หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 933 ดาวมายา!
ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้หวังเป่าเล่อก็ขนลุกในฉับพลัน เขาลุกขึ้นมองไปรอบๆ แต่ในห้องนี้ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเขา แม้แต่จิตใต้สำนึกที่แผ่ขยายออกไปก็มองไม่เห็นเบาะแสแม้แต่น้อย
เสียงนั้นราวกับหวังเป่าเล่อคิดไปเอง มันไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก หวังเป่าเล่อระแวดระวังอยู่นานแล้วจึงลองพยายามพูดออกมา หลังจากพบว่าไม่มีการตอบสนอง เขาจึงเปิดกระเป๋าคลังเก็บและรีบตรวจสอบแหวนคลังเก็บข้างในอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าของเขาก็เริ่มไม่น่าดู
เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฟาด อีกทั้งน้ำเสียงเฉียบขาดนั้นก็ฟังดูคุ้นหูเพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเสียงหัวเราะของกระดาษรูปมนุษย์ที่ออกจากแหวนคลังเก็บไปไม่มีผิด!
“มันไม่ได้จากไป…หรือบางทีอาจจากไปแล้วก็กลับมา?” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าในแหวนคลังเก็บนั้นนอกจากขวดปรารถนากับคันธนูจักรพิภพก็ไม่มีร่างของกระดาษรูปมนุษย์แล้ว แต่เขารู้สึกได้ว่ากระดาษรูปมนุษย์คนนั้น…บางทีอาจจะอยู่ข้างกายเขา!
“เอาเถอะ กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นมาที่นี่ต้องมีแผนร้ายแน่ ไม่อย่างนั้นจะกลับมาทำไม!” ระหว่างครุ่นคิด หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นผ่อนคลายและนั่งทำสมาธิอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะปรับรากฐานการฝึกฝน แต่ความจริงแล้วในใจยังคิดวนไปวนมาไม่หยุด จิตใต้สำนึกก็ยังคงแผ่กระจายออกไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานครึ่งวันก็ผ่านไปและในช่วงครึ่งวันนี้ก็ไม่มีกระดาษรูปมนุษย์พายเรือเลย มหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือที่ถูกดึงไปข้างหน้าด้วยพลังงานบางอย่างต่างก็ปรับตัวได้แล้ว จนมีบางคนออกมาจากห้องและอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ
กลุ่มเหล่านี้มีทั้งใหญ่และเล็ก ประมาณสิบกว่ากลุ่ม ในจำนวนนี้หลี่หลินจื่อก็ตั้งขึ้นมากลุ่มหนึ่ง เจ้าอ้วนน้อยก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย และยังมีพี่ชายที่ผมตั้งสูงอยู่ด้วย
แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่สนใจใครและอยู่ตามลำพัง เช่น หญิงสวมหน้ากากรวมถึงชายหนุ่มชุดดำที่ปกคลุมไปด้วยไอพิฆาตทั่วร่าง อีกด้านหนึ่งหวังเป่าเล่อให้ความสนใจกับมหาศิษย์แห่งเต๋าสองในสี่ที่แข็งแกร่งที่สุด ตัวตนของพวกเขาโดดเด่นมาก
รอบตัวแม่นางกระพรวนมีคนรายล้อมไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ถึงแม้พี่ชายผู้สูงส่งจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย สายตาของผู้ฝึกตนรอบตัวหญิงสาวฉายแววชื่นชม แต่ก็ยังมีความระมัดระวังและประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นดูเหมือนจะมีคนรายล้อมรอบตัวเขาอยู่เสมอ และเขาก็เป็นจุดสนใจมาหลายครั้งจนชินแล้ว เขาเพียงก้มหน้าอ่านหนังสือไม่สนใจคนหลายสิบที่เข้าหาตัวเอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาสนใจทุกการเคลื่อนไหวของเขา และเมื่อใดก็ตามที่สบโอกาสทุกคนต่างก็เป็นคนแรกที่เข้าหาเขา
และเพราะทุกคนกระจายตัวกันไปนั่นเองทำให้หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบกันของใครหลายคน แน่นอนว่าการสนทนาส่วนใหญ่ไม่ใช่ความลับอะไรจึงไม่ได้จงใจปิดบัง เช่น เขารู้ตัวตนของแม่นางกระพรวนแล้ว!
“จักรพิภพสำนักเสริม สำนักเก้าวิหคเพลิงผู้ปกครองจักรวาลไร้ขอบเขต สำนักนี้ตั้งอยู่ในจักรพิภพสำนักเสริม ความแข็งแกร่งเป็นอันดับสาม!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้จักลัทธินอกรีตมาก่อน เขาก็คงไม่อะไรกับสิ่งที่เรียกว่าสำนักเก้าวิหคเพลิง แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป
เขารู้ว่าสำนักเก้าวิหคเพลิงของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าอารยธรรมครามทองคำหลายเท่านัก และเกรงว่าแทบไม่ต่างจากตระกูลเซี่ยเท่าไหร่ อาจนับได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ตรวจสอบที่มาของชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น คนคนนี้ถือได้ว่าเป็นเพื่อนจากที่เดียวกันของเขา…เพราะมาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทั้งคู่ แต่เขาเป็นศิษย์เอกเพียงคนเดียวของรองเจ้าสำนักท่านหนึ่งในเต๋าเก้ารัฐซึ่งครองอันดับหนึ่งในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย!
ตัวตนของเขาอาจกล่าวได้ในประโยคเดียว…สามารถทำให้อารยธรรมครามทองคำตื่นตระหนกได้ ถึงอย่างไรอารยธรรมครามทองคำก็ต้องยอมรับคำสั่งจากเต๋าเก้ารัฐ
หวังเป่าเล่อยังตรวจสอบที่มาของพี่ชายผู้สูงส่งคนนั้นด้วย คนคนนี้มาจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เป็นตระกูลพ่อค้ารุ่นใหม่นอกจากตระกูลเซี่ย อำนาจเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะไม่กี่พันปีมานี้ ในด้านรูปลักษณ์ที่ภายนอกมองมาสามารถทัดเทียมกับตระกูลเซี่ยได้แล้ว
และการที่ตระกูลเซี่ยสามารถทำให้ผู้อื่นเติบโตได้ เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลบางอย่างที่บุคคลภายนอกไม่อาจทราบได้
“ที่มาแต่ละคนไม่ธรรมดาจริงๆ” หวังเป่าเล่อเหยียดริมฝีปาก เรื่องลึกลับข้าก็ไม่น้อยหน้าใครหรอก บุตรแห่งสำนักแห่งความมืด ศิษย์พี่ก็เป็นคนโหดเหี้ยม หากเอ่ยออกมาก็อาจทำให้ใครหลายคนตกใจตายได้เลย
คิดได้เช่นนี้ในใจเขาก็สงบลงได้ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มองออกว่าหญิงสวมหน้ากากคนนั้นไม่เต็มใจจะเปิดเผยตัวตนและปฏิเสธที่จะพูดคุยกับทุกคน ส่วนชายหนุ่มชุดดำถือดาบยาวที่ดูโกรธเกรี้ยวและเย็นชาคนนั้นดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีที่มาและเห็นได้ชัดว่าเขาระแวดระวังและเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกคนที่อยู่ใกล้ตัว
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นเบาะแสบางอย่าง แต่ระยะเวลาล่องเรือเพียงหนึ่งวันนั้นสั้นเกินไป มิเช่นนั้นหากนานกว่านี้หวังเป่าเล่อเชื่อว่าเขาจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ตอนที่หวังเป่าเล่อใช้จิตใต้สำนึกแผ่ออกไปตรวจสอบคนอื่นนั้น ผู้ฝึกตนที่ทำแบบเขาก็มีไม่น้อย เพียงแต่มีหลายเรื่องที่ถือว่าเป็นประโยชน์กับหวังเป่าเล่อ แต่สำหรับพวกเขาถือเป็นสิ่งที่รู้มานานแล้วจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือ…ที่มาของหวังเป่าเล่อ!
แม้หวังเป่าเล่อจะคิดว่าการปรากฏตัวของตัวเองไม่ได้มีอะไรน่าทึ่งขนาดนั้น ทว่าในสายตาคนอื่นระดับความเกลียดชังก็ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
หากเพียงแค่เกลียดชังก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พลังของมันรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด พลังของเขาดูเหมือนจะเทียบกับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดสี่คนนั้นได้จึงย่อมกระตุ้นให้ผู้คนตรวจสอบเขาได้ไม่น้อย
“เซี่ยต้าลู่? ตระกูลเซี่ย? ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลเซี่ยมีคนชื่อนี้ด้วย ชื่อนี้…ทำให้ข้านึกถึงเซี่ยไห่หยางผู้ไร้ยางอายและไม่รู้วิชาผู้นั้นเลย”
“ช่วงชิงสิทธิ์ของอารยธรรมครามทองคำหรือ ต่อหน้าพวกเจ้าและการขัดขวางจากดารานิรันดร์ก็ยังขึ้นเรือมาได้งั้นหรือ”
“อะไรนะ ทูตดาวตกไม่ขัดขวางเขาจากการกินผลไม้วิญญาณ!!”
“แล้วยังปล่อยให้เขาพายเรือกระตุ้นพลังเซียนชำระร่างกาย?!”
หลังจากเหตุการณ์นี้แพร่สะพัดออกไป ไม่นานคนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็กวาดดวงจิตเทพไปทางห้องพักของหวังเป่าเล่อ แม้แต่แม่นางกระพรวน ผู้ฝึกตนผู้สง่างามคนนั้นรวมถึงชายหนุ่มชุดดำก็ด้วย เรื่องที่หวังเป่าเล่อทำแต่ละเรื่องนั้นน่าประหลาดใจจริงๆ
เรื่องพายเรือไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนแรกที่กินผลไม้วิญญาณ แต่ฐานะของคนแรกที่กินมันสูงส่งเกินไปจนทุกคนอดไม่ได้ที่จะหาความเชื่อมโยงและข้อเปรียบเทียบ
กอปรกับการขายผลไม้วิญญาณและสิทธิ์ขึ้นเรือของหวังเป่าเล่อ…ทั้งหมดนี้ทำให้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่จ่ายผลึกสีชาดมีสีหน้าแปลกประหลาด
“เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือ”
“ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเขาคือคนของตระกูลเซี่ย!!”
“ข้าว่าเขาต้องเป็นน้องชายของเซี่ยไห่หยางแน่!”
เสียงสนทนาพวกนั้นดังเข้าหูหวังเป่าเล่อ เขากระแอมไอและไม่คิดจะสนใจ ทว่าหลังจากได้ยินว่ามีคนพูดว่าเขาเป็นน้องชายของเซี่ยไห่หยาง เขาก็เศร้าใจเล็กๆ ข้าเป็นพี่ชายของเขาต่างหาก
แต่เรื่องนี้เขาจะเข้าไปอธิบายก็ไม่ดี การคาดเดาไปเช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา ดังนั้นหลังจากแค่นเสียงไปหนึ่งที หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาเงยหน้าทอดสายตามองทะเลกระดาษสีดำด้านนอกผ่านหน้าต่าง
หากมองตามสายตาเขาไปจะเห็นลูกบอลขนาดใหญ่ลอยอยู่ในทะเลกระดาษสีดำไกลๆ และหากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้วลูกบอลยักษ์นั้นคือดวงดาว!
อันที่จริงตลอดการเดินทางหนึ่งวันนี้การเห็นดาวเคราะห์แบบนี้บนทะเลกระดาษสีดำได้เป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนจะต่างไปจากทิศทางตอนที่มายังทะเลที่นี่ครั้งแรก ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้เห็นได้บ่อยเป็นเรื่องปกติ
พวกมันดูไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกว่าหากเหยียบเข้าไป ฟ้าดินอาจจะพลิกกลับและแปลงร่างเป็นโลกในชั่วพริบตาได้
“ดาวเคราะห์ที่ลอยอยู่ในทะเล…” ขณะพึมพำ การเดินทางหนึ่งวันก็ค่อยๆ สิ้นสุดลง เมื่อความเร็วของเรือช้าลง ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อ แต่ผู้ฝึกตนทุกคนบนเรือต่างก็เห็นว่าที่ไกลออกไปในทะเล มีดวงดาวที่ต่างไปจากดวงอื่นอยู่ดวงหนึ่ง!
ดาวดวงนี้เหมือนกับภาพมายา คราแรกที่มองไปบางคนมองไม่เห็นอะไรเลย ในขณะที่บางคนมองเห็นเพียงเมฆหมอกกลุ่มหนึ่ง และเมื่อมองครั้งที่สองภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่าดาวดวงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลังจากจ้องมองให้นานสักหน่อย ทุกคนบนเรือก็จะเห็นดวงดาว!
“ดาวมายา?!” เมื่อคำนี้ผุดขึ้นในหัวทุกคน ในชั่วพริบตาดาวมายาดวงนั้นก็ขยายตัวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันขยายใหญ่จนถึงขีดสุดด้วยความเร็วที่ไม่อาจละสายตาได้ จนกระทั่งทุกคนรู้สึกราวกับว่ามันใหญ่กว่าทะเลกระดาษสีดำ จากนั้นเรือที่ทุกคนโดยสารมาก็ดูเหมือนจะ…ถูกกลืนกินเข้าไป!
………………………………