หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 860 เจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วอย่างไรกัน
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 860 เจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วอย่างไรกัน
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ในอากาศ มีพายุหมุนขนาดมหึมาหมุนวนอยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ เส้นผมของชายหนุ่มโบกสะบัดไปตามกระแสลมขณะที่คลื่นพลังปราณไหลบ่าออกมาจากกายเขาไม่หยุดยั้ง ท่วมล้นสิ่งรอบข้างราวกับเป็นคลื่นคลั่งในทะเลยามต้องพายุ!
การปล่อยพลังปราณของหวังเป่าเล่อดูคล้ายคลื่นยักษ์ที่โถมซัดเข้าฝั่ง พลังนั้นรุนแรงเสียจนจักรวาลรอบข้างสั่นสะเทือน ทำให้หวังเป่าเล่อกลายเป็นจุดสนใจของทุกๆ คนในสนามรบไปในบัดดล!
และนี่…เป็นเพียงพลังร้อยละเจ็ดสิบของเขาเท่านั้น!
ภาพที่หวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทำเอาทุกคนถึงกับตกตะลึง ผู้ฝึกตนทั่วไปของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในสนาบรบต่างนิ่งงัน กระทั่งเทพธิดาหลิงโยวก็ยังผงะ ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำที่เคยช่วยชีวิตหวังเป่าเล่อไว้ครั้งหนึ่งก็ตกใจเช่นกัน ประกายแห่งความสับสนจางๆ ปรากฏอยู่บนดวงตาของเขา
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างตกตะลึงกับระดับของรัศมีและพลังปราณที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาตั้งแต่แรกมาถึงสนามรบอยู่แล้ว มาบัดนี้ พวกเขายิ่งตื่นตกใจมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า ชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่ต้องผลาญพลังปราณของตัวเองเพื่อสู้ทั้งที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายลงได้ความแตกต่างกันของพลังนั้นช่างมากเสียจนน่ากลัว!
“หลงหนานจื่อ…”
“เจ้าไปพบเจอตำราลับแบบไหนมากันระหว่างที่หายตัวไป”
“หรือว่านี่จะเป็นการอุบัติขึ้นของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กันแน่” บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็พากันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเคารพและยำเกรง
ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์และศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ต่างก็มีนัยน์ตาเบิกโพลง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเมื่อมองไปทางเทพธิดาหลิงโยว ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเพียงใด ชายวัยกลางคนก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองช่างเหมาะสมกันอย่างยิ่ง
ข้างศิษย์แห่งเต๋ากูโม่นั้นมีอารมณ์อันหลากหลายปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า แววตาท้อถอยฉายชัด เขานั้นทำใจยอมรับกับความพ่ายแพ้เอาไว้แล้ว แต่หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะมีชัย เขาก็รู้ดีว่า…เกียรติยศในการควบคุมกองทหารที่ทรงพลังที่สุดในสำนักย่อมไม่ได้อยู่ในมือเขาอีกต่อไปเป็นแน่
ชายหนุ่มไม่ต้องการเสียอำนาจไป แต่ความไม่แน่ใจนั้นหนักหนากว่าความหวงแหนอำนาจมากนัก เขารู้ดีว่าจากการรุกรานของอารยธรรมครามทองคำ การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อย่อมต้องเป็นสิ่งเหมาะสมในสายตามหาชนเป็นแน่ มันต้องเป็นสิ่งที่มวลชนให้การยอมรับสนับสนุน อันที่จริงแล้ว ตามนิสัยของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่เขารู้จัก หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ย่อมต้องให้การต้อนรับหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นยากเสมอเหมือนแน่นอน!
ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านศีรษะของศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ไป ขณะที่…ความตื่นตะลึงนั้นครอบงำคู่ต่อสู้ของเขาเสียสิ้น ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสองรู้ดีว่าชิงคุนจื่อนั้นทรงพลังเพียงใด และเรื่องนี้ก็ทำให้ศีรษะของทั้งคู่ตื้อตึงไปหมด ทุกๆ สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นดูราวกับเป็นภาพที่หลุดออกมาจากความฝันอันบ้าคลั่งและเหลือเชื่อ
หวังเป่าเล่อนั้นแทบไม่ได้ออกแรง แถมยังเป็นต่อชิงคุนจื่ออยู่ตลอดการต่อสู้ กระทั่งทั้งกายเนื้อและวิญญาณของอีกฝ่ายถูกทำลายลงจนสิ้นซาก การต่อสู้ทั้งหมดดำเนินไปอย่างที่ผู้ฝึกตนทั้งสองไม่ได้คาดคิดมาก่อนแม้แต่น้อย
พวกเขาคิดไปว่าชิงคุนจื่อคงจะได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย สมาชิกสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เฝ้ามองด้วยความคาดหวังและตื่นเต้นตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ขณะที่คนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นกลัวและวิตกกังวล
เพราะอย่างไรเสีย ชิงคุนจื่อก็มีปราณอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ แถมยังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งในด้านระดับปราณ พลัง และความแข็งแกร่ง แม้จะไม่ใช่คู่มือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่ความแตกต่างระหว่างระดับปราณทั้งสองก็ช่างห่างไกลนัก แต่ถึงอย่างนั้น ชิงคุนจื่อก็บรรลุถึงขั้นสุดยอดของระดับก่อนระดับดาวพระเคราะห์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังผลาญพลังปราณของตัวเองเพื่อจะปลดปล่อยพลังออกมาจนสูงสุด แม้พลังที่ปลดปล่อยออกมาจะยังไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ย่อมเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั่วไปอย่างแน่นอน และเขาย่อมอยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังตัวเองแน่
ในสถานการณ์เช่นนี้ การจะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ไม่ควรเป็นเรื่องท้าทายนัก แต่…เขาก็ล้มเหลว อันที่จริงแล้ว เขาเพลี้ยงพล้ำถึงขนาดที่ไม่อาจตอบโต้ได้จนกระทั่งถูกสังหาร!
ฉากนั้นส่งเอาความตื่นตระหนกเข้าไปจับในหัวใจของทุกคน ทำเอาสั่นไหวไปจนถึงแก่นดวงใจ พวกเขาคิดว่า…มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และสูงกว่าเท่านั้นที่จะทำอะไรเช่นนั้นได้!
แม้ว่าคลื่นพลังปราณลูกสุดท้ายที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมานั้นจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่สิ่งที่คนอื่นๆ โดยรอบสัมผัสได้คือพลังอันแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อที่อยู่เหนือขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปอีก พวกเขาไม่เคยเห็นพลังอันแข็งแกร่งเช่นนั้นจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมาก่อน มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่มีพลังเทียบเทียมได้!
ประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ล้วนตกตะลึงกับระดับพลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาอยู่ในใจ แต่ในฐานะผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ไม่นานนักพวกเขาก็รับรู้ว่ามีบางสิ่งขาดหายไป
ไม่มีพลังกดดันระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด ชายหนุ่มยังไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์! ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสได้ในไม่กี่อึดใจต่อมา จากนั้นในอีกอึดใจ ประกายแปลกประหลาดก็สะท้อนอยู่ในแววตาของปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ชายวัยกลางคนสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และปลดปล่อยแรงกดดันของดาวเคราะห์ของเขาออกมา มันเข้าปกคลุมทั้งประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้
แต่เท่านั้นไม่เพียงพอ แม้จะดูเหมือนว่าผู้นำของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ยืดเยื้อกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ประมุขสำนักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เอาจริงในการต่อสู้ อีกด้านหนึ่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นต่อสู้ชนิดถวายชีวิต เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ประกายสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาเรียกดาวเคราะห์ออกมาก่อนจะปลดปล่อยพลังทั้งหมด ผู้อาวุโสรับใช้จึงได้รับโอกาสให้โจมตี!
ผู้อาวุโสต้านทานแรงกดดันจากดาวเคราะห์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และหันกลับมาเช่นกัน ก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาแล้วซัดฝ่ามือทะลุจักรวาลไปทางหวังเป่าเล่อ
ราคาของการโจมตีในครั้งนั้นคือเขาต้องรับความเสียหายจากแรงกดดันจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไประดับหนึ่ง รวมถึงเลือดที่กระอักออกมาหลังจากจู่โจมไปแล้ว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่อาจหยุดการโจมตีของผู้อาวุโสได้ทัน ฝ่ามือที่ผู้อาวุโสซัดออกไปแปรสภาพเป็นหัตถ์ขนาดยักษ์ที่ระเบิดเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
หัตถ์นั้นกว้างหลายร้อยเมตรและแผ่พลังระดับดาวพระเคราะห์ออกมา ผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นใช้พลังเต็มที่ในการปล่อยการโจมตีนั้นออกมา ส่งเอาแรงกดดันของดาวเคราะห์ตนเองออกไป เสียงดังสนั่นก้องจักรวาล ฉีกเอาความว่างเปล่าจนขาดวิ่นและสั่นคลอนจักรวาลไปตลอดทาง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในรัศมีการโจมตีไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ต่างก็ตัวสั่นก่อนจะสลายเป็นฝุ่นไปทันทีที่สัมผัสโดนหัตถ์นั้น!
ความแข็งแกร่งของการโจมตีนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างนิ่ง แรงกดดันที่หัตถ์นั้นแผ่ออกมารุนแรงเสียจนสามารถกดผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้เลยทีเดียว หัตถ์ส่งเสียงคำรามกึกก้องพลางพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่เข้าถึงตัวชายหนุ่มแทบจะในพริบตา
ประกายกล้าสะท้อนขึ้นในดวงตาทั้งคู่ของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นอย่างฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายตั้งแต่บรรลุขั้นมา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มตัวสั่นเพราะความตื่นเต้น ประกายไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นในดวงตา เขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันเป็นผนึกฝ่ามือชุดใหญ่ ก่อนจะชูมือทั้งคู่ขึ้นไปบนอากาศแล้ววาดผ่านท้องฟ้า
พลังปราณร้อยละเจ็ดสิบที่ชายหนุ่มกระจายออกไปปรากฏออกมาในวินาทีนั้น พายุหมุนรอบกายเขาขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว แผ่กระจายเป็นความกว้างร่วมสามพันเมตรในพริบตา พลังที่ปรากฏออกมานั้นทำเอาผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายต้องกระเด็นถอยหลัง พลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาดูจะสูสีกับหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ที่กำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา!
เมื่อชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ ดวงเนตรสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา มันลอยล่องอยู่เหนืออวกาศ ส่งกระแสเย็นสะท้านสันหลังให้ทุกคนที่มองเห็น ตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อชัดเจนขึ้นมาพร้อมกัน
นั่นเป็นเพราะว่า…เมื่อดวงเนตรปีศาจสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมานั้น ดวงเนตรสวรรค์เบื้องหลังจักรพรรดิทั้งสิบสองก็ส่องแสงแรงกล้าออกมา ราวกับว่าจะขานรับการมาถึงของอีกฝ่าย ดวงเนตรสวรรค์ที่ล่องลอยอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดทั้งแสนก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน หากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามีดวงเนตรสวรรค์สิบดวงซ้อนกันเป็นดวงเดียวแทนที่จะอยู่เดี่ยวๆ
ดวงเนตรสวรรค์หนึ่งล้านดวงปรากฏขึ้นและตอบสนองต่อดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อ เกราะมหาจักรพรรดิของชายหนุ่มก็เริ่มส่องแสงแรงกล้าออกมา หวังเป่าเล่อที่บัดนี้เนื้อตัวสว่างจ้าไปหมดเงยหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น
“เจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วอย่างไรกัน…เจ้าจะทำอะไรข้าได้” ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไป พูดยังไม่ทันขาดคำก็มุ่งหน้าเข้าไปหาหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ ขณะที่ทั้งสองปะทะกัน แขนขวาของหวังเป่าเล่อก็แปรสภาพไปเป็นอาวุธเทพและฟันใส่หัตถ์ราวกับเป็นใบมีด!
ดวงเนตรปีศาจเบื้องหลังเขาลืมตาโพลงขึ้นในทันที พร้อมๆ กันกับดวงเนตรสวรรค์ทั้งหนึ่งล้านที่ลืมขึ้น ในบัดดล… ตอนนั้นเองภาพของดวงเนตรสวรรค์นับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ เมื่อมือของหวังเป่าเล่อสะบัดลงไป ภาพเหล่านั้นก็…ระเบิดขึ้น!
จักวาลสั่นไหว ความว่างเปล่าขาดสะบั้น ราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงได้บุบสลายหายไปในแสงอันส่องสว่าง ท่ามกลางแสงเจิดจ้านั้น การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ก็เป็นที่ประจักษ์ ราวกับเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมหรือแสงสว่างและความมืด มันดึงเอาความสนใจของทุกคนบนสนามรบไปเสียสิ้น…ราวกับเป็นแสงสว่างอันเจิดจ้าของดวงตะวันก็ไม่ปาน
………………………….