำสมาธิก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะหยิบตราผลึกสำนักเหอเสียนออกมา ส่งดวงจิตเทพลงไป จากนั้นร่างของเขาก็เลือนรางและค่อยๆ หายไป
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ข้างภูเขาสำนักเหอเสียนแล้ว แต่เขาไม่ได้เข้าไปในสำนัก หากแต่หมุนตัววาบร่างไปในราตรี เปล่งแสงอักขระเสียงของตนราวกับถือคบเพลิง
หลังจากสำรวจมาหลายเดือน หวังเป่าเล่อก็คุ้นเคยกับอาณาเขตราตรีบริเวณนี้แล้ว ไม่ต้องระบุทิศก็อาศัยความทรงจำเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ จุดที่เขากำลังไปตอนนี้ก็คือบริเวณที่เคยพบปลาดนตรีคราม
“ตรงนั้นยังห่างจากข้าอีกระยะหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” หวังเป่าเล่อสัมผัสอักขระเสียงในร่างกายตนเพื่อให้มันเปล่งแสงพร้อมกับพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็ได้ยินเสียงอึกทึกซึ่งก็คือเสียงสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ในโลกปรารถนาเสียงกำลังกรูเข้ามาใกล้เขา
หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาเข้าใจโลกปรารถนาเสียงแล้ว สำหรับคนนอกทันทีที่สัมผัสกับโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบทิศทาง
แต่สำหรับผู้ฝึกกฎปรารถนาเสียง เพียงแค่แสงอักขระเสียงของตนไม่ดับ อันตรายก็จะไม่เกิด แน่นอนว่า…หากเจอกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีพลังแข็งแกร่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่จนถึงตอนนี้สิ่งมีชีวิตประหลาดอันทรงพลังเหล่านั้นที่เขาพบเจอในป่าตลอดทางที่มาเมืองปรารถนาเสียง สิ่งมีชีวิตที่เขาไม่อยากเข้าไปยั่วโมโห ในราตรีของอาณาเขตเมืองปรารถนาเสียง หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยเจอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือเกี้ยวสีเลือด
แต่หลังจากนั้นหลายเดือน เขาก็ไม่เคยเจอกับเกี้ยวสีเลือดนั้นอีกเลย
หวังเป่าเล่อยังคงก้าวต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้ กระทั่งสัมผัสได้ว่ารอบตัวค่อยๆ มีสิ่งมีชีวิตประหลาดเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ด้านหลังคอก็ยังรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ พัดผ่านราวกับมีคนนอนพิงอยู่ เขาเบิกตากว้างมองสำรวจไปรอบด้าน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติแล้วจึงดับแสงของอักขระเสียง
แทบจะในพริบตาที่แสงของอักขระเสียงดับลง สิ่งมีชีวิตพิสดารเหล่านั้นที่ติดตามอยู่รอบตัวเขาก็ไม่อาจระงับความโลภของตนได้อีกต่อไป พวกมันระเบิดตัวพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที
แต่สิ่งที่รอพวกมันอยู่คือกฎสวาปามที่เผาผลาญอยู่ในร่างกายหลังจากเสียงหัวเราะอำมหิตของหวังเป่าเล่อดังขึ้น มุมปากของเขาก็ฉีกออกกว้างจนเกินจริง แล้วสูดหายใจเข้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสิ่งแปลกประหลาดรอบตัวก็ถูกกลืนกินจนหมดพร้อมเสียงกรีดร้องลั่น
ขณะที่กำลังเคี้ยว หวังเป่าเล่อก็จุดแสงจากอักขระเสียงขึ้นมาอีกครั้งและกะพริบร่างมุ่งหน้าต่อไป…
กฎสวาปามในร่างกายเขาเพิ่มขึ้นช้าๆ ผลทางอ้อมก็ทำให้ในร่างกายสร้างอักขระเสียงตัวใหม่และทำให้กฎปรารถนาเสียงเติบโตขึ้นด้วย
นี่เป็นเหมือนวัฏจักรทำให้หวังเป่าเล่อชอบที่นี่มากยิ่งกว่าเก่า เวลาไหลผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม หวังเป่าเล่อที่กำลังควบไปข้างหน้าพลันหยุดฝีเท้ากะทันหัน ก่อนจะมองรอบตัวแล้วพยักหน้ากับตนเอง
“น่าจะอยู่ตรงนี้”
ตรงนี้คือจุดที่เขาเคยเจอปลาดนตรีคราม หลังจากมาถึงหวังเป่าเล่อก็เพิ่มแสงอักขระเสียงของตนให้สว่างที่สุด แสงนี้เปรียบเสมือนไฟฉายที่ดึงดูดแมลงเม่าทั้งหลายให้เข้ามา
ไม่ปล่อยให้หวังเป่าเล่อต้องรอนาน ใบหน้าของเขาขยับเล็กน้อย มือขวายกขึ้นคว้าไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกลื่นๆ แทรกซึมไปตามระหว่างนิ้ว มือขวาพลิกจับไปอีกครั้งก็จับเจ้าสิ่งลื่นมืออยู่หมัด ก่อนจะถือไว้ตรงหน้าแล้วอาศัยสัมผัสเชื่อมต่อจึงรู้ได้ว่าสิ่งที่ตนกำลังจับคือปลาตัวหนึ่ง
“น่าจะใช่” เนื่องจากมองไม่เห็น และหวังเป่าเล่อไม่อยากใช้เสียงฟู่เสนียดหูของตนอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจมากนักก็โยนมันเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บแล้วเดินต่อไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเกิดสัมผัสมันๆ ลื่นๆ แปลกประหลาด เมื่อลองจับดูก็เจออีกหนึ่งตัว หวังเป่าเล่อรีบโยนมันเข้ากระเป๋าคลังเก็บทันที
เขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จับปลาดนตรีครามได้ประมาณหกตัวและกำลังคิดว่าจะจับต่ออีกสักหน่อยเผื่อเหลือเผื่อขาด แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกเอะใจเล็กน้อยว่าที่นี่มีปลาเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก แสงอักขระเสียงก็ยิ่งส่องสว่างขึ้น
ทว่าในตอนที่เดินลึกเข้าไปนั้นเอง ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงปลาตัวที่เจ็ดและยกมือขึ้นจับมัน จู่ๆ ไกลออกไปในความมืดมิดก็ปรากฏกลุ่มแสงอันแข็งแกร่งขึ้นกลุ่มหนึ่ง แสงนี้เหนือกว่าของหวังเป่าเล่อมาก ขณะเดียวกันก็ยังเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีเสียงเย็นชาลอยนำออกมา
“นั่นใคร!”
“หืม?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วมองกลุ่มแสงที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ในราตรีแห่งนี้เขาได้เจอผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเช่นเดียวกันเป็นคนแรก
…………………………………