หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 750 เปลวไฟสีดำสังหารสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์!
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 750 เปลวไฟสีดำสังหารสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์!
บทที่ 750 เปลวไฟสีดำสังหารสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์!
ความเร็วของหวังเป่าเล่อเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้า ราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นลูกธนูไฟที่กำลังพุ่งแหวกอากาศ มุ่งทะยานไปยังสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ พวกมันระเบิดรังสีสังหารของตนออกมาทันที แม้ปัญญาวิญญาณจะมีจำกัด แต่สัญชาตญาณความกระหายเลือดก็ทำให้พวกมันรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นเหยื่ออันโอชะ
ทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าประสานงากันบนอากาศในทันที สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่อ้าปากกว้างออกพร้อมเพรียงกัน พ่นเปลวไฟสีเขียวซึ่งไม่ใช่เปลวไฟธรรมดาออกมา ความร้อนของเปลวไฟเหล่านั้นรุนแรงมากเสียจนเผาไหม้ได้แม้กระทั่งความว่างเปล่า ถือว่าเป็นอันตรายมากกับดวงวิญญาณทั่วไป
เปลวไฟสีเขียวจากสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ก่อให้เกิดทะเลเพลิงที่ล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ หากมองจากระยะไกล มันดูราวกับเป็นลูกไฟสีเขียวขนาดยักษ์เลยทีเดียว!
ลูกไฟยักษ์นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวอย่างน้อยสามกิโลเมตร พลังงานความร้อนที่แผ่ออกมาสูงเสียจนสามารถทำให้ดาวเคราะห์เหือดแห้งได้ พลังกดดันที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นสะท้านเพราะยากที่จะต้านทานได้ไหว หากพลังกดดันรุนแรงนี้ยังส่งมาอย่างต่อเนื่อง ดาวทั้งดาวอาจล่มสลายก็เป็นได้!
จริงอยู่…ที่พลังการต่อสู้ซึ่งสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ส่งออกมานั้นยิ่งใหญ่รุนแรง ลูกไฟยักษ์ก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณต้องอกสั่นขวัญแขวน นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ยังโหดเหี้ยมอำมหิต พวกมันปล่อยลูกไฟออกมาจัดการศัตรูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ราวกับว่าการเผาหวังเป่าเล่อให้เป็นตอตะโกยังไม่สาแก่ใจ แต่กลับต้องการฉีกเขาเป็นชิ้นๆ และกินเขาเข้าไปทั้งตัว
ตอนนั้นเองร่างเงาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ก็หายไปจากด้านนอกของลูกไฟสีเขียว พวกมันแหวกเข้ามาในลูกไฟ พุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อที่กำลังติดกับและถูกไฟเผาผลาญอยู่!
ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะจบสิ้นแล้วในคราวนี้ เพราะสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ล้วนมีปราณอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ดังนั้นตอนที่ใครคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของดาวเคราะห์แสนไกลดวงหนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้เข้า เขาจึงคิดไปว่าหวังเป่าเล่อต้องจบชีวิตลงที่นี่อย่างแน่นอน!
หลงหนานจื่อมีความลับซ่อนเอาไว้จริงๆ เสียด้วย ร่างจริงของข้าไม่ได้รู้สึกตอนที่มันออกจากเรือบินรบเพื่อกลับมายังที่แห่งนี้แม้แต่น้อย ด้วยขั้นปราณอันสูงส่ง ร่างนี้จึงสามารถมองเห็นฉากการต่อสู้จากดวงดาวในระยะไกลได้ แม้จะเป็นเพียงร่างอวตารก็ตาม
ร่างของคนผู้นี้ไร้ซึ่งเค้าโครงจนกลมกลืนแนบสนิทไปกับความมืดมิด มันเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ใกล้เคียงกับร่างอวตารเงาที่สร้างขึ้นโดยกระบวนเวทพิเศษ
ดูเหมือนว่าหลงหนานจื่อจะพบความลับของอารยธรรมนี้เข้า แต่ถึงอย่างไรมันก็ไปต่อไม่ได้แล้ว มันประเมินตนเองสูงไป ตัวเองมีปราณอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแท้ๆ แต่กลับกล้าทำตัวอวดดีในอารยธรรมกลายพันธุ์นี้เสียได้ เงานั้นหัวเราะเยาะ ร่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากเงามืดเบื้องหลัง ใบหน้าที่ปรากฏคือใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าร่างที่อยู่ที่นี่คือร่างอวตารของเขา!
แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ให้มันดึงความสนใจของไอ้พวกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เชื่อมวิญญาณไป ข้าจะได้มีโอกาสไปชิงผลดารานิรันดร์มาเป็นของตัวเอง! ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หัวเราะออกมาเบาๆ เขาหันไปมองดารานิรันดร์ที่กำลังจะแตกสลายของอารยธรรมนี้ด้วยแววตาที่มีเปลวไฟลุกโชติอยู่ภายใน และขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมพุ่งเข้าใส่ดาวดวงนั้นในทันที
แต่ในตอนที่เขากำลังจะขยับตัวนั้นเอง เสียงดังสะท้านสะเทือนพร้อมด้วยเสียงหวีดร้องแหลมสูงสี่เสียงก็ดังมาจากดาวเคราะห์ดวงที่หวังเป่าเล่ออยู่
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนหันหลังกลับมามองตามสัญชาตญาณ สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาถึงกับต้องหรี่ตา สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ภาพนั้นทำให้ร่างอวตารตกใจคุมสติไม่อยู่จนต้องอุทานออกมา “เป็นไปไม่ได้!”
ในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ฉายให้เห็นภาพของหวังเป่าเล่อที่ติดกับอยู่ในดาวเคราะห์ เปลวไฟสีเขียวซึ่งห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้แปรเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เปลวไฟสีเขียวพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในวินาทีต่อมา เปลวไฟสีดำภายในลูกไฟก็กลืนกินสีเขียวทั้งหมด จนกลายเป็นสีดำสนิท!
เปลวไฟสีดำของบุตรแห่งความมืดนั่นเอง!
สีของเปลวไฟเปลี่ยนไปในพริบตา เปลวไฟสีดำระเบิดออกมาล้อมเปลวไฟสีเขียว ก่อนกระจายออกสู่ชั้นบรรยากาศภายนอกอย่างรวดเร็ว กระแสพลังนั้นมาพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นที่สะท้อนก้องไปทั่วอวกาศ ภายในเปลวเพลิงนั้น จะเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาเหมือนตะขาบสี่ตัวกำลังหนีหัวซุกหัวซุน พวกมันเองก็ตกใจและหวาดกลัวไม่แพ้กัน ต่างก็กำลังพยายามหนีออกจากใจกลางของทะเลเพลิงนั้น!
แต่สายไปเสียแล้ว!
ที่ใจกลางทะเลเพลิง เงาที่มีรูปร่างคล้ายปีศาจของหวังเป่าเล่อขยับตัวและหายไปในฉับพลัน พลางมาปรากฏอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบตัวหนึ่ง ไม่ว่ามันจะพยายามดิ้นหนีหรือกรีดร้องเพียงใด ก็หนีจากเงื้อมมือมัจจุราชไปไม่ได้ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ขณะคว้าตัวสัตว์ร้ายนั้นด้วยมือขวา!
เสียงดังลั่นปะทุขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงของสัตว์ร้าย ร่างของมันหดยุบเข้าเป็นก้อน ไหม้สลายเป็นจุณจนมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และกลายเป็นอาหารให้ดวงตาปีศาจ ดวงวิญญาณของมันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ…ก่อนก่อกำเนิดเป็นดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม!
เมื่อเทียบกับดวงตาอื่น ดวงตาดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาเห็นเพียงว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนั้นตายหลังจากที่หวังเป่าเล่อจับตัวเอาไว้ และพลังชีวิตของมันก็ถูกชายหนุ่มดูดกลืนเข้าไป!
แต่ต่อให้รู้เพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังตกใจไม่น้อยอยู่ดี การสังหารยังไม่จบลงเท่านั้น สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่เหลืออีกสามตัวพยายามหลบหนีจากทะเลเพลิง กระนั้นก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่หนีไม่พ้น
สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สองตัวหนีหัวซุกหัวซุนตามๆ กันไป ตัวที่สามออกจากทะเลเพลิงไปได้ครึ่งทาง แต่ก็ถูกแรงดูดมวลมหาศาลหยุดไว้เสียก่อน ร่างของมันสั่นอย่างรุนแรงก่อนถูกดึงมาด้านหลัง กลับเข้าสู่เงื้อมมือมัจจุราช พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อพุ่งออกจากทะเลเพลิงมาคว้าหัวของมันเอาไว้
หนวดของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หน้าตาคล้ายตะขาบสั่นระริก พุ่งเข้าพันเกี่ยวแขนของหวังเป่าเล่อหมายจะฉีกกระชากออก แต่พลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราก็สำแดงฤทธิ์ออกมาในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อบีบหัวมันอย่างแรงด้วยมือขวา ทำลายศีรษะของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นแหลกคามือ!
ดวงตาปีศาจอีกดวงปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ร่างโชกเลือดไส้ทะลักของสัตว์ร้ายหายไปทันทีด้วยอำนาจของเปลวไฟสีดำ โดยไม่แปดเปื้อนชายหนุ่มแม้แต่น้อย
ภาพนี้ทำให้หนังศีรษะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ชาด้านไร้ความรู้สึก แต่เรื่องน่าตกใจยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ในวินาทีต่อมา ทะเลเพลิงสีดำนอกกายหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นปากขนาดใหญ่เท่าท้องฟ้า ปากนั้นมาเปี่ยมไปด้วยพลังอาฆาตรุนแรง ที่พร้อมกลืนกินสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อีกสองตัวที่กำลังพยายามหนี!
ความเร็วของปากยักษ์ทำให้สัตว์ร้ายทั้งสองหนีไปไม่พ้น พวกมันถูกทะเลเพลิงไหลบ่าเข้าท่วมตัวในทันที เสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดสะท้อนไปในอวกาศ พลังของหวังเป่าเล่อระเบิดออกสู่ภายนอกอีกครั้งขณะที่เขาก้าวเดินออกจากทะเลไฟสีดำ!
พลังปราณของชายหนุ่มพุ่งขึ้นสูงโดยไม่อาจควบคุมได้ขณะที่เขากำลังพยายามบรรลุขั้น กระนั้น…รากฐานของชายหนุ่มก็แข็งแกร่งเกินไป พลังทั้งหมดนี้อาจทำให้ผู้ฝึกตนธรรมดาบรรลุได้ไม่ยาก แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ เขายังต้องการพลังมากกว่านี้เพื่อที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้สำเร็จ!
แม้มันจะทำให้ชีวิตเขาลำบากขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นความลำบากที่ดี เพราะมันหมายความว่าเมื่อหวังเป่าเล่อบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ พลังการต่อสู้ของเขาจะแซงหน้าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันไปไกลโข ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้กระวนกระวายใจแต่อย่างใด เขาปล่อยให้ทะเลเพลิงภายนอกกายโหมกระหน่ำ ขณะที่มองไปยังดาวดวงอื่นๆ
“ในเมื่อทั้งหมดนี้ไม่พอให้ข้าบรรลุขั้น ข้าก็จะฆ่ามันให้หมดจนกว่าจะบรรลุขั้นก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง สายตาแหลมคมมองไปยังจุดที่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ ก่อนตัดสินใจเมินเฉยเสีย เขาพุ่งตัวไปที่ดาวดวงต่อไป…และเดินหน้าสังหารทุกอย่างที่ขวางหน้าอีกครั้ง
นอกจากหนังศีรษะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะชาจนไร้ความรู้สึกใดๆ แล้ว เขายังตกใจจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้าน สัญชาตญาณส่วนลึกบอกว่าต้องรีบหนีออกไปจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด
ดูดกลืนชีวิตเพื่อนำมาต่อยอดพลังปราณของตนให้สูงขึ้นจนประมาณไม่ได้ หรือว่านี่จะเป็น…พลังพิเศษในตำนานของราชวงศ์ วิชาแห่งเทพ ถึงจะดูไม่ตรงกับคำอธิบายที่ข้าเคยอ่านมา แต่อย่างไรก็ต้องเป็นพลังเวทพิเศษชั้นสูงที่คล้ายคลึงกันอย่างแน่นอน! แม้ร่างอวตารจะสั่นเทา แต่ใจของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กลับสะกดความต้องการและความโลภของตนเองเอาไว้ไม่อยู่!
“ถ้าข้าได้ครอบครองกระบวนเวทนี้ละก็…” เขาพึมพำกับตนเองโดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำตัวผิดแผกไปจากนิสัยของตนยามปกติมาก!
ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ความต้องการที่จะครอบครองกระบวนเวทนั้นรุนแรงมากเสียจน…เข้าครอบงำเหตุผลในใจไปหมดสิ้น!
………………………………..