หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1452 เวลาเคลื่อนผ่าน
หวังเป่าเล่อไปจากโลกแห่งศิลา
กลับเข้าสู่มหาจักรวาลและดินแดนเซียน
ราวกับเขาแก้ปมที่อยู่ในใจได้แล้ว หลังจากที่กลับมา หวังเป่าเล่อก็เลือกยอดเขาแห่งหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้นเงียบๆ เริ่มต้นฝึกตน แต่ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกอ่อนล้ากับการฝึกตนขึ้นมา
ผู้ที่จับเจตนาแห่งเซียนได้เช่นเขานั้นมีหลายระดับ นับว่าเป็นเซียนแล้ว เหตุเพราะไม่ได้ต่อสู้กับคนมาเนิ่นนาน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังฝึกปรือระดับเท่าใด
แต่นี่ไม่สำคัญ
ที่สำคัญก็คือเขาพบว่า เมื่อเทียบกับการฝึกตน เขาชมชอบการดูสรรพชีวิตมากกว่า ดังนั้นเขาจึงเลือกภูเขาลูกนี้ซึ่งมีความสูงเพียงพอ และกระแสจิตของเขาก็กว้างมากพอ เพื่อที่จะได้มองเห็นทุกสิ่ง
เขามองดูดินแดนเซียนในรูปแบบนี้…ไปอีก 300 ปี
สามปีให้หลัง การขยายตัวของดินแดนเซียน ก็มาถึงจุดระเบิด ในตอนแรกที่ผืนแผ่นดินล่องลอยอยู่นั้น เวลานี้มันเริ่มหยุดชะงัก ภายหลังจากการหยุดชะงัก เหล่าดวงดาราจำนวนมหาศาลรอบด้านก็ถูกชักจูงมาโดยมีดินแดนแห่งเซียนอยู่ตรงกลาง กลายเป็นดาราจักรผืนใหม่ และในเวลานี้เอง โลกแห่งศิลาก็ถูกหวังเป่าเล่อดึงออกมาให้หลอมรวมเข้ากับด้านนอกของดินแดนเซียน และกลายเป็นโลกเล็กๆ ที่อยู่ในอาณาเขตผืนฟ้าแต่ก็มีจุดเชื่อมต่อกับดินแดนแห่งเซียนด้วย
ท่ามกลางการพิทักษ์ของเขา การหลอมรวมของโลกแห่งศิลานั้นเป็นไปโดยราบรื่น ในเวลาเดียวกันทั้งสองฝ่ายก็มีการแลกเปลี่ยนและติดต่อกัน การพัฒนาของโลกแห่งศิลาก็ยิ่งมาสู่จุดสูงสุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาก็ได้เคลื่อนผ่านไปอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน…เป็นเวลากว่า 1,000 ปี ร่างกายของเขาได้กลายเป็นรูปสลักไปช้าๆ
พันปีมานี้ หวังอีอีมาเป็นร้อยครั้ง ศิษย์พี่เองก็มาเป็นร้อยครั้ง ส่วนบิดาของหวังอีอี มาเพียงครั้งเดียว
บิดาของหวังอีอี ผู้ซึ่งปรากฏตัวมาเพียงครั้งเดียวในรอบพันปีผู้นี้ยืนอยู่ข้างกายรูปสลักของหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้เอ่ยสักประโยคแต่กลับมองดูสรรพชีวิตเป็นเพื่อนเขาหนึ่งปี หลังจากนั้นจึงถอนหายใจแล้วจากไป
ส่วนเวลานั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนคล้อย หนึ่งพันปีรอบที่สอง สามพันปี จนกระทั่งหมื่นปีครบครั้งแรก…ก็มาถึง
ศิษย์พี่มาอยู่บ่อยครั้งมาก ระยะห่างประมาณสิบปีหนึ่งครั้ง เขาจะนั่งอยู่ข้างรูปสลัก ดื่มสุราไปพูดไป พลังฝึกปรือของเขานั้นอยู่ในระดับสะท้านขวัญแล้ว และเดินข้ามสะพานสู่สวรรค์หลายแห่งแล้ว
ส่วนหวังอีอีเองก็เป็นเช่นเดียวกัน นางก็จะมาหนึ่งครั้งในทุกๆ สิบปี ทุกครั้งก็จ้องมองรูปสลักนั้นของหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววสับสนและความรู้สึกเหนื่อยล้าก็ยิ่งมากขึ้นทุกที
ส่วนหวังเป่าเล่อยังคงไม่ขยับเหมือนเก่า เขากลายเป็นรูปสลักที่มองการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน มองภูผาธารากำเนิด มองสรรพชีวิตแต่ละรุ่นตกตาย มองสรรพชีวิตแต่ละรุ่นถือกำเนิด มองดูเผ่าอานารยชนทั้งหลายในดินแดนเซียนแห่งนี้
การต่อสู้แต่ละครั้ง การสูญสิ้นดับสลาย การถือกำเนิดใหม่นับไม่ถ้วนก่อเกิด
จนกระทั่งหนึ่งหมื่นปีครั้งที่สอง หนึ่งหมื่นปีครั้งที่สาม…และเมื่อครบแสนปี โลกที่เคยอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อนี้ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่โดยไม่ทันได้รู้ตัว
จักรวาล ยังคงเหมือนเดิม
ส่วนโลกแห่งศิลาและดินแดนเซียนนั้น ยามนี้ได้หลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ไม่อาจแบ่งแยกแล้ว
ทางด้านหวังอีอี ในยามที่หนึ่งหมื่นปีครบเจ็ดครั้ง นางมาเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนั้นนางมองรูปสลักของหวังเป่าเล่อ ในดวงตาฉายแววเหนื่อยล้าสุดแสนจะบรรยายได้ ก่อนจะจากไป นางเอ่ยเสียงเบา
ท่านพ่อบอกข้าทุกสิ่งแล้ว หลังจากนี้ข้า…ไม่อาจมาที่นี่ได้อีก ไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ้าเป็นเหตุ แต่ท่านพ่อข้าจะส่งข้าไปยังสถานที่หนึ่ง ท่านบอกว่า…เจ้ารู้จักที่นั่น นามว่าวงแหวนดาราสวรรค์
ข้าจะรอต่อไปนะ… หวังอีอีพึมพำ แล้วจากไป
หลังจากที่นางจากไปแล้ว ในยามที่หมื่นปีครบครั้งที่เก้า ศิษย์พี่ก็มาบอกลา
ในวันนี้ ศิษย์พี่ดื่มสุราไปมากมาย สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจเสียงเบา
เป่าเล่อ ทำไมเจ้าถึงมองไม่ออกนะ… ระหว่างที่ส่ายหน้า ศิษย์พี่ก็จากไปแล้ว
เช่นเดียวกับหวังอีอี เขาไม่กลับมาอีก
จนกระทั่งปีที่หนึ่งแสน บิดาของหวังอีอี ในยามนี้ได้มาเยี่ยมเป็นครั้งที่สอง เขายืนอยู่ข้างรูปสลักของหวังเป่าเล่อ แล้วเอ่ยปากเสียงเบา
สหายเต๋า ข้ายกระดับแล้วขึ้นสู่ชั้นสรวงสวรรค์ อีอีและศิษย์พี่ของเจ้าแล้วก็ยังมีคนมากมายจะติดตามข้าจากไป หากว่าเจ้าตัดสินใจจะไปกับข้า ก็ตื่นขึ้นมาเถอะ
หวังเป่าเล่อยังคงเป็นรูปสลัก ไม่ยอมขยับแบบนั้น
บิดาของหวังอีอีรออยู่หนึ่งปี สุดท้ายก็จากไป เขาไปจากดินแดนเซียน ไปจากมหาจักรวาล ไปจากดวงดาราผืนนี้ ไปจากวงแหวนดาราแห่งโลกพิภพ
ประชาชนถึงแปดส่วนในดินแดนเซียนติดตามไปกับเขาด้วย อารยธรรมกว่าเจ็ดส่วนในมหาจักรวาลก็ติดตามเขาไปเช่นกัน ทั้งจักรวาลราวกับว่างเปล่าลงไปไม่น้อย
แต่ว่าคนที่เหลือ ก็ยังต้องอยู่กันต่อไป ยังคงพัฒนาต่อไป หลังจากเวลาได้เคลื่อนผ่าน ชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้น อารยธรรมใหม่ก่อเกิด ส่วนในดินแดนเซียนแห่งนี้ด้วยเหตุที่ว่าเคยยิ่งใหญ่อย่างมากมาก่อน ก็ยังคงรักษาสถานภาพเดิมไว้ได้ ผืนแผ่นดินในจักรวาลค่อยๆ …แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น
เพียงแต่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสถานที่แห่งนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมีสายเลือดของสหพันธรัฐ จนแยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นสหพันธรัฐหรือเชื้อสายจากดินแดนเซียน
จนกระทั่งเรื่องการนับเวลานั้นได้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากไปในที่สุด มีอยู่วันหนึ่ง เบื้องหน้ารูปสลักของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏการมาของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ปราณปีศาจเทียมฟ้า มากเพียงพอสั่นสะเทือนทั้งมหาจักรวาล เขายืนอยู่หน้ารูปสลักนิ่งงันมองอยู่เนิ่นนานก่อนจะคำนับลึกซึ้งครั้งหนึ่ง
น้ำใจนั้น…มิต้องคืนข้าแล้ว
หลังจากนั้น คนผู้นี้ก็ออกจากมหาจักรวาลไป ออกไปจากวงแหวนดาราพิภพแห่งนี้
ผ่านไปอีกเนิ่นนาน ก็มีเงาร่างที่สองซึ่งพอจะสั่นสะเทือนจักรวาลนี้ปรากฏ การมาของเขาราวกับจะก่อคลื่นบางอย่างในตัวของรูปสลักได้ ราวกับว่าเขามีสายเลือดซึ่งเชื่อมต่อกับรูปสลักนี้
ความคิดของข้าที่มีต่อหลัวนั้นซับซ้อนยิ่งนัก ส่วนเจ้าก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากโลกแห่งศิลาในฝ่ามือ…ดังนั้นแล้วก็นับว่าข้าได้ช่วยเหลือเจ้าบางส่วน…เมื่อเป็นเช่นนี้…หากว่ามีวันหนึ่งเจ้าเองก็ไปยังวงแหวนดาราสวรรค์ รบกวนดูแลสักหน่อยจะได้ไหม? เงาร่างนี้ยิ้มๆ หลังจากนั้นก็ทำท่าสุขุม เขาโค้งคำนับให้แก่รูปสลักนี้อย่างลึกซึ้งแล้วหมุนกายจากไป
หลังจากนั้นอีกหลายปี ก็ได้มีอีกเงาร่างหนึ่งปรากฏ ปราณมารยิ่งใหญ่ราวกับจะทำให้ทั้งจักรวาลเป็นสีแดง และหลอมให้มหาจักรวาลนี้กลายเป็นพระจันทร์โลหิตดวงหนึ่ง ท่ามกลางแสงแห่งพระจันทร์โลหิตนี้ เงาร่างนี้ยืนอยู่ข้างกายรูปสลักนั้น มองสรรพชีวิตเป็นเพื่อนเขาเนิ่นนาน
สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดสักประโยค หลังจากคำนับแล้วก็จากไปจากดินแดนเซียนแห่งนี้
หลังจากที่เงาร่างนี้จากไปแล้ว ดินแดนเซียนแห่งนี้ก็คล้ายกับจะเงียบลงไปน้อย เพราะว่าแต่ละอารยธรรมก็ล้วนทยอยติดตามเงาร่างทั้งสามจากไป ความเงียบในมหาจักรวาลมาจากความไพศาลว่างเปล่าของมันเอง
แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ในยามที่โรยรา ก็ย่อมมียามที่เบ่งบาน
ส่วนกาลเวลานั้น…ก็คือส่วนทำนุบำรุงที่ดีที่สุด
และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในมหาจักรวาลแห่งนี้ ชีวิตและอารยธรรมก็ได้เบ่งบานขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นี้ท่ามกลางการแย่งชิงวุ่นวายของแต่ละเผ่าพันธุ์ มันก็ดับสูญไปอีกครั้งและอีกครั้ง แสดงความเป็นไปได้นานัปการ
ดินแดนเซียนเองก็พังทลาย กลายเป็นดวงดารานับหมื่นๆ ดวง กระจายไปทั่วทั้งมหาจักรวาล ส่วนรูปสลักของหวังเป่าเล่อ ยามนี้อยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่อารยธรรมก่อกำเนิด หลังจากที่เผ่าพันธุ์พัฒนา วิธีการมากมายทำให้เผ่าพันธุ์ต่างๆ นั้นสามารถไปจากมหาจักวาลนี้ได้แล้ว ต่างก็ออกไปเสาะหาพื้นที่ที่มากกว่าเก่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข่าวคราวจากด้านนอกของมหาจักรวาล สืบเนื่องจากมีอารยธรรมจำนวนมากเสาะหามากเข้าๆ ก็ได้ติดต่อกับเขตดาราภายนอก และโดยช้าๆ ข้อมูลข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนก็เป็นที่รับรู้ของสรรพชีวิตในมหาจักรวาลนี้ ข่าวหนึ่งในบรรดานั้น ก็ทำให้รูปสลักที่ไม่ขยับมาเนิ่นนานหลายปี พริบตานั้นกลับสั่นสะท้านเบาๆ
ข่าวนั้นก็คือ…ในอาณาเขตดาราที่ห่างจากมหาจักรวาลไกลแสนไกลแห่งหนึ่งนั้น เผ่าพันธุ์อันมีอารยธรรมหนึ่งในนั้นได้แบ่งปันข่าวสารจากด้านนอกออกมาเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้หนึ่งล้านปี มีดินแดนเร้นลับหนึ่งบังเกิดขึ้นมาข้างดาราจักรของพวกเขา ผู้ที่ย่างกรายผ่านหรือสรรพชีวิตที่เข้าใจ จิตปรารถนาของพวกเขาจะพุ่งพล่านจนกระทั่งกลายเป็นมารที่ไร้จิตสำนึก