หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1429 ไม่เหมือนกัน
เช่นเดียวกับโลกาชั้นที่หนึ่งแบบเดิมทุกประการ ท้องนภาปกคลุมด้วยสีเทาหม่น ผืนดินยังเป็นสีดำ เพียงแต่…ซากปรักหักพังดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานนัก
ดูเหมือนว่าในโลกใบนี้ยังมีพลังชีวิตบางอย่างดำรงอยู่ แต่หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่รับรู้
เขาในตอนนี้สีหน้าสับสน ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน
ความทรงจำของมหาเทพ เขาได้เห็นไปสองฉากแล้ว ตั้งแต่ศพถูกวางใส่โลง ล่องลอยไปในจักรวาลจนกระทั่งเข้ามาในมหาจักรวาลกลายเป็นเต๋าธาตุไม้และก่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
และสิ่งมีชีวิตนี้ก็เกิดสตินึกคิดและมีความทรงจำบางส่วนเกิดขึ้นขณะฝึกตน
แต่กลับกัน…เขาจำไม่ได้ว่าตนคือใคร จำไม่ได้ว่ามาจากไหน จำไม่ได้ว่าภารกิจที่ต้องการทำให้สำเร็จคืออะไร
หวังเป่าเล่อไม่เคยสัมผัสกับความเจ็บปวดเช่นนี้ แต่เมื่อมองเศษวิญญาณที่กลับกลายเป็นชีวิตในภาพนั้น หัวใจเขาก็ยุ่งเหยิงขั้นสุด
“นี่ก็คือร่างต้นแบบของข้าใช่ไหม…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และเพิกเฉยต่อสภาพของโลกใบนี้พุ่งตรงไปยังจุดที่รูปปั้นตั้งอยู่ทันที
เขาไม่สนการเดินเข้าใกล้ทั้งเจ็ดก้าวอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความทรงจำของมหาเทพ
นั่นคือความจริงทั้งหมดและเป็นข้อมูลที่เขาต้องการมากที่สุดตั้งแต่ไล่ตามมันมาจนถึงตอนนี้
แต่เครื่องกีดขวางของปรารถนาก็ไม่ได้รอช้า แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยาน ตรงหน้าก็ปรากฏฉากที่ทั้งดูลวงตาและสมจริงขึ้น
เขาเห็นเรือบินลำหนึ่ง นั่นคือเรือบินที่เขาเคยใช้เดินทางไปยังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในส่วนลึกของความทรงจำ
เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย บิดา มารดา เจ้าเยี่ยเหมิง โจวเสี่ยวหยา อาจารย์…เห็นกระทั่งสหพันธรัฐ เห็นทุกคน เห็นทุกอย่าง
นี่คือ…การสำแดงฤทธิ์อย่างหนึ่งของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์
มันไม่ได้แสดงความงดงามสมบูรณ์แบบ แต่ก่อตัวจากความทรงจำของตนเองราวกับได้ย้อนกลับไป ดังนั้นในการผสมผสานระหว่างลวงตาและสมจริงนี้ หวังเป่าเล่อจึงถูกบังคับให้เดินเป็นเจ็ดช่วง
ช่วงแรกเขาเห็นบ้านตัวเองในสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเดินผ่านบิดากับมารดาที่ทำสายตาอาลัยอาวรณ์ไปอย่างเงียบเชียบ
ช่วงที่สองเขาเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงที่สวมชุดประจำบ้านกำลังยิ้มแย้ม และโบกมือให้หวังเป่าเล่อราวกับต้องการเอ่ยบางอย่าง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดและเดินไกลออกไป
ช่วงที่สามเขาเห็นอาจารย์ อาจารย์นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น กระอักเลือดออกมาราวกับคำสาปปะทุและต้องการการรักษา…หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย ทว่ายังคงนิ่งเงียบและเดินผ่านหน้าอาจารย์ที่ค่อยๆ หมดลมหายใจไป
ดวงตาของเขาแดงก่ำ และเมื่อก้าวสู่ช่วงที่สี่ เขาก็เห็นแม่นางน้อย
แม่นางน้อยกำลังมองเขาเช่นกัน สบประสานสายตากันอยู่อย่างนั้น หวังเป่าเล่อหลับตาลงก่อนจะเดินผ่านไปและก้าวสู่ช่วงที่ห้า
ช่วงที่ห้าดูยาวไกลมาก ที่นี่หวังเป่าเล่อเห็นตัวเองนับไม่ถ้วนในโลกที่ต่างกันไป แต่มีจุดจบเหมือนกัน นั่นคือหนึ่งแสนดวงจิตเทพของมหาเทพ…
ดูเหมือนว่าผ่านไปหนึ่งแสนชีวิต ฝีเท้าหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ช้าลงราวกับเหลือพลังน้อยเต็มที แต่เขาก็ยังก้าวไปสู่ช่วงที่หก
ที่นี่…ประหลาดมาก
มันมืดมิด ราวกับจักรวาลว่างเปล่าไร้ดวงดาว
ในจักรวาลผืนนี้มีต้นไม้ยักษ์สูงตระหง่านกำลังแผ่พลังปราณน่าอัศจรรย์ราวกับจะสั่นสะเทือนไปทั้งจักรวาลได้ ต้นไม้ต้นนี้เต็มไปด้วยผล ผลแต่ละลูกก็ผันผวนอย่างน่าประหลาด ถ้ามองดีๆ ก็ดูเหมือนดวงดาวหลายดวง
เพียงแต่ผลไม้เหล่านั้นก็คล้ายกับเป็นโรค เต็มไปด้วยจุดสีดำเหมือนดวงตา ทั้งประหลาดและยังมีพลังปราณมืดแผ่ออกมาด้วย
ขณะเดียวกันต้นไม้ยักษ์ที่น่าอัศจรรย์นี้ก็ดูเหมือนกำลังเหี่ยวเฉา…
แต่เมื่อหวังเป่าเล่อมองไปก็เห็นว่าบนต้นไม้มีคนยืนอยู่
คนผู้นี้หันหลังให้ หวังเป่าเล่อจึงมองไม่เห็นใบหน้า ดูเหมือนเขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับต้นไม้ยักษ์ แต่หวังเป่าเล่ออยู่ไกลเกินไปจึงไม่ได้ยิน
หากแต่เขากลับมีความรู้สึกว่า ถ้าตนคิดก็สามารถเข้าไปใกล้กว่านี้ได้ และในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่จะได้เห็นหน้าคนผู้นี้ แต่ยังได้ยินสิ่งที่เขาพูดด้วย
ทว่าหวังเป่าเล่อก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยจากแผ่นหลังนั้น…และสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยจากต้นไม้ยักษ์
“หนึ่งคือมหาเทพตอนที่ยังไม่ตาย หนึ่งคือโลงศพของมหาเทพ…” หวังเป่าเล่อหลับตากัดฟัน ก่อนจะไปจากที่นี่ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ช่วงที่เจ็ด หัวใจเขาก็ยังมีคลื่นโหมกระหน่ำ
เพราะเขาเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว หกช่วงที่ผ่านมาเขาสามารถอดทนไม่หยุดเดินได้ แต่หากเป็นมหาเทพจริง…ดูท่าว่าคงไม่เป็นเช่นนี้แน่ แต่เพราะเพื่อการไล่ตามทุกอย่างจึงยังคงเลือกที่จะหยุด
“ปรารถนาทัศน์…” หวังเป่าเล่อพึมพำและกำลังจะก้าวออกจากช่วงที่เจ็ด ตอนนั้นเองเขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี
ตอนนั้นเอง เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวแปลกหน้า
ในช่วงที่เจ็ดนี้อยู่บนถนนในยามพลบค่ำ ใต้แสงไฟสลัวไกลๆ มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนถือร่มอยู่ รูปร่างหน้าตาไม่คุ้นเคย และหวังเป่าเล่อมั่นใจว่าตนไม่เคยพบนางมาก่อน
แต่กลับกันก็มีความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ถูกอยู่ด้วย เขาเดินผ่านไปช้าๆ เพราะหากคิดจะออกจากช่วงที่เจ็ดนี้ จุดที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่คือทางเดียวที่ไปได้
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ กลิ่นกายอันคุ้นเคยที่แม้แต่ฝนก็ไม่อาจปกปิดได้รุกรานเข้าไปในจมูกหวังเป่าเล่อทำให้เขาตื่นตระหนก
“เป็นนาง…” กลิ่นกายนั้นเหมือนกับในปรารถนากลิ่นเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด
หวังเป่าเล่อเดินไปอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเขาเดินมาถึงด้านข้างของหญิงสาวคนนั้น ในพริบตาที่จะเดินผ่านไป จู่ๆ นางก็หันมายิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งให้หวังเป่าเล่อ
รอยยิ้มนั้นงดงามมาก เสียงหัวเราะคุ้นหู แต่นั่นไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจ ต้นเหตุที่แท้จริงคือดวงตาของนางนั้น…เป็นสีดำสนิท
เหมือนกับสีของปรารถนา…
หวังเป่าเล่อจิตใจปั่นป่วน แต่ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า เขาก้าวออกจากช่วงที่เจ็ดได้สำเร็จและหายวับไปจากพื้น มาปรากฏตัวอีกครั้ง…ตรงหน้ารูปปั้น ความสับสนและมึนงงถูกเขาสะกดกลั้นไว้ ก่อนจะก้าวเข้าไป
เมื่อเข้าไปในรูปปั้น ความทรงจำของมหาเทพที่เขาใฝ่ฝัน…ก็ปรากฏขึ้นอีกรอบ
แต่ข้อมูลในความทรงจำของมหาเทพครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจิตใจปั่นป่วนถึงขีดสุดทันทีที่เห็น!
“นี่มัน…ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เลย!!”
“แต่ก็ดูจะเหมือนกันอยู่นะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้นี่ก็คือจุดประสงค์ของมหาเทพ!!”
“ที่แท้ข้า…ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นร่างแยกของมหาเทพได้…” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานด้วยสีหน้าซับซ้อน
ไม่นาน เขาก็ถอนหายใจออกมา
“มหาเทพ วิธีของเจ้านั้นแม้ข้าจะเข้าใจ แต่ว่า…มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะไล่ตามอดีตด้วยราคามหาศาลเช่นนี้”
“ข้าไม่เห็นด้วย”
……………………………