หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 927 จับ!
หวังเป่าเล่อพูดอย่างภาคภูมิใจ ทันทีที่คำพูดถูกเอ่ยออกมา สายฟ้าสีแดงหลายร้อยก็พุ่งเข้าชนเรือดาวตกทันที ทำให้ปราณมืดล่าถอยไปเป็นวงกว้างและบริเวณเรือส่วนใหญ่ก็ได้กลับมาเป็นสภาพเดิม
ยังไม่จบแค่นั้น วินาทีต่อมาสายฟ้าจำนวนมากกว่าเดิมก็ส่งเสียงคำรามดัง พวกมันดูเหมือนจะมีสติปัญญา มันไม่พุ่งเป้าใส่คนอื่นเลย แม้มันจะฟาดผ่านเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ากลางอากาศ แต่มันก็ไม่ทำร้ายพวกเขาเลยสักนิด มันกลับพุ่งเป้าไปที่เรืออย่างแม่นยำ…
เรือทั้งลำคืนสภาพกลับมาอย่างรวดเร็วชนิดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และในขณะที่มันกำลังคืนสภาพ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกตื่นเต้นไปหมด เขารู้สึกว่านี่คือความทุกข์ที่แปรเปลี่ยนเป็นความยินดี เขาจึงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
“วันนี้ข้าแซ่เซี่ยจะกวาดล้างทะเลดำให้สิ้นซาก สายฟ้าเต๋าพลังมาร มาเลยๆๆ !”
ทันทีที่เขาเอ่ยคำพูดออกมา สายฟ้าก็ฟาดลงมามากกว่าเดิม มันครอบคลุมเรือทั้งลำ ทำให้พลังปราณมืดทั้งหมดบนเรือหายไปทันที และยังส่งผลต่อทะเลโดยรอบ ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นสีขาว!
ถึงแม้พลังปราณมืดจากทุกทิศจะมารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อต้านสายฟ้าเพื่อชิงความสมดุล แต่เรือลำที่หวังเป่าเล่ออยู่ได้คืนสภาพกลับมาเป็นแบบเดิมแล้ว แม้แต่กระดาษรูปมนุษย์บนเรือก็เปล่งแสงแปลกๆ ออกมาจากดวงตา แล้วเขาก็พายเรือแล่นออกไปไกล
แต่เห็นได้ชัดว่าขนาดของสายฟ้าก็ยังได้รับผลกระทบ ในที่แห่งนี้ มันไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างใหญ่เท่าอารยธรรมหนึ่งได้เหมือนที่โลกภายนอก ณ ที่แห่งนี้มันครอบคลุมได้เพียงเรือลำเดียวเท่านั้น
ถึงกระนั้นฉากนี้ก็ยังทำให้คนเจ็ดแปดคนที่เหลืออยู่บนเรือยินดียิ่ง และยังทำให้คนที่เหาะอยู่กลางอากาศรวมถึงคนแต่ละคนบนเรือลำอื่นมีลมปราณเปลี่ยนไป
“นี่มันสายฟ้าอะไรกันแน่ เดี๋ยวก็พลังเทพ เดี๋ยวก็พลังมาร…”
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ดูเหมือนว่ามันจะหยุดยั้งพลังปราณมืดได้!!”
นอกจากคนที่เหาะจากไปแล้ว มหาศิษย์แห่งเต๋าที่ได้เห็นฉากนี้ต่างตกตะลึงสุดขีด ความจริงตอนนี้เรืออีกแปดลำนั้นได้กลายเป็นกระดาษไปมากกว่าครึ่งแล้ว และลำที่ดูเลวร้ายที่สุดก็กลายเป็นกระดาษไปแล้วกว่าร้อยละ 90 และตอนนี้จะเห็นได้ว่ามันเกือบจะผสานเข้ากับทะเลสีดำแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนในเรือไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเหาะออกมา
เรือลำอื่นๆ ก็คงทนได้อีกไม่นาน ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่มายังสุสานดวงดารา และคิดว่าตัวเองคงจะไปถึงฝั่งได้ยากยิ่งรู้สึกลำบากใจ
ถึงคนกลุ่มนี้จะมีไม่มาก แต่ก็มีกว่าร้อยคน พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถพาตัวเองไปถึงฝั่งได้ภายใต้พลังกดต้านในอากาศ แม้จะบอกว่าการเคลื่อนที่อย่างช้าๆ และระมัดระวังสักเล็กน้อยจะช่วยให้ไม่ตกลงไปในทะเลสีดำได้ แต่วิธีนี้ก็คงทำให้พวกเขาไปไม่ถึงในเวลาห้าวันและเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่สุสานดวงดาราเพื่อรับวาสนาแห่งโชคอยู่ดี
พวกเขาจะไม่ยินดีกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขาต่างก็กังวลและหดหู่ใจ แต่ตอนนี้…การคืนสภาพกลับมาของเรือที่หวังเป่าเล่ออยู่ทำให้พวกเขาเห็นแสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตาของพวกเขาฉายแสงเจิดจ้าในทันที
เห็นได้ชัดว่า…หากพวกเขาสามารถขึ้นเรือลำนั้นได้ล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถโดยสารเรือลำนั้นไปถึงฝั่งได้ภายในห้าวัน!
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่มีความคิดนี้ คนที่คิดว่าตัวเองสามารถใช้การฝึกตนและความเร็วของตัวเองไปถึงฝั่งได้ก็กระตือรือร้นเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรการขึ้นเรือก็ช่วยลดความเสี่ยงลงได้ และยังไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองด้วย นี่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทดสอบต่อไป
ดังนั้นไม่นานก็มีคนพุ่งออกไปกลางอากาศและตรงไปที่เรือของหวังเป่าเล่อ และยังมีเหล่าผู้ฝึกตนอีกมากที่ตามหลังมาเพื่อจะขึ้นเรือราวกับสายรุ้ง!
และหากมีใครมาขวางก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับพวกเขาทันที ถึงขนาดมีบางคนในกลุ่มนี้มองไปทางหวังเป่าเล่ออย่างส่งสัญญาณเตือน
เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกรังเกียจ เขาแอบถอนหายใจ ตอนนี้ความคิดของเขาเปิดกว้างขึ้นจากการขายผลไม้วิญญาณ เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากตระกูลอันยิ่งใหญ่พวกนี้ล้วนเป็นคนร่ำรวย พวกเขาสามารถจ่ายผลึกสีชาดหลายล้านเม็ดได้อย่างง่ายดาย เมื่อรู้เช่นนี้เขาก็อดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
“หากขายตั๋วเรือได้…ก็คงดี” หวังเป่าเล่อเสียใจมาก แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ หากจะให้เขาขัดขวางทุกคนก็ทำไม่ได้จริงๆ พลังของเขาเองคนเดียวอ่อนแอจนยากจะหยุดยั้งคนทั้งหมดได้ และหากทำสำเร็จก็เท่ากับสร้างความบาดหมางกับสาธารณชน…
ความรู้สึกมีเงินแต่กลับไม่อาจคว้าได้ทำให้หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจ แต่ในชั่วพริบตาที่เขาถอนหายใจ มหาศิษย์แห่งเต๋าคนแรกที่พุ่งตัวมาก็เข้ามาใกล้แล้ว แม้สายฟ้าพวกนั้นจะดูน่าใจหายไม่น้อย แต่เขาไม่ใช่เป้าหมายของมัน มันจึงไม่ได้ผ่าเขา เขาจึงมีสีหน้ายินดีและกำลังจะขึ้นเรือ
แต่ในตอนนั้นเอง…กระดาษรูปมนุษย์ที่กำลังพายเรืออยู่ที่หัวเรือก็ยกมือซ้ายขึ้นโบกเบาๆ ทันใดนั้นชายที่กำลังจะขึ้นเรือก็กรีดร้องออกมาราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นหวด เขาเลือดท่วมปากและร่างกายพลิกกลับอย่างรวดเร็ว
ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตาเบิกโพล่ง และยังทำให้คนอื่นๆ ที่พุ่งเข้ามาตกใจไปด้วย ทว่าเข้าใกล้เรือมาขนาดนี้แล้ว ดวงตาของพวกเขาก็เลยดูดุร้าย แต่ละคนแยกย้ายกันพยายามจะขึ้นเรือให้ได้
ในชั่วพริบตาผู้คนนับสิบก็พุ่งผ่านสายฟ้าไป แต่ทันทีที่พวกเขาเหยียบเรือ กระดาษรูปมนุษย์ก็โบกมือซ้ายเบาๆ และฉับพลันก็มีเสียงกรีดร้องตามมา ในบรรดาคนหลายสิบคนนี้ นอกจากคนสองคนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็กระอักเลือดและร่างกายของพวกเขาก็ถูกหวดออกไป!
สองคนที่ไม่เป็นอะไร หนึ่งคือหลี่หลินจื่อที่กำลังตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาลงเรือได้ก็มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด และไม่ได้สนใจสายตาหวังเป่าเล่อเลย แต่เขากลับรีบหามุมนั่งทำสมาธิ ทำท่าราวกับให้ตายเขาก็จะไม่ไปไหน
เมื่อเห็นว่ามีคนทำสำเร็จ มหาศิษย์แห่งเต๋านับร้อยรอบๆ ก็เผยให้เห็นตาแดงก่ำและรีบพุ่งเข้ามาเพื่อจะขึ้นเรือ แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ยังคงเป็นการถูกหวดจนกระเด็นออกไป มีเพียงผู้ฝึกตนเจ็ดแปดคนที่ดูเหมือนจะโชคดีไม่ได้ถูกกระดาษรูปมนุษย์ขัดขวาง จึงทำให้พวกเขาขึ้นเรือได้สำเร็จ
และในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็มองอะไรบางอย่างออก คนที่ขึ้นเรือได้สำเร็จก็มองออกเช่นกัน มหาศิษย์แห่งเต๋าด้านนอกเองก็เช่นกัน
“คนที่ขึ้นเรือได้…ล้วนเป็นคนที่โดยสารเรือลำนี้มาตั้งแต่แรก!!”
“นี่คือกฎของเรือดาวตกหรือ ผู้ฝึกตนที่มาจากเรือลำอื่นไม่สามารถเหยียบขึ้นเรือลำอื่นได้?”
ฉากนี้ทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าบนอากาศเศร้าใจมาก แต่พวกเขาก็จนปัญญาและไม่อาจตำหนิหวังเป่าเล่อได้ ถึงอย่างไร…คนที่ขัดขวางไม่ให้ขึ้นเรือก็ไม่ใช่เขา
แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องลองดูก่อน ถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับการทดสอบดาวตก ดังนั้นในตอนนี้จึงยังมีเหล่าผู้ฝึกตนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้เรือและลองพยายามขึ้นเรือดู
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อสว่างจ้า เขาเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อสายฟ้าตามมาถึงที่นี่ก็ไม่รู้ว่าความปรารถนาเดิมของข้าจะยังได้ผลอยู่หรือไม่…ความปรารถนาเดิมของข้าก็คือไม่ให้กระดาษรูปมนุษย์บนเรือนี้หยุดการกระทำของข้า!”
“หากมันได้ผลจริงๆ ล่ะก็ หากข้าพาคนเข้ามา มนุษย์รูปกระดาษก็จะไม่ขัดขวางข้าใช่ไหมนะ” เมื่อคิดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นโครมคราม เมื่อเห็นคนพวกนั้นมาถึงและกระดาษรูปมนุษย์ยกมือซ้ายขึ้น หวังเป่าเล่อก็รีบตะโกนทันที
“เจ้าอ้วน อย่าเพิ่ง ข้าจะพาเจ้าเข้ามา!” ระหว่างที่พูดหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นคว้าตัวเจ้าอ้วนจากผู้ฝึกตนสองคนที่เข้ามาใกล้ที่สุดลงมาจากอากาศ!
เจ้าอ้วนน้อยคนนี้รูปร่างเหมือนลูกบอล เหตุผลที่หวังเป่าเล่อเลือกเขา หนึ่งคือเขารู้สึกว่ารูปร่างของอีกฝ่ายคล้ายคลึงกับตัวเอง อีกหนึ่งคือรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ดูร่ำรวยดี
การตอบสนองของเจ้าอ้วนน้อยก็เร็วมากเช่นกัน เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายจับไว้ เขาก็ไม่ได้ต่อต้านใดๆ ปล่อยให้หวังเป่าเล่อลากลงมา โดยที่กระดาษรูปมนุษย์ก็ไม่ได้สนใจ
ทันทีที่เขาขึ้นเรือได้ แวบแรกเจ้าอ้วนน้อยไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็หัวเราะ เนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นระริก ก่อนที่เขาจะกำหมัดไปทางหวังเป่าเล่อ
“ขอบคุณสหาย”
ส่วนคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้รับการคุ้มกันนี้จึงถูกกระดาษรูปมนุษย์โบกกระเด็นออกไป และฉากนี้ก็ทำให้ทุกคนที่ด้านนอกหายใจถี่เร็ว ดวงตาเบิกกว้างจ้องเขม็งไปยังหวังเป่าเล่อ
ในใจหวังเป่าเล่อตื่นเต้นมาก แต่เมื่อเห็นเจ้าอ้วนน้อยตรงหน้าดูจะขอบคุณเขาอย่างไม่จริงใจมากพอ ดังนั้นหลังจากสบตากันแล้ว เขาจึงพูดเบาๆ
“ขอบคุณสำหรับสิ่งใด ข้าลงมือหนึ่งครั้งแลกกับผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด จ่ายมา”
“ผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด?” เจ้าอ้วนน้อยเบิกตาโพล่ง ความซึ้งใจบนใบหน้าหายวับไปทันที เขาจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความโกรธ
“เจ้าใจดำเกินไปแล้ว จับหนึ่งครั้งคิดหนึ่งแสนเม็ด ทำไมเจ้าไม่ปล้นกันเลยล่ะ ในชีวิตข้าโจวหลินเฟิงไม่เคยถูกใครเอาเปรียบเช่นนี้ ให้เงินเจ้าหรือ ไม่มีทาง!”
“ไม่ให้หรือ?” หวังเป่าเล่อก็โกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน เขาแอบพึมพำว่าราคาของตัวเองยุติธรรมมากแล้ว อย่าว่าแต่จับหนึ่งครั้งราคาหนึ่งแสนผสึกสีชาดเลย สิ่งที่เขาทำถือว่าค่อนข้างมีเมตตาด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับมาแค้นเคืองกันเสียนี่
เขาจึงถลึงตาและกำลังจะลงมือ แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของการจับนี้ หากแค่ลงไม้ลงมือคงไม่พอ เขาจึงหันไปมองผู้คนนับร้อยด้านนอกเรือ
“จับหนึ่งครั้งแลกกับผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด ใครตกลงบ้าง ข้าจะดึงคนคนนั้นเข้ามา แล้วเอาเจ้าอ้วนนี่ออกไปแทน!”
…………………………………………