หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 799 จักรพรรดิศิลา!
บทที่ 799 จักรพรรดิศิลา!
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี…
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดถึงแปดจุดจากดาวเคราะห์ทั้งสี่ทำให้เขาเกือบฉี่ราด นอกจากนี้ยังมีร่องรอยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณมากมายและขั้นจุติวิญญาณอีกนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นทันทีที่มนุษย์ศิลาทยอยตื่นขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์ศิลาขนาดเล็กที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและขั้นรากฐานตั้งมั่นเริ่มร้องคำรามน่าหวาดผวา พวกมันโผล่ออกมาจากทุกทิศทาง เข้าล้อมหุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อเอาไว้
พริบตาเดียว…หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อก็โดนรายล้อมด้วยกองทัพมนุษย์ศิลาจำนวนมากกว่า พวกมันไร้ซึ่งทางหนีรอดหรือแม้กระทั่งโอกาสในการตอบโต้กลับ จึงถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงไป…
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ดาวเคราะห์ที่เงียบงันก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อกลัวจนแทบจะลมจับ ภัยอันตรายร้ายแรงที่บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขารีบบังคับเรือบินรบเวทหนีออกจากจักรพิภพไปในทันที
เจ้าอู๋น้อยที่ยืนเบิกตากว้างอยู่ข้างๆ ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เจ้าลาเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน แม้มันจะมองมนุษย์ศิลาเป็นอาหาร แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัว
ช่างเป็นกับดักที่ร้ายกาจเสียจริง! หวังเป่าเล่อเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่นี่ไม่ใช่เวลามัวมาคร่ำครวญที่สูญเสียเหล่าหุ่นเชิดหรือกระหายอยากได้ต้นไผ่ศิลา เขารีบพุ่งความสนใจไปที่การบังคับตั๊กแตนหนีกลับสู้ห้วงจักรวาล
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งทะยานไปด้านหน้า พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะกว่ายี่สิบตนก็พุ่งตามหลังมาติดๆ จนกลายเป็นดาวหาง พวกมันมุ่งหน้าออกจากดาวเกิด ข้ามหมู่ดวงดาราตรงไปหาหวังเป่าเล่อ
พลังล้นเหลือที่ปล่อยออกมานี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะต้องขนหัวลุกขณะก่นด่าความชักช้าของตนเอง แล้วนับประสาอะไรกับหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง เขาเปิดใช้งานกลไกเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจอย่างไม่ลังเลใจ เพื่อจะหนีกลับไป อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
ขณะที่การเคลื่อนย้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จักรพิภพก็สั่นคลอนและพลังประหลาดก็จุติลงมาปกคลุมทั่วพื้นที่ ล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อไว้ พลังนั้นไม่อาจขัดขวางการเคลื่อนย้ายของหวังเป่าเล่อได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้กระบวนการล่าช้าลงไปได้ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีกลายเป็นต้องใช้เวลาชั่วนิรันดร์ อาจต้องใช้เวลาถึงสิบห้านาที ชายหนุ่มจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้!
สถานที่เฮงซวยนี่มันอะไรกัน หวังเป่าเล่อเกือบจะร้องคำรามออกมา เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไร รีบบังคับตั๊กแตนและพยายามหนีออกไปจากที่แห่งนี้อย่างไม่คิดชีวิต เขาตั้งใจว่าจะออกจากจักรพิภพนี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงค่อยพยายามเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
โชคดีที่หวังเป่าเล่อคอยระวังตัวอยู่ตลอดและไม่ได้เข้าไปสำรวจลึกด้วยตัวเอง เขาวางตำแหน่งตนเองไว้ที่ขอบของจักรภพ ดังนั้นเมื่อเร่งความเร็วเรือบินรบเวทและปลดปล่อยพลังขั้นแสร้งอมตะออกมา เรือบินรบเวทจึงสามารถพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุด มันพุ่งไปถึงขอบสุดของจักรพิภพในชั่วพริบตา อีกเพียงครู่เดียวก็จะออกจากจักรพิภพนี้ไปได้อย่างสมบูรณ์…
หวังเป่าเล่อยังไม่ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้จะมั่นใจในโอกาสว่าจะออกจากจักรพิภพไปได้ การมีมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะยี่สิบกว่าตนไล่ตามมานั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย อย่างไรเสีย เขาก็มีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาและเรือบินรบอยู่ ซึ่งจะช่วยให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะทำการเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เรื่องแย่ที่สุดที่ชายหนุ่มต้องเผชิญคือการเสียศักดิ์ศรีและต้องเดินทางอย่างเปล่าประโยชน์
ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ ต้องเป็นความผิดของเจ้าอู๋น้อยแน่ ตอนที่ไม่มีเขา ข้าโชคดีกว่านี้มากนัก ชายหนุ่มหันไปจ้องเจ้าอู๋น้อยที่มองกลับมาด้วยสายตาสับสน ตั๊กแตนของหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วเกินบรรยายขณะที่ดาวหางขั้นจิตวิญญาณอมตะกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนว่าพวกเขากำลังจะหลบหนีออกจากจักรพิภพไปได้ในทุกเมื่อ
ทันใดนั้น… พลังประหลาดที่กระจายไปทั่วจักรพิภพก็จะจุติลงมาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้กล้าแกร่งกว่าเดิม ทำให้ห้วงจักรวาลสั่นไหว ขอบจักรพิภพถูกปิดผนึก ราวกับประตูที่ปิดแน่นไร้ซึ่งทางออก!
เป็นเหมือนผนึก!
ในหัวหวังเป่าเล่ออื้ออึงไปหมดขณะที่หันกลับไปด้วยความตื่นตกใจ ศพและเศษซากที่ลอยอยู่รอบๆ เริ่มเคลื่อนที่เหมือนว่ากำลังโคจรรอบดารานิรันดร์ ตอนแรกพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวไหลลื่นไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้นมหาศาล!
พวกมันดูเหมือนแม่น้ำที่ไหลวนรอบดารานิรันดร์ เป็นดังวังวนขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจมากที่สุดไม่ใช่วังวน แต่เป็น…ดารานิรันดร์ที่กลายเป็นหินไปบางส่วน ขณะที่แม่น้ำกำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ดารานิรันดร์เองก็เริ่มสั่นไหวด้วยเช่นกัน
กลุ่มดาวหางที่ไล่ตามหวังเป่าเล่อหยุดชะงักและแปลงกายกลับเป็นมนุษย์ศิลา ใบหน้าของพวกมันดูเคารพยำเกรง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น เหล่ามนุษย์ศิลารีบหันไปทางดารานิรันดร์ที่กำลังสั่นไหว ก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมเปล่งเสียงร้องคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วอวกาศ
เหล่ามนุษย์ศิลาบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวงเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน พวกมันเงยหน้าขึ้นฟ้า ตื่นตัวขึ้นทันใด ดวงตาเร่าร้อนจับจ้องไปทางดารานิรันดร์ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและร้องคำรามขึ้น!
หวังเป่าเล่อหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เสียงร้องของเหล่ามนุษย์ศิลากลายเป็นท่วงทำนองสมานสามัคคีที่เปี่ยมไปด้วยพลังล้นเหลือ ศพและเศษซากยังคงลอยหมุนวนรอบดารานิรันดร์ ราวกับว่ากำลังมีพิธีอะไรบางอย่างและชายหนุ่มได้มาร่วมชมด้วย…
“เสร็จกัน จบเห่แล้ว! เรากลายเป็นของเซ่นไหว้ไปแล้ว!” เจ้าอู๋น้อยเริ่มโอดครวญขณะจ้องมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เจ้าลาเองก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาฉายแววตื่นกลัว
ของเซ่น… หวังเป่าเล่อลังเลใจที่จะยอมรับข้อสรุปนั้น แต่ดูอย่างไรก็เป็นดั่งที่เจ้าอู๋น้อยว่า ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ยอมนั่งรอความตายโดยไม่ทำอะไร แววดุดันฉายขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม เขาคิดจะระเบิดตั๊กแตนเรือบินรบเวททิ้งเพื่อดูว่าจะสามารถสร้างช่องทางในการหลบหนีได้หรือไม่
ทันใดที่คิดได้ดังนั้น ดารานิรันดร์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนชายหนุ่มหน้าถอดสี…ใบหน้าของเขาซีดเซียวเสียจนเหมือนคนตาย
ขณะที่วังวนกำลังหมุนไปรอบๆ มนุษย์ศิลากำลังร้องคำราม ดารานิรันดร์ที่สั่นไหวอยู่…ก็ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง!
หน้าผากที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งแรก ตามมาด้วยแขนขาทั้งสี่ จนปรากฏออกมาเป็นยักษ์ศิลาขนาดมหึมา!
ข้างๆ ยักษ์ศิลาคือดารานิรันดร์ที่หดเล็กลงกว่าตอนแรกถึงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่า…ส่วนที่ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อคิดว่าเป็นดารานิรันดร์ แท้จริงแล้วคือร่างหินของยักษ์ตนนี้ ยักษ์ศิลาโอบดารานิรันดร์ไว้ในอ้อมแขนและขดตัวเป็นก้อนกลม เป็นเหตุให้…ดารานิรันดร์ดวงนี้ดูมีขนาดใหญ่
ตอนนี้เมื่อยักษ์ศิลาเหยียดแขนขาออก ดารานิรันดร์ที่แท้จริงจึงเผยออกมาให้เห็น!
ยักษ์ศิลาที่เหยียดแขนขาออกกว้างค่อยๆ ลืมตาตื่น ดวงตาทั้งสองข้างส่องแสงเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์แฝด สาดส่องไปทั่วจักรพิภพในทันที!
พลังล้นเหลือเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์แผ่ออกมาจากยักษ์ศิลาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ พลังนั้นพุ่งผ่านจักรพิภพราวกับเป็นพายุรุนแรง! เข้าข่มทุกสิ่งที่อยู่ตามทางและพัดพาทุกอย่างให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมัน!
มือขนาดเท่าดาวเคราะห์ยกขึ้นสูง ดูด้วยตาเหมือนจะช้า แต่แท้จริงแล้วรวดเร็วมาก มือยักษ์ศิลาพุ่งแหวกจักรพิภพเข้ามาคว้าหวังเป่าเล่อ หมายจะบดขยี้เหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงยุงตัวหนึ่ง!
ให้เปรียบชายหนุ่มเป็นยุงก็ดูไม่เข้าที เพราะหากเทียบขนาดกับมือยักษ์แล้ว หวังเป่าเล่อนั้น…ไม่สมควรจะเป็นยุงเสียด้วยซ้ำ!
สายฟ้าฟาด ลมพัดกระหน่ำ มือขนาดมหึมาขวางกั้นทั้งจักรพิภพ ร่วงลงมาใส่หวังเป่าเล่อพร้อมพลังไร้เทียมทานและภัยร้ายถึงตาย ปิดทางหนีของชายหนุ่มไว้หมด!
ขณะที่ยักษ์ศิลาเปิดฉากโจมตี มนุษย์ศิลาน้อยใหญ่บนดาวเคราะห์และมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะก็เริ่มคึกคะนอง พวกมันร้องคำรามอย่างเร่าร้อนขณะหมอบกราบ เหมือนดั่งว่ากำลังทำความเคารพจักรพรรดิกระนั้น!
ระดับดารา…นิรันดร์… หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือด นี่ไม่ใช่แค่ดวงไม่ดีธรรมดา แต่เป็นดวงกุดชะตาขาดเลยต่างหาก จักรวาลนั้นแสนกว้างใหญ่ ดูจากจำนวนผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล คงเป็นเรื่องยากที่จะบังเอิญไปพบเข้าสักคน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มจึงได้มาประจันหน้าผู้ฝึกตนที่ว่าเอาได้…
จบแล้ว…ครั้งนี้จบเห่แน่… ในหัวชายหนุ่มขาวโพลนไปหมด วิสัยทัศน์ถูกมือมหึมาที่เคลื่อนตัวมาจากด้านบนพร้อมพลังล้นเหลือบดบังมิด เขามีเวลาทำอย่างหนึ่งทัน นั่นก็คือเก็บเจ้าลาเข้ากำไลคลังเวท แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยอะไรมันได้หรือเปล่า
นี่คือที่สุดแล้วที่เขาสามารถทำได้ ส่วนเจ้าอู๋น้อย…หวังเป่าเล่อไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้ในตอนนี้ ชายหนุ่มทำหน้าเหยเก แต่ดวงตากลับไร้ซึ่งแววความสิ้นหวัง เขาปลดปล่อยพลังปราณของตัวเองและของตั๊กแตน ตั้งใจจะระเบิดทำลายตนเองเสีย
วิธีนี้คือหนทางเดียวที่คิดออกในการช่วยเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อย ถ้าเขาระเบิดทำลายตนเอง ก็มีโอกาสที่จะรอดชีวิต เพราะหากยักษ์ศิลาเอื้อมมาคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ก่อน ก็คงไม่ต่างอะไรกับได้ตายไปแล้ว
แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะยอมรับโชคชะตาง่ายๆ เช่นนั้น ก่อนที่จะระเบิดทำลายตนเอง หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดวง ชายหนุ่มตะโกนก้องขึ้นทันใด
“ท่านพี่ ศิษย์พี่ของข้าคือเฉินชิง ราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ข้าเป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียวของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่!”
……………….