หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 970 ดาวเก้าดวง เก้าวิถีเต๋า!
- Home
- หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting
- บทที่ 970 ดาวเก้าดวง เก้าวิถีเต๋า!
เมื่อระดับจิตวิญญาณอมตะหลอมรวมสมบูรณ์เข้ากับดาวเคราะห์แล้ว ก็สามารถใช้พลังฝึกปรือฝ่าด่านเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้ วิธีการของแต่ละสำนักอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าขั้นตอนและกรรมวิธีนั้นคล้ายๆ กันอยู่ ต่างกันเพียงแค่รายละเอียดซึ่งสืบทอดผ่านเวลานับพันปีมาเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว การหลอมเข้ากับดาวเคราะห์วิญญาณทั่วไป มักใช้เวลาไม่นานนัก เพียงเวลาสั้นๆ ก็ย่อมสามารถจับทางได้ อีกทั้งเหตุสุดวิสัยนั้นก็เกิดขึ้นได้น้อย หากเป็นระดับดาวเคราะห์อมตะ เวลาก็จะยิ่งเนิ่นนานขึ้นอีกหน่อย อีกทั้งต้องหาพื้นที่กักตัวมิให้ถูกรบกวน
โดยสรุปแล้ว การหลอมรวมกับดาวเคราะห์อมตะหรือดาวเคราะห์วิญญาณเพื่อยกระดับนับเป็นเรื่องง่ายมาก แต่หากเป็นการหลอมกับดาวเคราะห์พิเศษ ระดับความยากและอันตรายก็จะยิ่งทวีขึ้น ไม่เพียงแต่ต้องการพลังฝึกปรือที่สูงลิ่วเท่านั้น ยังมีเงื่อนไขทางดวงวิญญาณเทวะมาเกี่ยวด้วย
จิตวิญญาณเทวะยิ่งสมบูรณ์มากเท่าไหร่ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะยิ่งมากตาม ในส่วนของขั้นตอนนั้นก็แตกต่างจากการหลอมรวมชั้นดาวเคราะห์วิญญาณและดาวเคราะห์อมตะค่อนข้างมาก จำเป็นต้องให้ทั้งร่างของผู้ฝึกตนผู้นั้นเข้าไปอยู่ในดาวเคราะห์พิเศษก่อน ส่วนกระบวนการนั้นก็คล้ายกับตัวอ่อนในครรภ์มารดา ตัวของผู้ฝึกตนผู้นั้นจะหลอมรวมอยู่ภายในดวงดาว จากนั้นจะค่อยๆ ดูดกลืนพลังจนกระทั่งสามารถหลอมรวมเข้ากับกฎแห่งดาวเคราะห์ได้โดยสมบูรณ์ แล้วจึงค่อยยกระดับเข้าสู่สภาวะของระดับดาวพระเคราะห์!
ระหว่างขั้นตอนนี้ก็อาจจะมีการล้มเหลวและมีอันตรายแฝงอยู่ แน่นอนว่าในเขตจักรพิภพดาวตกนี้ ระดับอันตรายที่ว่าย่อมลดน้อยลงไปมาก ดังเช่นลู่เสี่ยวไห่ และหญิงหน้ากากเอง รวมถึงเหล่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่ในดาวเคราะห์บนฟ้านี้ สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ก็คือการหลอมรวมกับวงจรแห่งกฎ
การหลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋าเพื่อเลื่อนระดับนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ นี่กลับไม่มีใครทราบ เพราะว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคนเดียวที่สามารถหลอมรวมเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าได้ อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ย่อมไม่มีการสืบทอดบอกกล่าวแก่คนหมู่มากให้รับรู้
ดังนั้นแล้วในยามนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ทราบว่าจะดำเนินการเช่นไร จึงจะสามารถยกระดับการฝึกปรือของตนได้ ทว่า…หลังดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีวิ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของเขาแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ
พูดให้ชัดเจนก็ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจหรอก แต่เขาสัมผัสได้เลาๆ โดยสัญชาตญาณถึงวิธีการเลื่อนระดับ ไม่จำต้องลงมือทำสิ่งใด อาศัยเพียงความรู้สึกขุมนี้ ค่อยๆ เดินตามมันไป ก็จะพบและเข้าใจวิธีสร้างฐานรากกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าเอง
“เดินขึ้นไปงั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อหลับตา สัมผัสได้ถึงพลังเป็นระลอกชั้นซึ่งดาวเคราะห์เต๋าแผ่ซ่านออกมา ส่วนด้านนอกนั้น ท่ามกลางสายตานับหมื่นคู่ ดวงตาของเขาค่อยๆ ลืมขึ้น เดิมทีเขายืนอยู่ใต้ท้องฟ้านี้ หลังจากสองตากระจ่างรู้ ก็มองขึ้นสู่นภา ก้าวเดินที่หนึ่งออกไป!
นี่คือก้าวแรก
เมื่อครั้นก้าวเดินนั้นเอง ใต้ฝ่าเท้าของหวังเป่าเล่อก็ปรากฎเงาของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง!
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีสีแดงชาด ราวกับสีของโลหิตสดๆ ที่สาดกระจาย กระทั่งมองจากระยะไกล มันก็ดูไม่คล้ายดาวเคราะห์แต่กลับเหมือนก้อนเลือดเสียมากกว่า หลังจากที่มันปรากฏออกมา กลิ่นคาวโลหิตอันหนักอึ้งก็พลันกระจายไปทั่วทุกทิศทาง หากมองให้ละเอียดลงไปนั้นจะเห็นว่ารอบๆ ดาวเคราะห์สีแดงโลหิตดวงนี้ ยังมีวงแหวนสีชาดกระจายอยู่รอบๆ !
“ดาวเคราะห์ทั้งเก้า ดวงที่หนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าโลหิตแดง!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ระหว่างนั้นพลังบนร่างของเขาก็เหมือนมีปราณโลหิตซ่านกำจาย ดาวเคราะห์ดวงนี้ ก็คือหนึ่งในดาวเคราะห์บรรพกาล รากฐานบ่มเพาะแห่งเต๋าของมันนี้ ใช้โลหิตเป็นวิถีเต๋า ชั่วร้ายสุดขีด!”
หลังจากที่เอ่ยปาก ร่างกายของเขาก็พลันมีพลังโลหิตสาดแสง ในพริบตานั้นหวังเป่าเล่อก็เข้าใจกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้จนปรุโปร่ง สลักลงไปในจิตวิญญาณเทวะของตน ทำให้ในร่างของเขานั้นก่อกำเนิดโลหิตแขนงหนึ่ง ปราณและพลังฝึกปรือทั้งร่างของเขาพลันระเบิดออกในพริบตา!
“ดาวเคราะห์ทั้งเก้า ดวงที่สอง ดาวเคราะห์เต๋าดนตรีส้ม” ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายวาบ มองไปยังท้องฟ้า แล้วก้าวไปอีกครั้ง ใต้ฝ่าเท้าปรากฏดาวเคราะห์ดวงที่สอง เป็นสีสว่างราวส้มสุก สีสันอันเจิดจ้านั้นเหมือนจะมีเสียงบรรเลงของเทพเซียนลอยออกมาด้วย มันกระจายไปทั้งแปดทิศ เข้าสู่พื้นที่ว่างเปล่า เข้าสู่ฟ้าดิน จากนั้นก็เข้าสู่สมองของทุกชีวิต
ราวกับว่าฟ้าดินเองกำลังสนับฟัง ราวกับว่าทั้งหมื่นชีวิตกำลังร้องเสียงต่ำ และนี่ก็คือกฎแห่งรากฐานบ่มเพาะของดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ ดาวเคราะห์คีตา!
วงแหวนสีส้มวงที่สองปรากฏขึ้นหมุนวนอยู่รอบดาวเคราะห์ดวงนั้น มันสะท้อนคู่กับแสงแห่งดาวเคราะห์สีแดง ปราณและพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อระเบิดขึ้นอีกครา กลายเป็นระลอกพลังอันน่าสะท้านขวัญ หากมองเพียงพลังปราณแล้วเหมือนจะสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า!
ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างที่พลังฝึกปรือกำลังเพิ่มพูนขึ้นและระเบิดออกนั้น หวังเป่าเล่อมองท้องฟ้า จากนั้นก้าวครั้งที่สาม และครั้งที่สี่
“ดาวเคราะห์ทั้งเก้า ดวงที่สาม ดาวเคราะห์เพลิงเหลือง”
“ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงที่สี่ ดาวเคราะห์พฤกษาเขียว”
ร่างของเขาก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้อยู่ใต้ผืนฟ้าอีกต่อไป และในก้าวย่างนี้ ดาวดวงที่สาม ดาวดวงที่สี่ก็พลันปรากฎ วงแหวนสีเหลืองและเขียว ทยอยกันทอแสงไปทั้งแปดทิศ
พลังปราณยิ่งยกระดับขึ้นกระทบผืนฟ้า แผ่ซ่านสู่พื้นดิน พลังอันแข็งกล้าระลอกนี้รุนแรงกว่าสิบเท่า โดยเฉพาะวิถีเต๋าเปลวไฟ วงแหวนของมันในยามนี้มีเพลิงโอบพุ่ง ทำให้ทั้งโลกนี้กลับร้อนขึ้นทันควัน แล้วยังมีวิถีเต๋าแห่งพืช ที่ทำให้ท้องฟ้ารอบด้านของหวังเป่าเล่อพลันมีหมื่นพฤกษาแข่งกันแตกหน่อเบ่งบาน!
ภาพนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหมดที่ได้เห็นตกตะลึง ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ก้าวย่างเป็นครั้งที่ห้า หก และครั้งที่เจ็ด…แล้วเขาก็ขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้าในที่สุด ยืนอยู่ตามลำดับดารานี้ น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นกระจายไปทั่วทิศหลังจากที่เหยียบย่างสามคราและดาวเคราะห์ดวงที่ห้า หก เจ็ดก็ปรากฏขึ้นตามลำดับ
“ดาวเคราะห์ดวงที่ห้า ดาวเคราะห์เต๋าเมฆาฟ้า”
“ดาวเคราะห์ดวงที่หก ดาวเคราะห์เต๋าลมคราม”
“ดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด ดาวเคราะห์เต๋ากลืนกินม่วง”
ดาวเคราะห์เมฆานั้นแปรผัน ร่างมันเริ่มกลายเป็นหมอก ครั้นเมื่อมันปรากฏ ร่างของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้เลือนรางทันที หลังจากนั้นเขาก็ล่วงรู้ถึงเจตนารมณ์แห่งหมอกเมฆในสายตาอย่างแจ่มชัด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากปรากฎดาวเคราะห์เต๋าที่มีกฎอัตลักษณ์เป็นดาวเคราะห์เมฆาเช่นกัน ในบรรดาผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่ใช้พลังเมฆานี้ หากเขาเรียกตนเองเป็นราชา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าเรียกตนเป็นจักรพรรดิ!
และในส่วนความเร็วของเต๋าลมครามนี้ ยิ่งกว่าจับต้องไม่ได้ เมื่อมันปรากฏกาย ก็ทำให้กระแสพายุรอบตัวหวังเป่าเล่อคลั่ง ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นโดยไม่บอกไม่กล่าว ในเวลาเดียวกันก็หลอมรวมเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าเมฆา กลายเป็นระดับพลังซ้อนทับที่ทำให้ผู้คนต้องตะลึง!
และสุดท้ายนั้นคือเต๋าเคราะห์กลืนกินสีม่วง!
ดาวเคราะห์ดวงนี้ถือการกลืนกินเป็นวิถีหลัก หมื่นชีวิตในฟ้าดิน ทั้งจักรวาล ไม่มีสิ่งใดที่มันกินไม่ได้ ในพริบตาที่ปรากฎตัวนั้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็พลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกดูดลงไปในวังวน วังวนนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด เหมือนกลืนกินทุกสิ่งได้!
หวังเป่าเล่อสามารถจินตนาการได้เลยว่า หากดาวเคราะห์กลืนกินดวงนี้ทำงานร่วมกับเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนของตน พลังของมันย่อมอยู่ในขั้นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ กระทั่งในใจของเขายังอดไม่ได้ที่จะคิด หรือว่าเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืน…เคยเป็นดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งมาก่อน!?
แต่ว่าตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาจะมานั่งคิดนัก ดังนั้นแล้วความคิดนี้จึงวาบขึ้นมาในหัวหวังเป่าเล่อก่อนที่เขาจะสะกดมันเอาไว้ ในจังหวะนี้ สิ่งที่ตามมาจากนั้น ก็คือการที่พลังฝึกปรือและพลังปราณของเขาพลันเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างที่พลังนี้ทะยานขึ้นนี้ เส้นผมของเขาก็ปลิวว่อน ชายเสื้อเหมือนกำลังร่ายรำ บัดนี้พลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนก่อนมายังนครดาวตกหลายสิบเท่า อีกทั้งยังขยายเพิ่มเติมไม่หยุด!
ตอนนี้เงาร่างของเขาแขวนอยู่บนที่สูงแล้ว แทบจะอยู่ระดับเดียวกับหมู่ดาว ท่ามกลางแสงดาราส่องกะพริบ หวังเป่าเล่อก็ก้าวเดินครั้งที่แปด!
“ดาวเคราะห์เต๋าดวงที่แปด เต๋าสีขาวแห่งแสงสว่าง!”
ดาวเคราะห์ดวงที่แปดนี้ ทอแสงเจิดจรัสสีขาว เมื่อร่างมายาปรากฏออกมา วงแหวนของมันก็เผยมาติดๆ แสงสีขาวของมันอยู่ในระดับเสียดแทงนัยน์ตาเหนือกว่าทุกดวง เพราะว่า…แสง ก็คือวิถีเต๋าของมัน!
เมื่อแหงนหน้าขึ้นไป จะเห็นได้ว่าบนฟ้าเป็นดุจทะเลแห่งแสงท่ามกลางคลื่นริ้ว พลังปราณของหวังเป่าเล่อทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ทั้งร่างของเขาเหมือนเทพสวรรค์ผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ปาน และในจังหวะที่เวลาคล้ายจะเป็นนิรันดร์นี้ หวังเป่าเล่อก็ได้ก้าวเดินครั้งที่เก้าเคลื่อน เข้าใกล้สุดขอบฟ้าอันไร้จำกัด!
“ดาวเคราะห์เต๋าดวงที่เก้า เต๋าสีดำแห่งความตาย!”
วิถีเต๋าแห่งความตาย คือวิถีเต๋าสิ้นชีพ แม้มองไปแล้วจะคล้ายสำนักแห่งความมืด แต่จริงๆ ไม่เหมือนกัน รายหลังนั้นพูดถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่เสียส่วนมาก ส่วนอย่างแรกนั้น…เป็นตัวแทนของความตาย!
ครั้นมันปรากฏร่าง หวังเป่าเล่อก็ร่างกายสะท้าน ดวงตาทั้งคู่ดำสนิทเหนือกว่าสิ่งใด ทั้งร่างสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความตายไร้สิ้นสุด พลังฝึกปรือที่กำลังสั่นเป็นระลอกในพริบตานั้นก็เพิ่มพลังถึงขีดสุด ทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน บังเกิดเสียงสะเทือนปฐพี ยามนี้หวังเป่าเล่อที่อยู่สุดขอบฟ้า ก็พลันปรากฏการรู้แจ้งในดวงตา
“อนาคต ข้าจะนำกฎทั้งเก้าดาวเคราะห์นี้ สร้างวิชาเทพแห่งวิถีเต๋าใหม่ของข้าเอง!” ระหว่างที่พึมพำอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ก้มหน้ามองผืนแผ่นดิน จากนั้นจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้านนอก เป็นเวลานานเนิ่นนาน วงแหวนเต๋าทั้งเก้าใต้ฝ่าเท้าพลันเรืองรอง และในยามที่ผู้คนยังไม่หายตะลึง ท่ามกลางเสียงร้องคำรามของดาวเคราะห์ทั้งเก้า หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้ามองเส้นสุดขอบฟ้า พลางก้าวเดินต่อ…
ก้าวที่สิบ!
สิบก้าว เหยียบย่างฟ้า!
หลังจากที่เดินเสร็จ ดาวเคราะห์ทั้งเก้าก็พลันสั่นสะท้านรุนแรง พวกมันล้วนลอยตัว ทยอยกันเข้าร่างหวังเป่าเล่อ และหลอมรวมกันเป็นดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีภายในร่างของเขา!
แล้วยังมีวงแหวนทั้งเก้าพลันเคลื่อนเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ประทับตราลงบนหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ กลายเป็นตราประทับเก้าวงแหวน!
ส่วนพลังฝึกปรือของเขา ในยามนี้ระเบิดพลังออกมาจนถึงที่สุด ในพริบตานั้นพลังปราณที่เหนี่ยวนำรุนแรงก็พลันหมุนคลั่งเหมือนจะทำลายทุกอย่างให้ราบ กระทั่งมีเสียงเหมือนกระจกแตกดังระเบิดอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อ พลังฝึกปรือของเขา…ฝ่าระดับไปได้ในพริบตา!
เข้าสู่…ระดับดาวพระเคราะห์!
และในยามนี้เขามองเห็นผืนฟ้าด้วยสายตาที่ต่างออกไปแล้ว!
ท้องฟ้า พื้นดิน ลม เมฆ หมื่นสรรพสิ่ง…ราวกับว่าถูกดึงผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นเนื้อแท้ ในขณะที่จ้องมองไป หวังเป่าเล่อก็เข้าใจในที่สุด ว่าภายในดาวเคราะห์เต๋าของตนเองนี้ กฎเอกลักษณ์ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นมานั้นคือสิ่งใดกันแน่!
“ช่างเป็นกฎอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา มือขวาของเขาพลิกกลับ คว้าหมอกเมฆาสายหนึ่งเอาไว้ เมื่อมันปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ หมอกนี้ก็พลันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง!
ดาวเคราะห์เต๋าที่ได้รับการอนุญาตให้หลอมรวมจากผู้เยี่ยมยุทธ์แต่ละท่าน แล้วยังมีผู้สูงส่งนอกเขตมอบพลังให้ด้วยดวงนี้ กฎอัตลักษณ์ของมันย่อมไม่ใช่กระดาษแน่ เมื่อมองดูกระดาษเมฆาในมือแล้ว ก็พบว่ามันกลับลักษณ์เป็นเมฆหมอกดุจเดิมตามใจเขา หวังเป่าเล่อยิ้ม ดวงตาทอประกายเรืองรองขึ้นมา และพูดด้วยเสียงที่มีเพียงตัวเองได้ยินโดยแผ่วเบาว่า
“วิถีเต๋าสลักสินะ…สามารถสลักวิถีเต๋านับหมื่นของจักรวาล ภายใต้พลังเสริมแห่งดาวเคราะห์เต๋านี้ ต่อให้เป้าหมายที่จะถูกสลักเป็นถึงดาวเคราะห์เต๋าเอกอัตลักษณ์ ก็ยากจะรอดพ้นได้ หากข้าใช้พลังสลักนี้ลงมือสำเร็จ ในพริบตานั้นการต่อสู้กับอีกฝ่ายคงยากจะแบ่งสูงต่ำแล้ว!”
………………………………………………….